Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่6 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤต ในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต - Coggle…
บทที่6 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤต
ในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
Hypertensive crisis
คำศัพท์
Cardiovascular disease (CVD) : โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
Hypertensive urgency : ภาวะความดันโลหิตสูงรุนแรงแต่ไม่มีอาการ TOD
Target organ damage (TOD) : ความผิดปกติที่เกิดแก่อวัยวะในร่างกายจากความดันโลหิตสูง ได้แก่ สมอง หัวใจ ไต และตา
Hypertensive emergency : ภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/120 mmHg. ร่วมกับTOD
Hypertension : ความดันโลหิตที่วัดจากสถานพยาบาล มีค่า140/90 mmHg
Hypertensive emergency : ภาวะความดันโลหิตสูงเฉียบพลันสูงกว่า
180/120 mmHg. and TOD
สาเหตุ
การหยุดยาลดความดันโลหิตทันที (Sudden withdrawal of antihypertensive medications)
Acute or chronic renal disease
Exacerbation of chronic hypertension
การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้ความดันโลหิตสูง เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
อาการและอาการแสดง
โรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน (Acute cardiovascular syndromes)
กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
เจ็บแน่นหน้าอกแบบเฉียบพลัน/แบบไม่คงที่ (Unstable angina)
น้ำท่วมปอด (Pulmonary edema)
ภาวะเลือดเซาะในผนังหลอดเลือดเอออร์ต้า (Aortic dissection)
อาการทางสมอง เรียกว่า hypertensive encephalopathy จะมีอาการ
ปวดศรีษะ การมองเห็นผิดปกติ สับสน คลื่นไส้ อาเจียน
การซักประวัติ
ไตวายเฉียบพลัน จะพบว่า ปริมาณปัสสาวะลดลง หรืออาจไม่มีการขับถ่ายปัสสาวะ
โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด มีอาการ เจ็บหน้าอก (chest pain) เหนื่อยง่ายแน่นอกเวลาออกแรง
สอบถามอาการของอวัยวะที่ถูกผลกระทบจากโรคความดัน
โลหิตสูง
ซักประวัติการเป็นโรคประจำตัว
การตรวจร่างกาย
วัดสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิตเปรียบเทียบกันจากแขนซ้ายและขวา
:red_flag: จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน เรียกว่า pseudohypotension ของแขนข้างที่มี intimal flap ที่ไปอุดหลอดเลือดแดงที่มาเลี้ยงแขนข้างนั้น
ความผิดปกติที่เกิดจาก TOD
โรคหลอดเลือดสมอง
ตรวจจอประสาทตา retina ถ้าพบ cotton-wool spots and hemorrhages
Chest pain
ไต อาการของ oliguria or azotemia (excess urea in the blood)
การรักษา
รักษาทันทีใน ICU และให้ยาลดความดันโลหิตชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
เพื่อลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ต้องการโดยป้องกันอวัยวะต่างๆไม่ให้ถูกทำลายมากขึ้น และไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา
ยาลดความดันควรออกฤทธิ์เร็วและหมดฤทธิ์เร็วเมื่อหยุดยา มีผลข้างเคียงต่อตับและไตน้อย
การพยาบาล
ในระหว่างได้รับยา
ประเมินและบันทึกการตอบสนองต่อยา ติดตามความดันโลหิตอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการลดลงของความดันโลหิตอย่างรวดเร็ว
การรักษาด้วย short-acting intravenous antihypertensive agents
sodium nitroprusside :
ผสมยาใน D5W และ NSS หลังจากผสมแล้วยาคงตัว 24 hr
เก็บยาให้พ้นแสงและตลอดการให้ยา
:warning: ให้ยาทาง infusion pump เท่านั้น
:warning: หากพบว่ายาเปลี่ยนสีเข้มขึ้น หรือเป็นสีส้ม น้ำตาล น้ำเงิน ห้ามใช้ เนื่องจากเกิดการสลายตัวของยาซึ่งจะปล่อย cyanide ออกมา
สังเกต phlebitis
nitroglycerin
เก็บยาให้พ้นแสงและตลอดการให้ยา
อาจมีอาการปวดหัว เวียยนศีรษะ มึน งง
ในระยะเฉียบพลัน
ติดตามอาการและอาการแสดงของระบบต่างๆอย่างใกล้ชิด ได้แก่ neurologic,cardiac, and renal systems
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรม
การจัดท่านอนให้สุขสบาย การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ
ให้ความรู้/ข้อมูลแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการรักษาเพื่อควบคุมความดันโลหิต และเหตุผลที่ต้องติดอุปกรณ์ที่ใช้เฝ้าระวังต่างๆ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ (Risk for ineffective cerebral tissue perfusion)
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลายไม่เพียงพอ (Risk for ineffective peripheral tissue perfusion)
วิตกกังวล (Anxiety related to threat to biologic, psychologic, or social integrity)
พร่องความรู้ (Deficient knowledge related to lack of previous exposure to information)
Cardiac arrhythmias
ประเภทของ AF
Paroxysmal AF หมายถึง AF ที่หายได้เองภายใน 7 วันโดยไม่ต้องใช้ยา หรือการช็อคไฟฟ้า (Electrical Cardioversion)
Persistent AF หมายถึง AF ที่ไม่หายได้เองภายใน 7 วัน หรือหายได้ดัวยการรักษาด้วยยา หรือการช็อคไฟฟ้า
Permanent AF หมายถึง AF ที่เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปีโดยไม่เคยรักษาหรือเคยรักษาแต่ไม่หาย
Recurrent AF หมายถึง AF ที่เกิดซ้ ามากกว่า 1 ครั้ง
Lone AF หมายถึง AFที่เป็นในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
สาเหตุ
พบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจรูห์มาติก ภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง เยื่อหุ้มหัวใจ อักเสบ ผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ (open heart surgery), hyperthyrodism
อาการและอาการแสดง
ใจสั่น อ่อนเพลีย เหนื่อยเวลาออกแรง คลำชีพจรที่ข้อมือได้เบา
การพยาบาล
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอด แขนและขา
ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เช่น digoxin, beta-blocker, calcium channel blockers, amiodarone
ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษาในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ว่ามีลิ่มเลือดเกิดขึ้น
เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการท า Cardioversion เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation) ในผู้ป่วยที่เป็น AF และไม่สามารถควบคุมด้วยยาได้
ประเภทของ VT แบ่งเป็น
Nonsustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30วินาที
Sustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30วินาทีซึ่งมีผลท าให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง
Monomorphic VT คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
Polymorphic VT หรือ Torsade คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
การพยาบาล
นำเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันทีและเปิดหลอดเลือดด าเพื่อให้ยาและสารน้ำ
คลำชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียว จำนวนปัสสาวะ
ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคล าชีพจรได้ร่วมกับมีอาการของการไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง ให้เตรียมผู้ป่วยในการทำ synchronized cardioversion
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคล าชีพจรไม่ได้(Pulseless VT) ให้เตรียมเครื่อง Defibrillator
ทำ CPR ถ้าหัวใจหยุดเต้น
ภาวะช้อก (Shock)
การแปลผลความดันโลหิต
Systolic blood pressure (SBP) เป็นค่าความดันของหลอดเลือดขณะหัวใจบีบตัว
บอกถึง Systolic function ถ้าค่า SBP สูง แสดงว่า Systolic function ดีถ้าค่า SBP ต่ำ แสดงว่า Systolic function ไม่ดี
Diastolic blood pressure (DBP) เป็นค่าความดันของหลอดเลือดขณะหัวใจคลายตัว
บอกถึง Diastolic function หรือ afterload เพราะเวลากล้ามเนื้อหัวใจคลายตัว ต้องสู้กับแรงต้านทานของหลอดเลือด ส่วนปลาย (SVR) ถ้าค่า DBP สูง = Afterload สูง ถ้าค่า DBP ต่ำ = Afterload ต่ำ
ความแตกต่างของ systolic blood pressure และ diastolic blood pressure เรียกว่า pulsepressure
Pulse pressure = systolic blood pressure-diastolic blood pressure
แคบ : บ่งบอกว่า Stroke volume และ Cardiac
output ต่ำ
Mean arterial pressure (MAP)
MAP = 1/3 SBP + 2/3 DBP
เป้าหมายของการรักษาอยู่ที่การรักษา Mean arterial pressure ให้อยู่ที่ 65 มม. ปรอท
ตำแหน่งของหลอดเลือดในการให้สารน้ำ
การให้สารน้ำทาง Peripheral vein ทำได้สะดวกกว่าการให้สารน้ำทาง Central venous catheter
การให้สารน้ำทาง Peripheral vein เมื่อให้ไประยะเวลาหนึ่งหลอดเลือดดำซึ่งเดิมมี Vasoconstriction จะค่อยๆขยายตัว
สารน้ำที่ให้ทาง Peripheral vein จะใช้เวลานานกว่าไปถึงหัวใจ
การให้สารน้ำในภาวะช็อก
เข็ม No. 16 หรือ No. 18 ทำให้ Fluid loading
:warning: ยกเว้น Left-sided cardiogenic shock ให้สารน้ำไม่ได้
Crystalloids :
Normal saline
Volume overload
Hypernatremia : Saline มี Na 154 mEq/L ในขณะที่ plasma มี Na 135-145 mEq/
Hyperchlorermic metabolic acidosis
Ringer's lactate solution
Volume overload ให้สารน้ำที่เร็วจนเกินไป
Lactic acidosis โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคตับ
Hyperkalemia
Hypercalcemia
Vasoactive drug
Positive inotropic effect เป็นฤทธิ์ที่ทำให้การบีบตัวของหัวใจ (Cardiac contractility) ดีขึ้น
Positive chronotropic effect เป็นฤทธิ์ที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate) เพิ่มขึ้น
Vasopressor effect เป็นฤทธิ์ที่ทำให้ความต้นทานของหลอดเลือดส่วนปลาย (Systemic vascular resistance, SVR) เพิ่มขึ้น ทำให้ Afterload เพิ่มขึ้น
การเลือกใช้ Vasoactive drugs ในช็อกประเภทต่างๆ
Hypovolemic shock โดยทั่วไปไม่มีที่ใช้ของ Vasoactive drugs
Cardiogenic shock ในขณะที่ความดันโลหิตยังต่ำอยู่ ควรเลือกใช้ Dopamine หากความดันโลหิตต่ำมาก เช่น SBP ต่ำกว่า 70 มม. ปรอท
Obstructive shock ควรให้สารน้ำก่อน
Septic shock ควรให้สารน้ำก่อน ถ้าให้สารน้ำเพียงพอแล้วความดันโลหิตยังไม่ขึ้น อาจให้ Dopamineหรือ Norepinephrine ควรเลือก Norepinephrine ก่อน
Anaphylactic shock เลือก Epinephrine (Adrenaline) ก่อนเสมอ ให้กระตุ้น Alpha receptor และ beta receptor
Neurogenic shock เลือก Dopamine ก่อน เนื่องจากเกิดจากการทำงานของ Sympathetic บกพร่อง ทำให้มี Vasodilatation และ Heart rate ช้า
Endocrinologic shock ได้แก่ Adrenal crisis และ Thyroid storm ควรให้สารน้ำและให้การรักษาทดแทนทางฮอร์โมน หรือให้ยาต้านธัยรอยด์ใน Thyroid storm
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
ผู้ป่วยอยู่ในภาวะปริมาณเลือดออกจากหัวใจต่อนาทีต่ำลงเนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะช็อค
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา Levophed อาจเกิดภาวะยาดังเฉพาะที่หรือรั่วซึมออกนอกหลอดเลือดเกิดเนื้อตายได
เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพการหายใจลดลง
ผู้ป่วยและญาติมีสีหน้าวิตกกังวล
มีไข้จากมีการติดเชื้อในกระแสเลือด (Septic shock)
การแบ่งประเภทของช็อก (Classification of shock)
Low cardiac output shock (Hypodynamic shock) : Cardiac output ต่ำ และเป็นภาวะช็อกที่หลอดเลือดตีบ (Vasoconstriction) ส่งผลให้ diastolic blood pressure สูง และ Pulse pressure แคบทำให้ Systemic vascular resistance (SVR) สูง
1) Hypovolemic shock
2) Cardiogenic shock
3) Obstructive shock ไดแก่ Cardiac tamponade, massive pulmonary embolism,tension pneumothorax, severe pulmonary artery hypertension
High cardiac output shock (Distributive shock, hyperdynamic shock) : cardiac output สูง และเป็นภาวะช็อกที่หลอดเลือดขยายตัว (Vasodilatation) ส่งผลให้ Diastolic blood pressure ต่ำและ Pulse pressure กว้าง ทำให้ Systemic vascular resistance (SVR) ต่ำ
1) Septic shock
2) Anaphylactic shock
3) Endocrinologic shock ได้แก่ Adrenal crisis, thyroid storm
4) Neurogenic shock
5) Drug and toxin ได้แก่ ยาที่มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว (Vasodilatation effect)
6) อื่นๆ เช่น Post-resuscitation syndrome ทีตามหลัง Return of spontaneous circulation (ROSC) จาก Cardiac arrest
Fluid therapy
Hypovolemic shock
Right side cardiogenic shock
Obstructive shock
Distributive shock (High cardiac output shock)
Acute Heart Failure (AHF)
ชนิดของหัวใจล้มเหลว
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
Systolic heart failure หรือ Heart failure with reduced EF (HFREF) : การบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายล่าง (Left ventricle) ลดลง
Diastolic heart failure หรือ Heart failure with preserved EF (HFPEF): เกิดร่วมกับการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายปกต
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามเวลาการเกิดโรค
New onset: หัวใจล้มเหลวที่เกิดขึ้นครั้งแรก โดยอาจเป็นแบบเฉียบพลัน (Acute onset) หรือเกิดขึ้นช้า(Slow onset)
Transient: หัวใจล้มเหลวที่มีอาการชั่วขณะ เช่น เกิดขณะมีภาวะหัวใจขาดเลือด
Chronic: หัวใจล้มเหลวที่มีอาการเรื้อรัง โดยอาจมีอาการคงที่ (Stable) หรือ อาการมากขึ้น (Worsening หรือ Decompensation)
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามอาการและอาการแสดงของหัวใจที่ผิดปกติ
Left sided-heart failure: หัวใจห้องล่างซ้าย หรือห้องบนซ้าย เช่น Orthopnea หรือ PND
Right sided-heart failure: มีปัญหาการบีบตัวของหัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle) หรือ ห้องบนขวา (Right atrium) เช่น อาการบวม ตับโต
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามลักษณะของ Cardiac output
High-output heart failure: คือ ภาวะที่อาการและอาการแสดงของ หัวใจล้มเหลวเกิดจากการที่ร่างกาย
ต้องการปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ (Cardiac output) มากกว่าปกติ
Low-output heart failure: คือ ภาวะที่หัวใจบีบเลือดออกจากหัวใจได้น้อยลง (Low cardiac output)
ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute heart failure)
ภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง (Chronic heart failure) พบได้ในผู้ป่วยที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันมาก่อนหรือไม่ก็ได
สาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว
ความผิดปกติแต่กำเนิด (Congenital heart disease) เช่น ผนังกั้น ห้องหัวใจรั่ว (Atrial septal defect หรือ Ventricular septal defect)
ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ (Valvular heart disease) เช่น ลิ้นหัวใจตีบหรือลิ้นหัวใจรั่ว
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardial disease) เช่น หัวใจ ห้องล่างซ้ายบีบตัวลดลง (Left ventricular systolic dysfunction) หรือกล้ามเนื้อหัวใจหนา (Hypertrophic cardiomyopathy)
ความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจหนาบีบรัดหัวใจ (Constrictive pericarditis)
ความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease) เช่น Myocardial ischemia induced heart failure เนื่องจากการรักษาในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวจากสาเหตุต่างๆ มีความแตกต่างกัน
อาการและอาการแสดง
อาการบวมในบริเวณที่เป็นระยางส่วนล่างของร่างกาย (Dependent part)
อ่อนเพลีย (Fatigue) เนื่องจากการที่มีเลือดไปเลี้ยงร่างกายลดลงทำให้สมรรถภาพของร่างกายลดลง
อาการเหนื่อย (Dyspnea) เป็นอาการสำคัญของผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว
อาการเหนื่อยขณะที่ออกแรง (Dyspnea on exertion)
อาการเหนื่อย หายใจไม่สะดวกขณะนอนราบ (Orthopnea)
อาการหายใจไม่สะดวกขณะนอนหลับและต้องตื่นขึ้นเนื่องจากอาการหายใจไม่สะดวก PND
แน่นท้อง ท้องอืด เนื่องจากตับโตจากเลือดคั่งในตับ (Hepatic congestion) มีน้ำในช่องท้อง (Ascites)
ตรวจพบบ่อย
เสียงหัวใจผิดปกติโดยอาจตรวจพบเสียง S3 หรือ S4 gallop หรือ Cardiac murmur
เสียงปอดผิดปกติ (Lung crepitation) จากการที่มีเลือดคั่งในปอด (Pulmonary congestion) อาจมีเสียงWheezing
ตับโต (Hepatomegaly) หรือน้ำ ในช่องท้อง (Ascites)
หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) หายใจเร็ว (Tachypnea)
เส้นเลือดดำ ที่คอโป่งพอง (Jugular vein distention)
หัวใจโต โดยตรวจพบว่ามีApex beat หรือ PMI
บวมกดบุ๋ม (Pitting edema)
การวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อการวินิจฉัย ภาพถ่ายรังสีทรวงอก (Chest X-ray, CXR)
เป็นการตรวจเพื่อยืนยันภาวะเลือดคั่งในปอด (Pulmonary congestion)
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography)
สามารถบอกว่ามีความผิดปกติของหัวใจ
การตรวจเลือด
Complete blood count (CBC): เพื่อตรวจหาภาวะซีด
การทำงานของไต (Renal function): การตรวจ BUN, creatinine เพื่อประเมินการทำงานของไต
การตรวจการทำงานของตับ (Liver function test): ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวอาจมีการทำงานของตับผิดปกติเนื่องจากมีการคั่งของเลือดในตับ
การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหัวใจ (Echocardiography)
วินิจฉัยว่ามีความผิดปกติของโครงสร้างหรือการทำงานของหัวใจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลว
แนวทางปฏิบัติ
ให้ Tolvaptan (V2-receptor antagonist) ในระยะเวลาสั้น (ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์)
พิจารณาการสวนหัวใจเพื่อวัดความดันโลหิต (Right heart catheterization) และใช้ Invasive monitoring
ความดันซิสโตลิกน้อยกว่า 85 มิลลิเมตรปรอทและ / หรือมีการทำงานของไตเสื่อมไม่สามารถประเมิน Left ventricular filing pressure ได้ชัดเจน
ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาดังกล่าวข้างต้น
เพื่อประเมินภาวะ Pulmonary hypertension
พิจารณาใช้ยาขยายหลอดเลือด ได้แก่ Sodium nitroprusside หรือ Nitroglycerine
ไม่ควรใช้การสวนหัวใจห้องขวาเพื่อวัดความดัน (Right heart catheterization)
:red_flag: ไม่แนะนำให้ยาช่วยกระตุ้นหัวใจ (Intravenous inotrope) ในผู้ป่วย Acute heart failure เป็น Routine ทุกราย
ให้ Oxygen supplement ในผู้ป่วยที่ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด น้อยกว่าร้อยละ 90 หรือ pO2 น้อยกว่า 60 มิลลิเมตรปรอท
พิจารณาให้ยาช่วยกระตุ้นหัวใจ (Intravenous inotropes)
:red_flag: ไม่แนะนำให้ Oxygen supplement ในผู้ป่วย Acute heart failure เป็น Routine ทุกราย
ควรติดตามค่าการทำงานของไต (BUN, creatinine) ซีรั่มโซเดียมและซีรั่มโพแทสเซียมทุกวัน
แนะนำ Noninvasive ventilation
วัดปริมาตร Intake และ output ทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง
พิจารณา Mechanical circulatory support device (MCSD) ในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อคแม้ได้รับการรักษาด้วยวิธีมาตรฐานข้างต้นอย่างเต็มที่แล้ว
เมื่อใช้ยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำชนิด Loop diuretic แล้วผู้ป่วยไม่ตอบสนอง
เมื่อใช้ยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำชนิด Loop diuretic แล้วผู้ป่วยไม่ตอบสนอง
1 ประเมินผู้ป่วยใหม่
2 เพิ่มขนาดของยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำชนิด Loop diuretic
3 เปลี่ยนการบริหารยาเป็นแบบ Continuous infusion
5 พิจารณาให้ยากระตุ้นหัวใจทางหลอดเลือด (Intravenous inotrope) หรือยาขยายหลอดเลือด (Vasodilator)
4 เพิ่มยาขับปัสสาวะที่ออกฤทธิ์แตกต่าง ได้แก่ Thiazide หรือ aldosterone antagonist, low-dose dopamine (ขนาดต่ำกว่า 5 ไมโครกรัม / กิโลกรัม / นาที)
ควรยึดแนวทางปฏิบัติและคำแนะนำในการดูและรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง (Chronic
heart failure)
ให้ยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำชนิด Loop diuretic เพื่อลดอาการและอาการแสดงของภาวะคั่งน้ำ (Congestion)
ควรได้รับการประเมินหาสาเหตุหรือปัจจัยกระตุ้นภาวะหัวใจ
ล้มเหลวตามและแก้ไขสาเหตุเหล่านั้นอย่างทันท่วงท
การพยาบาล
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาและมีการติดตามประเมินผลของยา
ชั่งนํ้าหนักผู้ป่วยทุกวันในเวลาเดิมคือ
ประเมิน V/S ทุก 1 ชั่วโมง
จํากัดนํ้าในแต่ละวันตามแนวทางการรักษาโดยในรายที่ไม่รุนแรงให้ จํากัดประมาณ 800-1,000 ซีซี/วัน
จัดท่านั่งศีรษะสูง 30-90 องศา (Fowler’s position) หรือนั่งฟุบบนโต๊ะข้างเตียง
ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับความเจ็บป่วยด้วยภาวะหัวใจวาย
กระตุ้นให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึกไม่สบายใจที่มีอยู่หรือความรู้สึกกลัว
สอนและแนะนําเทคนิคการผ่อนคลายที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้ป่วย
ควรกระตุ้นและส่งเสริมให้ครอบครัว ญาติ หรือบุคคลใกล้ชิดมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย
มีการให้ข้อมูลเก่ียวกับการรักษาและการเปลี่ยนแปลงของ อาการท่ีเกิดขึ้นไปในทางท่ีดี
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของหัวใจในการบีบเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น
ช่วยให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในการควบคุมอาการของภาวะหัวใจวายได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
สอนให้สังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น
ยํ้าเน้นถึงความสําคัญของการมาตรวจตามนัดทุกครั้งตามแผนการรักษาของแพทย์จนกว่าจะ
ควบคุมโรคได้และให้มีการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
ดูแลจัดการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในการดูแลตนเอง