Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤต ระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต - Coggle…
บทที่ 6 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤต
ระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
หัวใจล้มเหลว (Heart failure)
เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างหรือการทำงานของหัวใจ
ชนิด
เวลาการเกิดโรค
New onset
เกิดขึ้นครั้งแรก โดยอาจเป็นแบบ Acute หรือ Slow
Transient
อาการชั่วขณะ เช่น เกิดขณะมีภาวะหัวใจขาดเลือด
Chronic
อาการเรื้อรัง โดยอาจมีอาการคงที่ (Stable) หรือมากขึ้น (Worsening หรือ Decompensation)
การทำงานของ
กล้ามเนื้อหัวใจ
Systolic
การบีบตัวของหัวใจห้อง Left ventricle ลดลง ใช้ค่า LVEF ต่ำกว่าร้อยละ 40
Diastolic
การบีบตัวของหัวใจห้อง Left ventricle ลดลง ใช้ค่า LVEF ใช้ค่า LVEF มากกว่าร้อยละ 40-50
อาการและอาการแสดงของหัวใจที่ผิดปกติ
Left sided
เกิดจากปัญหาของหัวใจห้องล่างซ้าย หรือห้องบนซ้าย
มักเป็นอาการที่เกิดกับปอด เช่น Orthopnea หรือ Paroxysmal nocturnal dyspnea
Right sided
เกิดจากปัญหาของหัวใจห้องล่างขวา หรือห้องบนขวา
เป็นอาการที่เกิดจากหัวใจโดยตรง เช่น อาการบวม ตับโต
ลักษณะของ Cardiac output
High-output
สาเหตุเกิดจากโรคอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับหัวใจ
เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ ซีด ภาวะขาดวิตามินบี1
Low-output
เฉียบพลัน
เกิดขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว
Ex.ผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน, มีภาวะหัวใจล้มเหลวมาก่อนแต่มีอาการเลวลง ADHF
เรื้อรัง
มีการทำงานที่ผิดปกติไปของหัวใจอยู่เป็นเวลานาน
มีอาการคงที่
สาเหตุ
ผิดปกติแต่กำเนิด (Congenital heart disease)
ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ (Valvular heart disease)
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardial disease)
ความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ
ความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease)
อาการ
อาการเหนื่อย (Dyspnea)
ขณะที่ออกแรง
Orthopnea
Paroxysmal nocturnal dyspnea
อาการบวม Dependent part
กดบุ๋มที่ขา
อ่อนเพลีย (Fatigue)
แน่นท้อง ท้องอืด
อาการแสดงที่ตรวจพบบ่อย
หัวใจเต้นเร็ว, Jugular vein distention
หัวใจโต, เสียงหัวใจผิด, เสียงปอดผิดปกติ (Lung crepitation)
ตับโต (Hepatomegaly), Ascites, Pitting edema
การวินิจฉัย
Chest X-ray, CXR
ยืนยันภาวะเลือดคั่งในปอด, ความผิดปกติของหัวใจ
electrocardiography
บอกว่ามีความผิดปกติของหัวใจ
ตรวจเลือด
CBC ตรวจหาภาวะซีด
Renal function ตรวจ BUN, creatinine
Liver function test การทำงานของตับผิดปกติ
Echocardiography
ดูความผิดปกติของโครงสร้างหรือการทำงานของหัวใจ
แนวทางเวชปฏิบัติเพื่อการวินิจฉัยและการดูแลรักษา
ประเมินหาสาเหตุหรือปัจจัยกระตุ้นภาวะหัวใจล้มเหลวตามและแก้ไขสาเหตุ
ให้ยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำชนิด Loop diuretic
ถ้าให้ยาแล้วไม่ดีขึ้นเปลี่ยนการบริหารยาเป็นแบบ Continuous infusion
ชั่งน้ำหนักผู้ป่วยและวัดปริมาตร Intake และ output ทุกวัน
ติดตามค่าการทำงานของไต (BUN, creatinine)
พิจารณาให้ยาช่วยกระตุ้นหัวใจ
:red_cross:ยาช่วยกระตุ้นหัวใจ (Intravenous inotrope) ในผู้ป่วย Acute heart failure
ใช้ยาขยายหลอดเลือด
สวนหัวใจเพื่อวัดความดันโลหิต
:red_cross:Oxygen supplement ในผู้ป่วย Acute heart failure
บทบาทพยาบาล
ผู้ป่วยอาการหัวใจล้มเหลวดีขึ้น
ผู้ป่วยไม่มีภาวะน้ำเกินหรือขาดน้ำ
ได้รับการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นที่เป็นสาเหต
ได้รับการค้นหาสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้อาการกำเริบ
การพยาบาล
ให้ผู้ป่วยได้ Bed rest
จัดท่านั่งศีรษะสูง 30-90 องศา (Fowler’s position)
ประเมิน V/S ทุก 1 ชั่วโมง
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
ชั่งนํ้าหนักผู้ป่วยทุกวันในเวลาเดิม
จํากัดนํ้าในแต่ละวันตามแนวทางการรักษา
ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับความเจ็บป่วย
ช่วยให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในการดูแลตนเอง
สอนให้สังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น
เน้นถึงความสําคัญของการมาตรวจตามนัดทุกครั้ง
Shock
ความหมาย
เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ ไม่เพียงพอ ส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ล้มเหลว (Organ failure)
การแปลผลความดันโลหิต
SBP
ค่าความดันของหลอดเลือดขณะหัวใจบีบตัว
ถ้าค่า SBP สูง แสดงว่า Systolic function ดี ถ้าค่า SBP ต่ำ แสดงว่า Systolic function ไม่ดี
DBP
ค่าความดันของหลอดเลือดขณะหัวใจคลายตัว
ถ้าค่า DBP สูง แสดงว่า Afterload สูง ถ้าค่า DBP ต่ำ แสดง ว่า Afterload ต่ำ
ความแตกต่างของ systolic blood pressure และ diastolic blood pressure เรียกว่า pulse pressure
MAP
ค่าความดันโลหิตเฉลี่ย
ให้อยู่ที่ 65 มม. ปรอท
Classification of shock
Low cardiac output
หลอดเลือดตีบ Vasoconstriction
diastolic blood pressure สูง และ Pulse pressure แคบทำให้ Systemic vascular resistance (SVR) สูง
ช็อกประเภทต่างๆ
Hypovolemic shock
Cardiogenic shock
Obstructive shock
High cardiac output
่หลอดเลือดขยายตัว (Vasodilatation)
Diastolic blood pressure ต่ำและ Pulse pressure กว้าง ทำให้ Systemic vascular resistance (SVR) ต่ำ
ช็อกประเภทต่างๆ
Septic shock
Anaphylactic shock
Endocrinologic shock
Neurogenic shock
Shock management
รักษาจำเพาะ (Specific treatment)
รักษาประคับประคอง (Supportive treatment)
Supportive treatment
Airway
ถ้ามี Upper airway obstruction ควรทำการเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
Breathing
ควรให้ออกซิเจน
Circulation
พิจารณาการให้สารน้ำหรือ Vasopressors / inotropes ตามสาเหตุของช็อก
Fluid therapy
ประโยชน์
Hypovolemic shock
Right side cardiogenic shock
Obstructive shock
Distributive shock
ตำแหน่งของหลอดเลือดในการให้สารน้ำ
ควรเลือกเส้นเลือดดำ Peripheral vein
ทำได้สะดวก
มีคุณสมบัติในการรับสารน้ำหรือเลือดได้ดี
ใช้เวลานานกว่าไปถึงหัวใจ ทำให้สารน้ำที่ไปถึงหัวใจใกล้เคียงกับ Core temperature
ควรใช้ขนาดเข็มที่ให้สารน้ำ No. 16 หรือ No. 18
สามารถให้สารน้ำได้ 2 ประเภท
Crystalloids
Normal saline เป็นสารน้ำที่นิยมใช้กันมากที่สุด
ข้อพึงระวัง
Volume overload เกิดจากการให้สารน้ำที่เร็วจนเกินไป
Hypernatremia เนื่องจาก Saline มี Na 154 mEq/L
Hyperchlorermic metabolic acidosis
เกิดจากการให้ Saline เป็นจำนวนมาก
Ringer's lactate solution
ข้อควรระวัง
Volume overload เกิดจากการให้สารน้ำที่เร็วจนเกินไป
Lactic acidosis โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคตับ
Hyperkalemia เนื่องจาก RLS มี K+ 4 mEq / L
Hypercalcemia เนื่องจาก RLS มี Ca2+ 3 mEq/L
Colloids
ผลข้างเคียง
Anaphylactic / anaphylactoid reaction
Renal toxicity
Coagulopathy/platelet dysfunction
Vasoactive drug
กลไกการออกฤทธิ์
Positive inotropic effect เป็นฤทธิ์ที่ทำให้การบีบตัวของหัวใจดีขึ้น
Positive chronotropic effect เป็นฤทธิ์ที่ทำให้ Heart rate เพิ่มขึ้น
Vasopressor effect เป็นฤทธิ์ที่ทำให้ความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้น
การเลือกใช้
Cardiogenic shock เลือกใช้ Dopamine หากความดันโลหิตต่ำมาก
Obstructive shock ให้สารน้ำก่อน ใช้ Dopamine หากความดันโลหิตต่ำมาก
Septic shock ให้สารน้ำก่อน ถ้าความดันไม่ดีขึ้นควรเลือก Norepinephrine ก่อน Dopamine
Endocrinologic shock ให้สารน้ำและให้การรักษาทดแทนทางฮอร์โมน
Anaphylactic shock เลือก Epinephrine (Adrenaline) ก่อนเสมอ
Neurogenic shock เลือก Dopamine ก่อน
Nursing diagnosis
ปริมาณเลือดออกจากหัวใจต่อนาทีต่ำลงเนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะช็อค
ประเมินและบันทึก V/S ทุก 10 นาที
ได้รับสารน้ำ 0.9% NSS load จนครบ
ให้ยาปฏิชีวนะ Ceftriazone 2 gm Intravenous drip in 1 hr
บันทึกจำนวนปัสสาวะที่ออก
ภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา Levophed อาจเกิดภาวะยาดังเฉพาะที่หรือรั่วซึมออกนอก หลอดเลือดเกิดเนื้อตายได้
ดูแลให้ได้รับยาเข้าทางหลอดเลือดดำใหญ่ตรง Antecubital vein
วัดความดันโลหิตและอัตราหัวใจเต้นทุก 10 นาที
เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพการหายใจลดลง
จัดท่านอนและให้ออกซิเจน
Observe O2 Saturation
ประเมินสัญญาณชีพ O2 Saturation ทุก 15 นาที
Hypertensive crisis
สาเหตุ
Sudden withdrawal of antihypertensive medications
Acute or chronic renal disease
Exacerbation of chronic hypertension
ใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้ความดันโลหิตสูง เช่น ยาคุมกำเนิด
อาการและอาการแสดง
Acute cardiovascular syndromes
Myocardial infarction
Unstable angina
Pulmonary edema
Aortic dissection
การซักประวัติ
โรคประจำตัว
ความสม่ำเสมอในการรับประทานยา
ผลข้างเคียงของยาที่ใช้
การสูบบุหรี่
ประวัติความดันโลหิตสูงที่เป็นในสมาชิกครอบครัว
สอบถามอาการ TOD
โรคหลอดเลือดสมอง
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ไตวายเฉียบพลัน
การตรวจร่างกาย
วัดสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต
ตรวจหาความผิดปกติที่เกิดจาก TOD
โรคหลอดเลือดสมอง
ตรวจจอประสาทตา
Chest pain
Aortic dissection ให้คลำชีพจรที่แขนและขาทั้ง 2 ข้าง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจ CBC ประเมินภาวะ MAHA
ตรวจ Creatinine และ eGFR
12-lead ECG
chest X-ray
การรักษา
ให้ยาลดความดันโลหิตชนิดหยดเข้าหลอดเลือดดำ
ยาควรออกฤทธิ์เร็วและหมดฤทธิ์เร็ว
ยาที่ใช้ เช่น sodium nitroprusside, nitroglycerin,
การพยาบาล
ระยะเฉียบพลัน
เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
ระหว่างได้รับยา
ประเมินและบันทึกการตอบสนองต่อยา
สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง
ประเมินชีพจร capillary refill
ประเมินการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงไต
การรักษาด้วย sodium nitroprusside เก็บยาให้พ้นแสงและตลอดการให้ยาแก่ผู้ป่วย
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรม
ให้ความรู้/ข้อมูลแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการรักษาเพื่อควบคุมความดันโลหิต
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลายไม่เพียงพอ
Cardiac dysrhythmias
Atrial fibrillation (AF)
ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว
ประเภท
Paroxysmal หายได้เองภายใน 7 วันโดยไม่ต้องใช้ยา
Persistent ไม่หายได้เองภายใน 7 วัน หรือหายได้ดัวยการรักษาด้วยยา
Permanent เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปี รักษาแต่ไม่หาย
Recurrent เป็นซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง
Lone อายุน้อยกว่า 60 ปี ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ
สาเหตุ
โรคหัวใจขาดเลือด
โรคหัวใจรูห์มาติก ภาวะหัวใจล้มเหลว
ความดันโลหิตสูง เยื่อหุ้มหัวใจ อักเสบ
อาการและอาการแสดง
ใจสั่น อ่อนเพลีย
เหนื่อยเวลาออกแรง คลำชีพจรที่ข้อมือได้เบา
การพยาบาล
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ
สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ
ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษา
เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการทำ Cardioversion
เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation)
Ventricular tachycardia (VT)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดที่ ventricle เป็นจุดกำเนิดการเต้นของหัวใจ
ประเภท
Nonsustained เกิดต่อเนื่องน้อยกว่า 30วินาที
Sustained เกิดต่อเนื่องกันนานกว่า 30วินาที
Monomorphic QRS complex รูปแบบเดียว
Polymorphic QRS complex ไม่เป็นรูปแบบเดียว
สาเหตุ
Myocardial infarction
Rheumatic heart disease
ถูกไฟฟ้าดูด
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
อาการและอาการแสดง
เกิดทันที ใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ
หน้ามืด เจ็บหน้าอก
หายใจลำบาก หัวใจหยุดเต้น
การพยาบาล
นำเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันที
เปิดหลอดเลือดดำเพื่อให้ยาและสารน้ำ
คลำชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ
ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุ
คลำชีพจรไม่ได้ (Pulseless VT) ให้เตรียมเครื่อง Defibrillator
ทำ CPR ถ้าหัวใจหยุดเต้น
Ventricular fibrillation (VF)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกำเนิดการเต้นของหัวใจตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่ง
สาเหตุ
Hypovolemia
Hypoxia, Toxins
Hydrogen ion (acidosis)
Hypokalemia, Hyperkalemia
Hypothermia, Tension pneumothorax, Cardiac tamponade
อาการและอาการแสดง
เกิดทันที คือ หมดสติ ไม่มีชีพจร รูม่านตาขยาย
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ปริมาณเลือดออกจากหัวใจในหนึ่งนาทีลดลงเนื่องจากความผิดปกติของอัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจ
การพยาบาล
ป้องกันภาวะ tissue hypoxia โดยให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
ติดตามค่าเกลือแร่ในเลือด
ติดตามผลข้างเคียงของยา
ติดตามและบันทึกอาการแสดงของภาวะอวัยวะและเนื้อเยื่อได้รับเลือดไปเลี้ยง (Tissue perfusion) ลดลง
ติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ
ให้ยา antidysrhythmia ตามแผนการรักษา
ทำ CPR ร่วมกับทีมรักษาผู้ป่วย ในกรณีเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง