Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต,…
บทที่ 6 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
Acute Heart Failure (AHF)
สาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว
ผนังกั้น ห้องหัวใจรั่ว (Atrial septal defect หรือ Ventricular septal defect)
ลิ้นหัวใจตีบหรือลิ้นหัวใจรั่ว
หัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัวลดลง (Left ventricular systolic dysfunction) หรือกล้ามเนื้อหัวใจหนา (Hypertrophic cardiomyopathy)
เยื่อหุ้มหัวใจหนาบีบรัดหัวใจ (Constrictive pericarditis)
Myocardial ischemia induced heart failure
อาการและอาการแสดงของหัวใจล้มเหลว
หัวใจโต โดยตรวจพบว่ามี Apex beat
เสียงหัวใจผิดปกติโดยอาจตรวจพบเสียง S3 หรือ S4 gallop
เส้นเลือดดำ ที่คอโป่งพอง (Jugular vein distention)
จากการที่มีเลือดคั่งในปอด (Pulmonary congestion) ในผู้ป่วยบางรายอาจมีเสียงหายใจวี๊ด (Wheezing)
หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) หายใจเร็ว (Tachypnea)
ตับโต (Hepatomegaly) หรือน้ำ ในช่องท้อง (Ascites)
บวมกดบุ๋ม (Pitting edema)
ชนิดของหัวใจล้มเหลว
ที่แบ่งตามการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
Systolic heart failure หรือ Heart failure with reduced EF (HFREF) : หัวใจล้มเหลวที่เกิดร่วมกับการบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายล่าง (Left ventricle) ลดลง
Diastolic heart failure หรือ Heart failure with preserved EF (HFPEF): หัวใจล้มเหลวที่เกิดร่วมกับการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายปกติ
แบ่งตามอาการและอาการแสดงของหัวใจที่ผิดปกติ
Left sided-heart failure: เป็นอาการของหัวใจล้มเหลวที่มีอาการ Orthopnea หรือ Paroxysmal nocturnal dyspnea (PND)
Right sided-heart failure: เป็นอาการของหัวใจล้มเหลวที่มีอาการ อาการบวม ตับโต
ที่แบ่งตามเวลาของการเกิดโรค
Transient: หัวใจล้มเหลวที่มีอาการชั่วขณะ เช่น เกิดขณะมีภาวะหัวใจขาดเลือด
Chronic: หัวใจล้มเหลวที่มีอาการเรื้อรัง โดยอาจมีอาการคงที่ (Stable) หรือ อาการมากขึ้น (Worsening หรือ Decompensation)
New onset: หัวใจล้มเหลวที่เกิดขึ้นครั้งแรก โดยอาจเป็นแบบเฉียบพลัน (Acute onset) หรือเกิดขึ้นช้า (Slow onset)
แบ่งตามลักษณะของ Cardiac output
High-output heart failure: คือ ภาวะที่อาการและอาการแสดงของ หัวใจล้มเหลวเกิดจากการที่ร่างกายต้องการปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ (Cardiac output) มากกว่าปกติ
Low-output heart failure: คือ ภาวะที่หัวใจบีบเลือดออกจากหัวใจได้น้อยลง (Low cardiac output)จนเกิดภาวะหัวใจล้มภาวะหัวใจล้มเหลว
การวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อการวินิจฉัย ภาพถ่ายรังสีทรวงอก (Chest X-ray, CXR)
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography)
การตรวจเลือด Complete blood count (CBC): เพื่อตรวจหาภาวะซีด
การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหัวใจ (Echocardiography)
บทบาทพยาบาล
ประเมิน V/S ทุก 1 ชั่วโมง
จัดท่านั่งศีรษะสูง 30-90 องศา (Fowler’s position) เพื่อช่วยลดปริมาตรเลือดที่ไหลกลับเข้าสู่หัวใจและช่วยให้ปอดขยายตัวได้ดีขึ้น
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาและมีการติดตามประเมินผลของยาดังนี้
ยาดิจิทาลิส (Digitalis)
ยาโดปามีน (Dopamine)
ยาไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerine)
ยากลุ่ม ACE inhibitor จะช่วยในการขยายหลอดเลือด
ยาขับปัสสาวะ เพื่อช่วยลดปริมาตรเลือดที่ไหลกลับเข้าสู่หัวใจ
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของหัวใจในการบีบเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น
สอนให้สังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น
ย้ำเน้นถึงความสําคัญของการมาตรวจตามนัดทุกครั้งตามแผนการรักษาของแพทย์จนกว่าจะควบคุมโรคได้และให้มีการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง
ภาวะช้อก (Shock)
การให้ Ringer's lactate solution มีข้อควรระวังดังนี้
Hyperkalemia
Hypercalcemia
Lactic acidosis
Volume overload
Shock management
การรักษาจำเพาะ (Specific treatment) สำหรับภาวะช็อกแต่ละประเภท
การรักษาประคับประคอง (Supportive treatment)
การแบ่งประเภทของช็อก (Classification of shock)
Low cardiac output shock (Hypodynamic shock)
ประกอบด้วย
Hypovolemic shock
Cardiogenic shock
Obstructive shock
เป็นภาวะช็อกที่ Cardiac output ต่ำและ
เป็นภาวะช็อกที่หลอดเลือดตีบ (Vasoconstriction)
High cardiac output shock (Distributive shock, hyperdynamic shock)
เป็นภาวะช็อกที่ Cardiac output สูง และเป็นภาวะช็อกที่หลอดเลือดขยายตัว (Vasodilatation)
ประกอบด้วย
Septic shock
Endocrinologic shock ได้แก่ Adrenal crisis, thyroid storm
Neurogenic shock
Anaphylactic shock
Drug and toxin
Supportive treatment
Circulation: พิจารณาการให้สารน้ำหรือ Vasopressors / inotropes ตามสาเหตุของช็อกแต่ละประเภท
Breathing: ในผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะช็อกควรให้ออกซิเจนร่วมด้วย
Airway: กรณีที่มี Upper airway obstruction ควรทำการเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
ความหมายของช็อก
ภาวะช็อก หมายถึง ภาวะที่เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ ไม่เพียงพอ (Poor tissue perfusion) หากรักษาไม่ทันท่วงทีจะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ล้มเหลว (Organ failure) ตามมา
Fluid therapy
Right side cardiogenic shock
Obstructive shock
Hypovolemic shock
Distributive shock (High cardiac output shock)
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)และการพยาบาล
ผู้ป่วยอยู่ในภาวะปริมาณเลือดออกจากหัวใจต่อนาทีต่ำลงเนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะช็อค
ดูแลให้ได้รับสารน้ำ 0.9% NSS load
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะ Ceftriazone 2 gm Intravenous drip in 1 hr (Septic shock)
ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพอาการอาการแสดงของ Shock
บันทึกจำนวนปัสสาวะที่ออกเพื่อประเมินหน้าที่การทำงานของไต
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา Levophed อาจเกิดภาวะยาดังเฉพาะที่หรือรั่วซึมออกนอกหลอดเลือดเกิดเนื้อตายได้
ตรวจวัดความดันโลหิตและอัตราหัวใจเต้นทุก 10 นาที
ประเมินผลความดันโลหิต อัตราหัวใจเต้น และไม่มีภาวะแทรกซ้อน
โดยดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาเข้าทางหลอดเลือดดำใหญ่ตรง Antecubital vein โดยใช้ infusion pump
เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพการหายใจลดลง
Observe O2 Saturation
ประเมินสัญญาณชีพ O2 Saturation ทุก 15 นาที
ดูแลส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดโดยจัดท่านอนและให้ออกซิเจน
มีไข้จากมีการติดเชื้อในกระแสเลือด (Septic shock)
ลดไข้และให้ผู้ป่วยมีความสุขสบาย โดยดูแลเช็ดตัวลดไข้
ประเมินภาวะไข้
ผู้ป่วยและญาติมีสีหน้าวิตกกังวล
ให้คำอธิบาย ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับภาวะโรคและแผนการรักษา
เพื่อบรรเทาความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ โดยให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
Hypertensive crisis
อาการและอาการแสดง
เจ็บแน่นหน้าอกแบบเฉียบพลัน/แบบไม่คงที่ (Unstable angina)
น้ำท่วมปอด (Pulmonary edema)
ความดันโลหิตสูงขั้นวิกฤตที่ทำให้เกิดอาการทางสมอง เรียกว่า Hypertensive encephalopathy
ปวดศรีษะ
การมองเห็นผิดปกติ
สับสน
คลื่นไส้ อาเจียน
ภาวะเลือดเซาะในผนังหลอดเลือดเอออร์ต้า (Aortic dissection)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
ตรวจการทำงานของไตจากค่า Creatinine และ Glomerular filtration rate (eGFR) และค่าอัลบูมินในปัสสาวะ
ประเมินหาความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12-lead ECG)
ตรวจ CBC ประเมินภาวะ Microangiopathic hemolytic anemia (MAHA)
Chest X-Ray
ในรายที่สงสัยความผิดปกติของสมอง ส่งตรวจเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง
สาเหตุ
Acute or chronic renal disease
Exacerbation of chronic hypertension
การหยุดยาลดความดันโลหิตทันที (Sudden withdrawal of antihypertensive medications)
การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้ความดันโลหิตสูง เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
การรักษา
ยาลดความดันโลหิตที่พึงประสงค์ควรออกฤทธิ์เร็วและหมดฤทธิ์เร็วเมื่อหยุดยา มีผลข้างเคียงต่อตับและไตน้อย
Sodium Nitroprusside
Nicardipine, Nitroglycerin, Labetalol
Sodium Nitroprusside ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับและไตบกพร่อง
ผู้ป่วย Hypertensive crisis ต้องให้การรักษาทันทีใน ICU และให้ยาลดความดันโลหิตชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
ความหมาย
Cardiovascular disease (CVD)
โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
โรคหลอดเลือดสมอง
โรคของหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี่
โรคหัวใจล้มเหลว
Hypertensive urgency
ภาวะความดันโลหิตสูงรุนแรงแต่ไม่มีอาการของอวัยวะเป้าหมายถูกทำลาย
Target organ damage (TOD)
ความผิดปกติที่เกิดแก่อวัยวะในร่างกายจากความดันโลหิตสูง
หัวใจห้องล่างซ้ายโต
ภาวะโปรตีนขับออกมากับปัสสาวะ (microalbuminuria)
การแข็งตัวของหลอดเลือดแดง
Hypertensive emergency
ภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/120 มม.ปรอท ร่วมกับมีการทำลาย
ของอวัยวะเป้าหมาย อาจมีอาการของ Acute MI และ Stroke
ความดันโลหิต
มีค่าความดันโลหิตซิสโตลิก ตั้งแต่ 140 มิลลิเมตรปรอท และความดันโลหิตไดแอสโตลิกตั้งแต่ 90 มิลลิเมตรปรอท ในผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป
Hypertensive crisis หรือ Hypertensive emergency
ภาวะความดันโลหิตสูงอย่างเฉียบพลันสูงกว่า180/120 มม.ปรอท และทำให้เกิดการทำลายของอวัยวะเป้าหมาย (Target organ damage, TOD)
การพยาบาล
ประเมินการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลาย ได้แก่ ชีพจร Capillary refill อุณหภูมิของผิวหนัง
ประเมินการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงไต ได้แก่ ปริมาณปัสสาวะสมดุลกับสารน้ำที่รับเข้าร่างกาย ค่า BUN Cr ปกติ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ไม่ควรลด SBP ลงมาต่ำกว่า 120 มม.ปรอท ความดันโลหิต DBP ที่เหมาะสม คือ 70-79 มม.ปรอท
การรักษาด้วย Short-acting intravenous antihypertensive agents
ในระยะเฉียบพลัน เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของระบบต่างๆ
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรม เช่นการจัดท่านอนให้สุขสบาย การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ
ให้ความรู้/ข้อมูลแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการรักษาเพื่อควบคุมความดันโลหิต
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลายไม่เพียงพอ (Risk for ineffective peripheral tissue perfusion)
วิตกกังวล (Anxiety related to threat to biologic, psychologic, or social integrity)
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ (Risk for ineffective cerebral tissue perfusion)
พร่องความรู้ (Deficient knowledge related to lack of previous exposure to information)
Cardiac arrhythmias: Sustained AF, VT, VF
ประเภทของ AF
Persistent AF หมายถึง AF ที่ไม่หายได้เองภายใน 7 วัน หรือหายได้ดัวยการรักษาด้วยยา หรือการช็อคไฟฟ้า
Permanent AF หมายถึง AF ที่เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปีโดยไม่เคยรักษาหรือเคยรักษาแต่ไม่หาย
Paroxysmal AF หมายถึง AF ที่หายได้เองภายใน 7 วันโดยไม่ต้องใช้ยา หรือการช็อคไฟฟ้า (Electrical Cardioversion)
Recurrent AF หมายถึง AF ที่เกิดซ้ ามากกว่า 1 ครั้ง
Lone AF หมายถึง AFที่เป็นในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
สาเหตุของ AF
โรคหัวใจรูห์มาติก
ภาวะหัวใจล้มเหลว
พบบ่อยในโรคหัวใจขาดเลือด
ความดันโลหิตสูง
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
ผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ (open heart surgery)
Hyperthyrodism
ความหมาย AF
Atrial fibrillation (AF) คือ ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว เกิดจากจุดปล่อยกระแสไฟฟ้า (Ectopic focus) ใน atrium ส่งกระแสไฟฟ้าออกมาถี่และไม่สม่ าเสมอและไม่ประสานกัน ทำให้ Atrium บีบตัวแบบสั่นพริ้วและคลื่นไฟฟ้าไม่สามารถผ่านไปยัง Ventricle ได้ทั้งหมด
อาการและอาการแสดงของ AF
เหนื่อยเวลาออกแรง
คลำชีพจรที่ข้อมือได้เบา
ใจสั่น อ่อนเพลีย
การพยาบาลของ AF
สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอด แขนและขา
ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เช่น Digoxin, Beta-blocker, Calcium channel blockers,Amiodarone
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษาในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ว่ามีลิ่มเลือดเกิดขึ้น
เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation) ในผู้ป่วยที่เป็น AF และไม่สามารถควบคุมด้วยยาได้
เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการทำ Cardioversion เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
ความหมายของ VT
Ventricular tachycardia (VT) หมายถึง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดก าเนิดการเต้นของหัวใจ ในอัตราที่เร็วมากแต่สม่ าเสมอ 150-250 ครั้ง/นาที
ความหมายของ VF
Ventricular fibrillation (VF) หมายถึง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกำเนิดการเต้นของหัวใจตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่ง เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่สม่ำเสมอ
ประเภทของ VT
Sustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30วินาทีซึ่งมีผลทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง
Monomorphic VT คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
Nonsustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30วินาที
Polymorphic VT หรือ Torsade คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
สาเหตุของ VT
พบบ่อยในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายบริเวณกว้าง (Myocardial infarction) โรคหัวใจรูห์มาติก (Rheumatic heart disease)
ถูกไฟฟ้าดูด ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ พิษจากยาดิจิทัลลิส (Digitalis toxicity)
กล้ามเนื้อหัวใจถูกกระตุ้นจากการตรวจสวนหัวใจ
การพยาบาลผู้ป่วย VT
นำเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันทีและเปิดหลอดเลือดดำเพื่อให้ยาและสารน้ำ
คลำชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียว จำนวนปัสสาวะ เพื่อประเมินภาวะเลือดไปเลี้ยงสมอง และอวัยวะสำคัญลดลง
ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรได้ร่วมกับมีอาการของการไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง ให้เตรียม
ผู้ป่วยในการทำ Synchronized cardioversion
ทำ CPR ถ้าหัวใจหยุดเต้น
สาเหตุที่ทำให้เกิด VF และ Pulseless VT
Hypoxia
Hydrogen ion (acidosis)
Hypovolemia
. Hypokalemia
Hyperkalemia
Hypothermia
Tension pneumothorax
Cardiac tamponade
อาการและอาการแสดง
รูม่านตาขยายเนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตออกมาได้
เสียชีวิต
หมดสติไม่มีชีพจร
การพยาบาล
ทำ CPR ทันทีเนื่องจากการรักษา VF และ Pulseless VT สิ่งที่สำคัญคือ การช็อกไฟฟ้าหัวใจทันทีและการกดหน้าอก
เตรียมเครื่งมือ อุปกรณ์และยาที่ใช้ในการช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อม
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ปริมาณเลือดออกจากหัวใจในหนึ่งนาทีลดลงเนื่องจากความผิดปกติของ อัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจ
ติดตามผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วย
ติดตามและบันทึกอาการแสดงของภาวะอวัยวะและเนื้อเยื่อได้รับเลือดไปเลี้ยง (Tissue perfusion) ลดลง
ติดตามค่าเกลือแร่ในเลือด เพื่อหาสาเหตุน าของการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยเฉพาะ ST segment
ป้องกันภาวะ Tissue hypoxia โดยให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
ให้ยา Antidysrhythmia ตามแผนการรักษาและเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำ Synchronized cardioversion
ทำ CPR ร่วมกับทีมรักษาผู้ป่วย ในกรณีเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง (Lethal dysrhythmias)
นางสาวชุติมณฑน์ ชื่นจิตร 6001210606 เลขที่ 28 Section A