Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
Ventricular fibrillation (VF)
สาเหตุที่ทำให้เกิด VF และ Pulseless VT
Hypovolemia,Hypoxia,Hydrogen ion (acidosis),Hypokalemia,Hyperkalemia,
Hypothermia
Tension pneumothorax,Cardiac tamponade,Toxins,Pulmonary thrombosis,Coronary thrombosis
อาการและอาการแสดง
หมดสติไม่มีชีพจร รูม่านตาขยาย เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตออกมาได้และเสียชีวิต
การพยาบาล
ป้องกันภาวะ tissue hypoxia โดยให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา ในกรณีที่ค่า SpO2 น้อยกว่า 93% ในผู้ป่วยที่เป็น Stroke หรือ Acute MI ระดับ SpO2 ที่ปลอดภัยในผู้ป่วย 90-94%
ติดตามค่าเกลือแร่ในเลือด เพื่อหาสาเหตุนำของการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ติดตามผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยว่ามียาชนิดใดที่มีผลต่อ อัตรา และจังหวะการเต้นของหัวใจหรือไม่ ถ้าพบให้รายงานแพทย์ทันที
ติดตามและบันทึกอาการแสดงของภาวะอวัยวะและเนื้อเยื่อได้รับเลือดไปเลี้ยง (Tissue perfusion) ลดลง จากระดับความรู้สึกตัวลดลง ความดันโลหิตลดลง สีของผิวหนังเขียว อุณหภูมิของผิวหนังเย็นลง จำนวนปัสสาวะลดลงและ capillary refill time นาน
ติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยเฉพาะ ST segment เพื่อประเมินภาวะ Myocardial tissue perfusion และป้องกันการเกิด Myocardial ischemia
ให้ยา antidysrhythmia ตามแผนการรักษาและเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำ synchronized cardioversion ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดไม่รุนแรง (Nonlethal dysrhythmias)
ทำ CPR ร่วมกับทีมรักษาผู้ป่วย ในกรณีเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง (lethal dysrhythmias)
Hypertensive crisis
สาเหตุ
หยุดยาลดความดันโลหิตทันที
(Sudden withdrawal of antihypertensive medications)
Acute or chronic renal disease
Exacerbation of chronic hypertension
การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้ความดันโลหิตสูง
เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
อาการและอาการแสดง
hypertensive encephalopathy จะมีอาการปวดศรีษะ การมองเห็นผิดปกติ สับสน คลื่นไส้ อาเจียน
กลุ่มอาการโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน (Acute cardiovascular syndromes)
กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
เจ็บแน่นหน้าอกแบบเฉียบพลัน/แบบไม่คงที่ (Unstable angina)
น้ำท่วมปอด (Pulmonary edema)
ภาวะเลือดเซาะในผนังหลอดเลือดเอออร์ต้า (Aortic dissection)
การซักประวัติ
โรคประจำตัว ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง ประวัติความดันโลหิตสูงที่เป็นในสมาชิกครอบครัว ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ทานยาสม่ำเสมอหรือไม่ ผลข้างเคียงของการใช้ยา การสูบบุหรี่
โรค coarctation ของ aorta, renal artery stenosis, โรคของต่อมหมวกไต และโรคไทรอยด์เป็นพิษ
โรคหลอดเลือดสมอง,โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด,ไตวายเฉียบพลัน
การตรวจร่างกาย
วัดความดันโลหิตเปรียบเทียบกันจากแขนซ้ายและขวา น้ำหนัก ส่วนสูง BMI เส้นรอบเอว
อาการของ oliguria or azotemia (excess urea in the blood) แสดงถึงภาวะไตถูกทำลาย
ตรวจหาความผิดปกติที่เกิดจาก TOD ตรวจจอประสาทตา พบ Papilledema ตรวจ retina พบ cotton-wool spots and hemorrhages
ในรายที่สงสัยมีภาวะเลือดเซาะในผนังหลอดเลือดเอออร์ต้า (Aortic dissection) ให้คลำชีพจรที่แขนและขาทั้ง 2 ข้าง และวัดความดันโลหิตที่แขนทั้ง 2 ข้าง จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน เรียกว่า pseudohypotension
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
CBC ประเมินภาวะ microangiopathic hemolytic anemia (MAHA)
ตรวจการทำงานของไตจากค่า Creatinine และ Glomerular filtration rate (eGFR) และค่าอัลบูมินในปัสสาวะ
ประเมินหาความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12-lead ECG) และ chest X-ray
ในรายที่สงสัยความผิดปกติของสมอง ส่งตรวจเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง
การรักษา
ให้การรักษาทันทีใน ICU และให้ยาลดความดันโลหิตชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เพื่อลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ต้องการโดยป้องกันอวัยวะต่างๆไม่ให้ถูกทำลายมากขึ้นและไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา
ยา sodium nitroprusside ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับและไตบกพร่อง ยาชนิดออกฤทธิ์สั้นไม่แนะนำให้ใช้ยา Nifedipine ทั้งทางปากและบีบใส่ใต้ลิ้น เพราะความดันโลหิตอาจลดต่ำลงมากเกินไปจนไม่สามารถควบคุมได้
การพยาบาล
เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของระบบต่างๆ ได้แก่ neurologic,cardiac, and renal systems
ขณะได้รับยา ประเมินและบันทึกการตอบสนองต่อยา โดยติดตาม BP อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกัน BP ลดลงอย่างรวดเร็ว
ในผู้ป่วยที่มีสมองขาดเลือดร่วมกับความดันโลหิตสูงวิกฤต ควรควบคุมความดันโลหิตให้ต่ ากว่า 180/105 มม.
ขณะได้รับยาลดความดันโลหิต สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง (Time, place, person) ตรวจขนาดรูม่านตาและปฏิกิริยาต่อแสง กำลังและการเคลื่อนไหวของแขนขา การพูด การตอบสนองต่อคำสั่
ประเมินการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลายและการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงไต
การรักษาด้วย sodium nitroprusside ติดตามอาการไม่พึงประสงค์ ได้แก่ excessive hypotension, หัวใจเต้นช้า, acidosis, หลอดเลือดดำอักเสบ (phlebitis), cyanide toxicity วึ่งจะมีอาการหัวใจเต้นเต็ว ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง หายใจตื้นเร็ว มีภาวะกรด ชัก และหมดสติ
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรม เช่น จัดท่านอนให้สุขสบาย การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ และจัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ
ให้ข้อมูลวัตถุประสงค์ของการรักษา และเหตุผลที่ต้องติดอุปกรณ์ที่ใช้เฝ้าระวังต่างๆ หลังจากควบคุมความดันโลหิตได้แล้วควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตเพื่อลดปัจจัยเสี่ยง
Ventricular tachycardia (VT)
การพยาบาล
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอด แขนและขา
ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เช่น digoxin, beta-blocker, calcium channel blockers,amiodarone
ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษาในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ว่ามีลิ่มเลือดเกิดขึ้น
เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการท า Cardioversion เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation) ในผู้ป่วยที่เป็น AF และไม่สามารถควบคุมด้วยยาได้
สาเหตุ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจรูห์มาติก ภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ, hyperthyrodism
อาการและอาการแสดง
ใจสั่น อ่อนเพลีย เหนื่อยเวลาออกแรง คลำชีพจรที่ข้อมือได้เบา
ประเภทของ AF
Permanent AF หมายถึง AF ที่เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปีโดยไม่เคยรักษาหรือเคยรักษาแต่ไม่หาย
Recurrent AF หมายถึง AF ที่เกิดซ้ ามากกว่า 1 ครั้ง
Persistent AF หมายถึง AF ที่ไม่หายได้เองภายใน 7 วัน หรือหายได้ดัวยการรักษาด้วยยา หรือการช็อคไฟฟ้า
Lone AF หมายถึง AFที่เป็นในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
Paroxysmal AF หมายถึง AF ที่หายได้เองภายใน 7 วันโดยไม่ต้องใช้ยา หรือการช็อคไฟฟ้า (Electrical Cardioversion)
Ventricular tachycardia (VT)
ประเภทของ VT
Nonsustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30วินาที
Sustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30วินาทีซึ่งมีผลทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง
Monomorphic VT คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
Polymorphic VT หรือ Torsade คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
สาเหตุ
พบบ่อยในผู้ป่วย Myocardial infarction Rheumatic heart disease ถูกไฟฟ้าดูด ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ พิษจากยาดิจิทัลลิส (Digitalis toxicity) และกล้ามเนื้อหัวใจถูกกระตุ้นจากการตรวจสวนหัวใจ
อาการและอาการแสดง
อาการเกิดทันทีผู้ป่วยจะรู้สึกใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ หน้ามืด เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หัวใจหยุดเต้น
การพยาบาล
นำเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันทีและเปิดหลอดเลือดดำเพื่อให้ยาและสารน้ำ
คลำชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียวจำนวนปัสสาวะ เพื่อประเมินภาวะเลือดไปเลี้ยงสมอง และอวัยวะสำคัญลดลง
ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรได้ร่วมกับมีอาการของการไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง ให้เตรียมผู้ป่วยในการทำ synchronized cardioversion
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรไม่ได้(Pulseless VT) ให้เตรียมเครื่อง Defibrillator เพื่อให้แพทย์ทำการช็อกไฟฟ้าหัวใจ ในระหว่างเตรียมเครื่องให้ทำการกดหน้าอกจนกว่าเครื่องจะพร้อมปล่อยกระแสไฟฟ้า
ทำ CPR ถ้าหัวใจหยุดเต้น
Heart failure
สาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว
ความผิดปกติแต่กําเนิด (Congenital heart disease) เช่น ผนังกั้น ห้องหัวใจรั่ว
ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ (Valvular heart disease) เช่น ลิ้นหัวใจตีบหรือลิ้นหัวใจรั่ว
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardial disease) เช่น หัวใจ ห้องล่างซ้ายบีบตัวลดลง หรือกล้ามเนื้อหัวใจหนา
ความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจหนาบีบรัดหัวใจ
ความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease)
เช่น Myocardial ischemia
induced heart failure
อาการและอาการแสดง
อาการเหนื่อย (Dyspnea) เหนื่อยขณะที่ออกแรง (Dyspnea on exertion)เหนื่อยหายใจไม่สะดวกขณะนอนราบ (Orthopnea) หายใจไม่สะดวกขณะนอนหลับและต้องตื่นขึ้นเนื่องจากอาการหายใจไม่สะดวก (Paroxysmal nocturnal dyspnea, PND)
อาการบวมที่เท้า ขา กดบุ๋ม อ่อนเพลีย (Fatigue)
แน่นท้อง ท้องอืด เนื่องจากตับโตจากเลือดคั่งในตับ (Hepatic congestion) มีน้ําในช่องท้อง (Ascites)
หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) หายใจเร็ว (Tachypnea) เส้นเลือดดํา ที่คอโป่งพอง (Jugular vein distention)
การวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อการวินิจฉัย ภาพถ่ายรังสีทรวงอก (Chest X-ray, CXR) เป็นการตรวจเพื่อยืนยันภาวะเลือดคั่งในปอด (Pulmonary congestion)
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography) สามารถบอกว่ามีความผิดปกติของหัวใจ เช่น หัวใจโต (Chamber enlargement) การมีกล้ามเนื้อหัวใจตาย
การตรวจเลือด CBC เพื่อตรวจหาภาวะซีด BUN, creatinine เพื่อประเมินการทํางานของไต ซึ่งการทํางานของไตที่ลดลงอาจทำให้เกิดอาการบวม Liver function test ตับอาจผิดปกติเนื่องจากมีการคั่งของเลือดในตับ
การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหัวใจ (Echocardiography) ใช้ในการวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติของโครงสร้างหรือการทํางานของหัวใจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลวและบอกถึงสาเหตุของหัวใจล้มเหลว
การพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้ Bed rest โดยช่วยเหลือทํากิจกรรมให้ผู้ป่วยในระยะที่ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อย
จัดท่านั่งศีรษะสูง 30-90 องศา (Fowler’s position) หรือนั่งฟุบบนโต๊ะข้างเตียง ลดอาการเหนื่อยหอบ
ประเมิน V/S ทุก 1 ชั่วโมง ฟังเสียงหัวใจทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อสังเกตเสียงที่ผิดปกติ ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาและมีการติดตามประเมินผลของยา
ชั่งนํ้าหนักผู้ป่วยทุกวันในเวลาเดิม และประเมินอาการบวมบริเวณ แขน-ขา
จํากัดนํ้าในแต่ละวันตามแนวทางการรักษา ดูแลและควบคุมการให้สารน้ําทางหลอดเลือดดําอย่างเข้มงวด ควรใช้เครื่องควบคุมปริมาตรสารนํ้าและในการผสมยาฉีดหรือการให้ยานํ้าสําหรับรับประทานต้องใช้น้ําในปริมาณน้อยที่สุด
ประเมินความรู้สึกและปัญหาต่างๆของผู้ป่วยพร้อมทั้งซักถามความต้องการของผู้ป่วย
ช่วยให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ประเมินความพร้อมในการรับรู้ข้อมูลของผู้ป่วย ญาติ สอนให้สังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น อาหาร การทำกิจวัตรประจำวัน การมาตามนัด
Shock
การให้สารน้ํา (Fluid therapy)
Crystalloids ที่ใช้ในการ Resuscitation คือ Normal saline, Ringer's lactate solution, Ringer's
acetate solution ระวัง Volume overload เกิดจากการให้สารน้ําที่เร็วจนเกินไป Lactic acidosis โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคตับ Hyperkalemia Hypercalcemia
Colloids ระวัง Anaphylactic / anaphylactoid reaction,Renal toxicity อาจทําให้เกิด Acute kidney injury,Coagulopathy/platelet dysfunction
การเลือกใช้ Vasoactive drugs ในช็อกประเภทต่างๆ
Hypovolemic shock โดยทั่วไปไม่มีที่ใช้ของ Vasoactive drugs
Cardiogenic shock ในขณะที่ความดันโลหิตยังต่ําอยู่ ควรเลือกใช้ Dopamine อาจเลือก Norepinephrine ได้ (Selected case) หากความดันโลหิตขึ้นแล้ว อาจใช้ Dobutamine เพื่อเพิ่ม Cardiac contractility
Obstructive shock ควรให้สารน้ําก่อน ถ้ามีหลักฐานว่า Right ventricle บีบตัวได้ไม่ดีกรณีที่ความดันโลหิตยังต่ําอยู่ พิจารณาใช้ Dopamine อาจเลือก Norepinephrine ได้ (Selected case) หากความดันโลหิตขึ้นแล้ว อาจใช้ Dobutamine
Septic shock ควรให้สารน้ําก่อน ถ้าให้สารน้ําเพียงพอแล้วความดันโลหิตยังไม่ขึ้น อาจให้ Dopamine หรือ Norepinephrine ควรเลือก Norepinephrine ก่อน ส่วน Dobutamineใน Septic shock จะเลอกใช้ต่อเมื่อ Resuscitate ได้
Endocrinologic shock ได้แก่ Adrenal crisis และ Thyroid storm ควรให้สารน้ําและให้การรักษาทดแทนทางฮอร์โมน หรือให้ยาต้านธัยรอยด์ใน Thyroid storm ถ้าความดันโลหิตยังต่ําอยู่ พิจารณาให้ Norepinephrine
Anaphylactic shock เลือก Epinephrine (Adrenaline) ก่อนเสมอ
Neurogenic shock เลือก Dopamine ก่อน