Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
6.2 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต - Coggle Diagram
6.2 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
หัวใจล้มเหลว (Heart failure)
ชนิดของหัวใจล้มเหลว
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามเวลาการเกิดโรค
1) Newonset : หัวใจล้มเหลวที่เกิดขึ้นครั้งแรกโดยอาจเป็นแบบเฉียบพลัน(Acuteonset)หรือเกิดขึ้นช้า (Slow onset)
2) Transient : หัวใจล้มเหลวที่มีอาการชั่วขณะเช่นเกิดขณะมีภาวะหัวใจขาดเลือด
3) Chronic: หัวใจล้มเหลวที่มีอาการเรื้อรัง โดยอาจมีอาการคงที่ (Stable) หรือ อาการมากขึ้น (Worseningหรือ Decompensation)
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามการทํางานของกล้ามเนื้อหัวใจ
1) Systolic heart failure หรือ Heart failure with reduced EF (HFREF)
2) Diastolic heart failure หรอื Heart failure with preserved EF (HFPEF)
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามอาการและอาการแสดงของหัวใจที่ผิดปกติ
1) Leftsided-heartfailure : เป็นอาการของหัวใจล้มเหลวที่มีอาการหรืออาการแสดงที่เกิดจากปัญหาของ หัวใจห้องล่างซ้าย หรือห้องบนซ้าย เช่น Orthopnea หรือ Paroxysmal nocturnal dyspnea (PND)
2) Right sided-heart failure: เป็นอาการของหัวใจล้มเหลวที่มีอาการ หรืออาการแสดงที่เกิดจากปัญหา ของหัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle) หรือ ห้องบนขวา (Right atrium) เช่น อาการบวม ตับโต
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามลักษณะของ Cardiac output
1) High-out put heart failure
2) Low-output heart failure
I. ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute heart failure)
ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะหัวใจล้มเหลวมาก่อนแต่มีอาการเลวลง (Acute decompensated heart failure หรอื ADHF)
ภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง (Chronic heart failure)
สาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว
ความผิดปกติแต่กําเนิด (Congenital heart disease)
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardial disease)
ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ (Valvular heart disease)
ความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ
ความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease)
อาการและอาการแสดงของหัวใจล้มเหลว
อาการเหนื่อย (Dyspnea)
อาการเหนื่อยขณะที่ออกแรง (Dyspnea on exertion)
อาการเหนื่อย หายใจไม่สะดวกขณะนอนราบ (Orthopnea)
อาการหายใจไม่สะดวกขณะนอนหลับและต้องตื่นขึ้นเนื่องจากอาการหายใจไม่สะดวก
อาการบวมในบริเวณที่เป็นระยางส่วนล่างของร่างกาย (Dependent part) เช่นเท้า ขา เป็นลักษณะบวม กดบุ๋ม
อ่อนเพลีย(Fatigue)เนื่องจากการที่มีเลือดไปเลี้ยงร่างกายลดลงทําให้สมรรถภาพของร่างกายลดลง
แน่นท้อง ท้องอืด เนื่องจากตับโตจากเลือดคั่งในตับ (Hepatic congestion) มีน้ําในช่องท้อง (Ascites)
อาจพบอาการคลื่นไส้เบื่ออาหารร่วมด้วย
อาการแสดงที่ตรวจพบบ่อย
หัวใจเต้นเร็ว(Tachycardia)หายใจเร็ว(Tachypnea)
เส้นเลือดดํา ที่คอโป่งพอง (Jugular vein distention)
หัวใจโต โดยตรวจพบว่ามี Apex beat หรือ Point of Maximum Impulse (PMI) ในผู้ป่วยที่มีหัวใจโต
ขึ้นจะเลื่อนไปทางรักแร้และลงล่าง
เสียงหัวใจผิดปกติโดยอาจตรวจพบเสียง S3 หรือ S4 gallop หรือ Cardiac murmur บ่งชี้ถึงความ
ผิดปกติของหัวใจ
เสียงปอดผิดปกติ (Lung crepitation),มีเลือดคั่งในปอด (Pulmonary congestion) , มีเสียงหายใจวี๊ด (Wheezing) การหดตัวของหลอดลม (Bronchospasm) มีน้ําในเยื่อหุ้มปอด (Pleural effusion)
ตับโต (Hepatomegaly) หรือน้ํา ในช่องท้อง (Ascites)
บวมกดบุ๋ม (Pitting edema)
การวินิจฉัย
1) การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อการวินิจฉัย ภาพถ่ายรังสีทรวงอก (Chest X-ray, CXR)
2) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography)
3) การตรวจเลือด
4) การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหัวใจ (Echocardiography)
แนวทางเวชปฏิบัติเพื่อการวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันควรได้รับการประเมินหาสาเหตุหรือปัจจัยกระตุ้น
ภาวะหัวใจล้มเหลวตาม และแก้ไขสาเหตุเหล่านั้นอย่างทันท่วงทีโดยเฉพาะความผิดปกติทางหัวใจ
ให้ยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดําชนิด Loop diuretic เพื่อลดอาการและอาการแสดงของภาวะคั่ง น้ํา (Congestion) ซึ่งได้แก่ Pulmonary congestion และหรือ Venous congestion
เมื่อใช้ยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดําชนิด Loop diuretic แล้วผู้ป่วยไม่ตอบสนองหรือไม่สามารถ
บรรเทาภาวะคั่งน้ําได้ตามเป้าหมายให้พิจารณา
3.1 ประเมินผู้ป่วยใหม่
3.2 เพิ่มขนาดของยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดําชนิด Loop diuretic
3.3 เปลี่ยนการบริหารยาเป็นแบบ Continuous infusion
3.4 เพิ่มยาขับปัสสาวะที่ออกฤทธิ์แตกต่าง ได้แก่ Thiazide หรือ aldosterone antagonist,low-dose dopamine
3.5 พิจารณาให้ยากระตุ้นหัวใจทางหลอดเลือด (Intravenous inotrope) หรือยาขยายหลอดเลือด (Vasodilator)
3.6 เมื่อใช้แนวทางปฏิบัติข้างต้น (3.1-3.6) แล้วไม่ได้ผลให้พิจารณา Ultrafiltration
ชั่งน้ําหนักผู้ป่วยและวัดปริมาตร Intake และ output ทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง
ควรติดตามค่าการทํางานของไต (BUN, creatinine) ซีรั่มโซเดียมและซีรั่มโพแทสเซียมทุกวันอย่างน้อย วันละ 1 ครั้งในผู้ป่วยได้รับ Intravenous loop diuretics หรือการรักษาบรรเทาภาวะน้ําคั่ง
พิจารณาให้ยาช่วยกระตุ้นหัวใจ (Intravenous inotropes)
ไม่แนะนําให้ยาช่วยกระตุ้นหัวใจ (Intravenous inotrope) ในผู้ป่วย Acute heart failure เป็น Routine ทุกรายโดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่ทราบ Left ventricular filling pressure
พิจารณาใช้ยาขยายหลอดเลือด ได้แก่ Sodium nitroprusside หรือ Nitroglycerine
ให้ Tolvaptan (V2-receptor antagonist) ในระยะเวลาสั้น (ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์) ในผู้ป่วยซึ่งมีภาวะคั่งน้ําและภาวะซีรั่มโซเดียมต่ําซึ่งไม่ตอบสนองด้วยการรักษามาตรฐาน
พิจารณาการสวนหัวใจเพื่อวัดความดันโลหิต (Right heart catheterization) และใช้ Invasive monitoring
ไม่ควรใช้การสวนหัวใจห้องขวาเพื่อวัดความดัน (Right heart catheterization) หรอื ใช้ Invasive monitoring ในผู้ป่วยเป็น Routine ทุกราย
ให้ Oxygen supplement ในผู้ป่วยที่ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Oxygen saturation) น้อย กว่าร้อยละ 90 หรือ pO2 น้อยกว่า 60 มิลลิเมตรปรอท
ไม่แนะนําให้ Oxygen supplement ในผู้ป่วย Acute heart failure เป็น Routine ทุกราย
แนะนํา Noninvasive ventilation เช่น Continuous positive airway pressure (CPAP) ใน ผู้ป่วย Pulmonary edema ที่มีอัตราการหายใจมากกว่า 20 ครั้งต่อนาที
พิจารณา Mechanical circulatory support device (MCSD) ในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อคแม้ได้รับการ รักษาด้วยวิธีมาตรฐานข้างต้นอย่างเต็มที่แล้ว
ควรยึดแนวทางปฏิบัติและคําแนะนําในการดูและรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง (Chronic heart failure)
การพยาบาล
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของหัวใจในการบีบเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น มีการคั่งของน้ําในร่างกายลดลง
จัดท่านั่งศีรษะสูง 30-90 องศา (Fowler’s position) หรือนั่งฟุบบนโต๊ะข้างเตียง
ประเมิน V/S ทุก 1 ชั่วโมง
1) ฟังเสียงหัวใจทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อสังเกตเสียงที่ผิดปกติ
2) ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาและมีการติดตามประเมินผลของยา
ชั่งนํ้าหนักผู้ป่วยทุกวันในเวลาเดิมคือตอนเช้าหลังถ่ายปัสสาวะเพื่อประเมินภาวะน้ําเกิน
จํากัดนํ้าในแต่ละวันตามแนวทางการรักษาโดยในรายที่ไม่รุนแรงให้ จํากัดประมาณ 800-1,000 ซีซี/วัน
ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับความเจ็บป่วยด้วยภาวะหัวใจวายได้
เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในการควบคุมอาการของภาวะหัวใจวายได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
Hypertensive crisis
สาเหตุ
Acute or chronic renal disease
Exacerbation of chronic hypertension
การหยุดยาลดความดันโลหิตทันที (Sudden withdrawal of antihypertensive medications)
การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้ความดันโลหิตสูง เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
อาการและอาการแสดง
กลุ่มอาการโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน (Acute cardiovascular syndromes)
กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
hypertensive encephalopathy
เจ็บแน่นหน้าอกแบบเฉียบพลัน/แบบไม่คงที่ (Unstable angina)
น้ำท่วมปอด (Pulmonary edema)
ภาวะเลือดเซาะในผนังหลอดเลือดเอออร์ต้า (Aortic dissection)
การซักประวัติ
ซักประวัติการเป็นโรคประจำตัว , ประวัติความดันโลหิตสูงที่เป็นในสมาชิกครอบครัว
โรคอื่นๆที่เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง , สอบถามอาการของอวัยวะที่ถูกผลกระทบจากโรคความดันโลหิตสูง
โรคหลอดเลือดสมองจะมีอาการปวดศรีษะ, มองเห็นไม่ชัดหรือตามัวชั่วขณะ,
ระดับความรู้สึกตัวผิดปกติ , หมดสติ
โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด มีอาการ เจ็บหน้าอก (chest pain) เหนื่อยง่ายแน่นอกเวลาออกแรง
ไตวายเฉียบพลัน จะพบว่า ปริมาณปัสสาวะลดลง หรืออาจไม่มีการขับถ่ายปัสสาวะ
การตรวจร่างกาย
วัดสัญญาณชีพ
โรคหลอดเลือดสมอง
แขนขาชาหรืออ่อนแรงครึ่งซีก มองเห็นไม่ชัดหรือตามัวชั่วขณะ, ระดับความรู้สึกตัวผิดปกติ ,หมดสติ
ตรวจจอประสาทตา ถ้าพบ Papilledema ช่วยประเมินภาวะ increased intracranial pressure
ตรวจ retina ถ้าพบ cotton-wool spots and hemorrhages แสดงว่า มีการแตกของ retina blood vessels และ retina nerves ถูกทาลาย
Chest pain บอกอาการของ acute coronary syndrome or aortic dissection
อาการของ oliguria or azotemia (excess urea in the blood) แสดงถึงภาวะไตถูกทำลาย
คลำชีพจรที่แขนและขาทั้ง 2 ข้าง และวัดความดันโลหิตที่แขนทั้ง 2 ข้าง จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน
คำศัพท์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ความดันโลหิตที่วัดจากสถานพยาบาล ที่มีค่าความดันโลหิตซิสโตลิก ตั้งแต่ 140 มิลลิเมตรปรอท
และความดันโลหิตไดแอสโตลิกตั้งแต่ 90 มิลลิเมตรปรอท ในผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป
Target organ damage (TOD)
ความผิดปกติที่เกิดแก่อวัยวะในร่างกายจากความดันโลหิตสูง
Cardiovascular disease (CVD)
โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
Hypertensive urgency
ภาวะความดันโลหิตสูงรุนแรงแต่ไม่มีอาการของอวัยวะเป้าหมายถูกทำลายไม่ จำเป็นต้องรับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก
Hypertensive emergency
ภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/120 มม.ปรอท ร่วมกับมีการทำลาย ของอวัยวะเป้าหมาย
Hypertensive crisis หรือ Hypertensive emergency
ภาวะความดันโลหิตสูงอย่างเฉียบพลันสูงกว่า 180/120 มม.ปรอท และทำให้เกิดการทำลายของอวัยวะเป้าหมาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
ตรวจ CBC ประเมินภาวะ microangiopathic hemolytic anemia (MAHA)
ตรวจการทางานของไตจากค่า Creatinine และ Glomerular filtration rate (eGFR) และค่าอัลบูมินในปัสสาวะ
ประเมินหาความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12-lead ECG) และ chest X- ray
การรักษา
ผู้ป่วย Hypertensive crisis ต้องให้การรักษาทันทีใน ICU และ
ให้ยาลดความดันโลหิตชนิดฉีดเข้าหลอด เลือดดำ
ยาลดความดันโลหิตที่พึงประสงคค์วรออกฤทธิ์เร็วและหมดฤทธิ์เร็วเมื่อหยุดยา
ยาที่มีใช้ในประเทศไทย เช่น sodium nitroprusside, nicardipine, nitroglycerin,
labetalol ยา sodium nitroprusside
การพยาบาล
ในระยะเฉียบพลัน เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของระบบต่างๆ
Neurologic symptoms ได้แก่ สับสน confusion, stupor, seizures, coma, or stroke.
Cardiac symptoms ได้แก่ aortic dissection, myocardial ischemia, or dysrhythmias.
Acute kidney failure อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นทันที BUN Cr จะมีค่าขึ้นสูงได้
ในระหว่างได้รับยา ประเมินและบันทึกการตอบสนองต่อยาโดยติดตามความดันโลหิตอย่างใกล้ชิด
ในผู้ป่วยที่มีสมองขาดเลือดร่วมกับความดันโลหิตสูงวิกฤต ควรควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 180/105 มม. ปรอทใน 24 ชั่วโมงแรก
ในผู้ป่วยที่มีสมองขาดเลือดร่วมกับความดันโลหิตสูงวิกฤต ควรควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 180/105 มม. ปรอทใน 24 ชั่วโมงแรก
สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง ได้แก่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ระดับความรู้สึกตัวลดลง สับสน ตรวจขนาดรูม่านตาและปฏิกิริยาต่อแสง กำลังและการเคลื่อนไหวของแขนขา การพูด
ประเมินการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลาย ได้แก่ ชีพจร capillary refill อุณหภูมิของผิวหนัง
ประเมินการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงไต ได้แก่ ปริมาณปัสสาวะสมดุลกับสารน้าที่รับเข้าร่างกาย ค่า BUN Cr ปกติ
3.การรักษาด้วยshort-acting intravenous antihypertensive agents
ติดตามอาการไม่พึงประสงค์
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรม
การจัดท่านอนให้สุขสบาย การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ และจัด สิ่งแวดล้อมให้สงบ เช่นปิดไฟหัวเตียง เพื่อส่งเสริมการพักผ่อนนอนหลับ
ให้ความรู้/ข้อมูลแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการรักษา
เพื่อควบคุมความดันโลหิต และเหตุผลที่ต้องติด อุปกรณ์ที่ใช้เฝ้าระวังต่างๆ หลังจากควบคุมความดันโลหิตได้แล้วควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตเพื่อลดปัจจัยเสี่ยง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ (Risk for ineffective cerebral tissue perfusion)
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลายไม่เพียงพอ (Risk for ineffective peripheral tissue perfusion)
วิตกกังวล (Anxiety related to threat to biologic, psychologic, or social integrity)
พร่องความรู้ (Deficient knowledge related to lack of previous exposure to information)
Cardiac dysrhythmias
ประเภทของ AF
Permanent AF หมายถึง AF ที่เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปีโดยไม่เคยรักษาหรือเคยรักษาแต่ไม่หาย
Recurrent AF หมายถึง AF ที่เกิดซ้ำมากกว่า1ครั้ง
Persistent AFหมายถึง AF ที่ไม่หายได้เองภายใน7วันหรือหายได้ดัวยการรักษาด้วยยา
Lone AF หมายถึง AF ที่เป็นในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
Paroxysmal AF หมายถึง AF ที่หายได้เองภายใน7วันโดยไม่ต้องใช้ยา
สาเหตุ
พบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจรูห์มาติก
ภาวะหัวใจล้มเหลวความดันโลหิตสูง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
ผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ (open heart surgery), hyperthyrodism
อาการและอาการแสดง
ใจสั่น อ่อนเพลีย เหนื่อยเวลาออกแรง คลำชีพจรที่ข้อมือได้เบา
การพยาบาล
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอด แขนและขา
ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เช่น digoxin, beta-blocker,calcium channel blockers
ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษาในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ว่ามีลิ่มเลือดเกิดขึ้น
เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการทำ Cardioversion เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation) ในผู้ป่วยที่เป็น AF และไม่สามารถควบคุมด้วยยาได้
Ventricular tachycardia (VT)
สาเหตุ
พบบ่อยในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายบริเวณกว้าง (Myocardial infarction)
โรคหัวใจรูห์มาติก (Rheumatic heart disease)
ถูกไฟฟ้าดูดภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำพิษจากยาดิจิทัลลิส
(Digitalis toxicity) และ กล้ามเนื้อหัวใจถูกกระตุ้นจากการตรวจสวนหัวใจ
อาการและอาการแสดง
อาการเกิดทันที ผู้ป่วยจะรู้สึกใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ หน้ามืด เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หัวใจหยุดเต้น
ประเภทของ VT
Nonsustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30 วินาที
Sustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30 วินาทีซึ่งมีผลทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง
Monomorphic VT คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
Polymorphic VT หรือTorsadeคือ VT ที่ลักษณะของ QRS complexเป็นรูปแบบเดียว
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกาเนิดการเต้นของหัวใจ ในอัตราที่เร็วมากแต่สม่ำเสมอ 150-250 ครั้ง/นาที
การพยาบาล
นำเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันที
และเปิดหลอดเลือดดำเพื่อให้ยาและสารน้ำ
คลำชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียว จำนวนปัสสาวะ เพื่อประเมิน ภาวะเลือดไปเลี้ยงสมอง และอวัยวะสำคัญลดลง
ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลาชีพจรได้ร่วมกับมีอาการของการไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลงให้เตรียม ผู้ป่วยในการทำ synchronized cardioversion
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลาชีพจรไม่ได้ (Pulseless VT) ให้เตรียมเครื่อง Defibrillator เพื่อให้แพทย์ทำการช็อกไฟฟ้าหัวใจ ในระหว่างเตรียมเครื่องให้ทำการกดหน้าอกจนกว่าเครื่องจะพร้อมปล่อยกระแสไฟฟ้า
ทำ CPR ถ้าหัวใจหยุดเต้น
Ventricular fibrillation (VF)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกาเนิดการเต้นของ หัวใจตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่ง เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่สม่ำเสมอ
สาเหตุที่ทำให้เกิด VF และ Pulseless VT
Hypovolemic
Hypoxia
Hydrogen ion (acidosis)
Hypokalemia
Hyperkalemia
Hypothermia
Tension pneumothorax
Cardiac tamponade
Toxins
Pulmonary thrombosis
Coronary thrombosis
อาการและอาการแสดง
อาการเกิดทันที คือ หมดสติ ไม่มีชีพจร รูม่านตาขยาย เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตออกมาได้ และ เสียชีวิต
การพยาบาล
เตรียมเครื่งมือ อุปกรณ์และยาที่ใช้ในการช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อมและทำ CPR ทันที เนื่องจากการรักษา VF และ Pulseless VT สิ่งที่สาคัญคือ การช็อกไฟฟ้าหัวใจทันที และการกดหน้าอก
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ปริมาณเลือดออกจากหัวใจในหนึ่งนาทีลดลงเนื่องจากความผิดปกติของอัตรา และจังหวะการเต้นของหัวใจการพยาบาล
การพยาบาล
ป้องกันภาวะ tissue hypoxia โดยให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา ในกรณีที่ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนใน เลือดแดงที่วัดจากปลายนิ้ว (O2 saturation หรือSpO2) น้อยกว่า 93%
ติดตามค่าเกลือแร่ในเลือด เพื่อหาสาเหตุนำของการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ติดตามผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยว่ามียาชนิดใดที่มีผลต่อ อัตรา และจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือไม่ ถ้าพบให้รายงานแพทย์ทันที
ติดตามและบันทึกอาการแสดงของภาวะอวัยวะและเนื้อเยื่อได้รับเลือดไปเลี้ยง (Tissue perfusion) ลดลง จากระดับความรู้สึกตัวลดลง ความดันโลหิตลดลง สีของผิวหนังเขียว อุณหภูมิของผิวหนังเย็นลง จำนวนปัสสาวะลดลง และ capillary refill time นาน
ติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยเฉพาะ ST segment เพื่อประเมิน ภาวะ Myocardial tissue perfusion และป้องกันการเกิด Myocardial ischemia
ให้ยา antidysrhythmia ตามแผนการรักษาและเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำ synchronized cardioversion
ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดไม่รุนแรง (Nonlethal dysrhythmias) ถ้าอัตราการเต้นของหัวใจช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาที ให้เตรียมอุปกรณ์สำหรับใส่ temporary pacing
ทำ CPR ร่วมกับทีมรักษาผู้ป่วย ในกรณีเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง (lethal dysrhythmias)
Shock
ภาวะช็อก
ภาวะที่เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ ไม่เพียงพอ (Poor tissue perfusion) หากรักษา ไม่ทันท่วงทีจะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ล้มเหลว (Organ failure) ตามมา
การแปลผลความดันโลหิต
Systolic blood pressure (SBP) เป็นค่าความดันของหลอดเลือดขณะหัวใจบีบตัว บ่งบอกถึง Systolic function ถ้าค่า SBP สูงแสดงว่าSystolic function ดีถ้าค่า SBP ต่ำ แสดงว่า Systolic function ไม่ดี
Diastolic blood pressure (DBP) เป็นค่าความดันของหลอดเลือดขณะหัวใจคลายตัว บ่งบอกถึง Diastolic function หรือ afterload เพราะเวลากล้ามเนื้อหัวใจคลายตัวต้องสู้กับแรงต้านทานของหลอดเลือด ส่วนปลาย (Systemic vascular resistance, SVR) ถ้าค่า DBP สูง แสดงว่า Afterload สูง ถ้าค่า DBP ต่ำแสดง ว่า Afterload ต่ำ
การแบ่งประเภทของช็อก (Classification of shock)
Low cardiac output shock (Hypodynamic shock) เป็นภาวะช็อกที่ Cardiac output ต่ำ และ เป็นภาวะช็อกที่หลอดเลือดตีบ
High cardiac output shock (Distributive shock, hyperdynamic shock) เป็นภาวะช็อกที่
cardiac output สูง
Shock management
การรักษาจําเพาะ (Specific treatment) สําหรับภาวะช็อกแต่ละประเภท
การรักษาประคับประคอง (Supportive treatment)
Fluid therapy
Hypovolemic shock
Right side cardiogenic shock
Obstructive shock
Distributive shock (High cardiac output shock)
ให้สารน้ําได้ 2 ประเภท
Crystalloids ที่ใช้ในการ Resuscitation คือ Normal saline, Ringer's lactate solution, Ringer's acetate solution
สารน้ําชนิด Colloids แม้ว่าจะทําให้ปริมาณน้ําในหลอดเลือด (Intravascular volume) เพิ่มขึ้น เร็วกว่า Crystalloids ก็จริง แต่ก็มีผลข้างเคียงหลายประการ
Vasoactive drug
Positive inotropic effect เป็นฤทธิ์ที่ทําให้การบีบตัวของหัวใจ (Cardiac contractility) ดีขึ้น
Positive chronotropic effect เป็นฤทธิ์ที่ทําให้อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate) เพิ่มขึ้น
Vasopressor effect เป็นฤทธิ์ที่ทําให้ความต้นทานของหลอดเลือดส่วนปลาย (Systemic vascular resistance, SVR) เพิ่มขึ้น ทําให้ Afterload เพิ่มขึ้น
การเลือกใช้ Vasoactive drugs ในช็อกประเภทต่างๆ
Hypovolemic shock โดยทั่วไปไม่มีที่ใช้ของ Vasoactive drugs
Cardiogenic shock ในขณะที่ความดันโลหิตยังต่ำอยู่ ควรเลือกใช้ Dopamine หากความดันโลหิตต่ำมาก
Obstructive shock ควรให้สารน้ําก่อน ถ้ามีหลักฐานว่า Right ventricle บีบตัวได้ไม่ดี
กรณีที่ความดันโลหิตยังต่ำอยู่ พิจารณาใช้ Dopamine หากความดันโลหิตต่ำมาก
Septic shock ควรให้สารน้ําก่อน ถ้าให้สารน้ําเพียงพอแล้วความดันโลหิตยังไม่ขึ้น อาจให้ Dopamine หรือ Norepinephrine ควรเลือก Norepinephrine ก่อน
Endocrinologic shock ได้แก่ Adrenal crisis และ Thyroid storm ควรให้สารน้ําและให้การรักษาทดแทนทางฮอร์โมน หรือให้ยาต้านธัยรอยด์ใน Thyroid storm
Anaphylactic shock เลือก Epinephrine (Adrenaline) ก่อนเสมอ เนื่องจากการรักษาต้องการฤทธิ์ ที่กระตุ้น Alpha receptor และ beta receptor
Neurogenic shock เลือก Dopamine ก่อน เนื่องจาก Neurogenic shock เป็นช็อกที่เกิดจากการ ทํางานของระบบประสาท Sympathetic บกพร่อง จึงทําให้มี Vasodilatation และ Heart rate ช้า จึงต้องเลือก ยาที่มีฤทธิ์ Vasopressor และ Positive chronotropic effect
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
ผู้ป่วยอยู่ในภาวะปริมาณเลือดออกจากหัวใจต่อนาทีต่ำลงเนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะช็อค
1) ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพอาการอาการแสดงของShockและระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วยทุก 10 นาที
2) ดูแลให้ได้รับสารน้ํา0.9%NSSloadจนครบ
3) ดูแลให้ยาปฏิชีวนะ Ceftriazone 2 gm Intravenous drip in 1 hr (Septic shock)
4) บันทึกจํานวนปัสสาวะที่ออกเพื่อประเมินหน้าที่การทํางานของไตผู้ป่วยปัสสาวะได้เอง
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยาLevophedอาจเกิดภาวะยาดังเฉพาะที่หรือรั่วซึมออกนอก หลอดเลือดเกิดเนื้อตายได้
1) เพื่อเพิ่มความดันโลหิตและผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวข้างต้น โดยดูแลให้ได้รับยา
ตามแผนการรักษาเข้าทางหลอดเลือดดําใหญ่ตรง Antecubital vein โดยใช้ infusion pump
2) ตรวจวัดความดันโลหิตและอัตราหัวใจเต้นทุก 10 นาที เมื่อ IV ครบ 1,000 ml ความดันโลหิต อัตรา การเต้นของหัวใจปกติ จึงค่อย Titrate Levophed เพิ่มทีละ 5 ml / hr. ร่วมกับให้สารน้ําจนครบ 1,500 ml
3) ประเมินผลความดันโลหิตอัตราหัวใจเต้นและไม่มีภาวะแทรกซ้อน
เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพการหายใจลดลง
1) ดูแลส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดโดยจัดท่านอนและให้ออกซิเจน
2) ObserveO2Saturationเพื่อให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและการแลกเปลี่ยนก๊าซอย่างเพียงพอ
3) ประเมินสัญญาณชีพO2Saturationทุก15นาที
ผู้ป่วยและญาติมีสีหน้าวิตกกังวล
1) เพื่อบรรเทาความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติโดยให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
2) ให้คําอธิบายตอบข้อซักถามเกี่ยวกับภาวะโรคและแผนการรักษา
มีไขจ้ ากมีการติดเชื้อในกระแสเลือด (Septic shock)
1) ลดไข้และให้ผู้ป่วยมีความสุขสบายโดยดูแลเช็ดตัวลดไข้
2) ประเมินภาวะไข้