Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะฉุกเฉินทางสูติศาสตร์ - Coggle Diagram
ภาวะฉุกเฉินทางสูติศาสตร์
มดลูกแตก (Uterine Rupture)
คือการฉีกขาด การแยก การแตก หรือการทะลุของมดลูกขณะตั้งครรภ์ ขณะเจ็บครรภ์คลอด หรือขณะคลอด หลังจากที่ทารกโตพอที่จะมีชีวิตอยู่ได้ หรือหลังจากอายุครรภ์ ๒๘ สัปดาห์
สาเหตุ
๑. มดลูกแตกเอง
เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ค่อนข้างรุนแรง
มาก เพราะมีอันตรายต่อมารดาและทารกมาก อาจท าให้เสียชีวิตได้
๒. มดลูกแตกจากการได้รับการกระทบกระเทือน
ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุในขณะตั้งครรภ์ ซึ่งมดลูกได้รับการกระทบกระเทือนหรือกระแทกอย่างแรง
๓. มดลูกแตกจากรอยแผลเดิม
เกิดจากหญิงตั้งครรภ์เคยเคยผ่าตัด
คลอดทางหน้าท้องและส่วนใหญ่พบในแผลชนิด classical type มากกว่า low transverse type
ชนิดของมดลูกแตกแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด
๑. มดลูกแตกตลอดหมดหรือแตกชนิดสมบูรณ์ (complete uterine ruptured) หมายถึง การฉีกขาดของ
มดลูกทั้ง ๓ ชั้นของผนังมดลูก
๒. มดลูกแตกบางส่วน (incomplete uterine ruptured) หมายถึง การฉีกขาดของมดลูกชั้นเยื่อบุมดลูก
(endometrium), กล้ามเนื้อมดลูก (myometrium) แต่ไม่ทะลุชั้นเยื่อบุช่องท้อง peritoneum
พยาธิสภาพ
การแตกของมดลูกในระยะคลอด มักเกิดบริเวณมดลูกส่วนล่าง (Lower uterine segment) จากการที่มดลูก
หดรัดตัวถี่และรุนแรงในขณะตั้งครรภ์และเจ็บครรภ์คลอด กล้ามเนื้อมดลูกส่วนล่างถูกดึงให้บางและยืดออกเพื่อให้ทารกให้ครรภ์เคลื่อนต่ าลงสู่ช่องทางคลอด การที่มดลูกส่วนล่างยืดขยายออกและบางมากจนกระทั่งเห็นมดลูกเป็นสองลอนทางหน้าท้อง เรียกว่า pathological retraction ring หรือ Bandl’s ring
อาการและอาการแสดง
ก่อนมดลูกแตก
๑. เจ็บปวดบริเวณท้องน้อยอย่างรุนแรง
๒. กระสับกระส่าย PR เบาเร็ว RR ไม่สม่ำเสมอ
๓. การคลอดไม่ก้าวหน้า
๔. มองเห็นหน้าท้องเป็นสองลอนสูงขึ้นเกือบถึงระดับสะดือ (Bandl’s ring)
๕. มีการหดรัดตัวถี่และรุนแรงของมดลูก (tetanic contraction)
๖. ทารกในครรภ์เกิด fetal distress อาจพบ FHS ไม่สม่ำเสมอ
๗. อาจมีเลือดออกทางช่องคลอด
เมื่อมดลูกแตกแล้ว
๑.เจ็บปวดบริเวณมดลูกส่วนล่างอย่างรุนแรงและมารดารู้สึกว่ามีการฉีกขาดของอวัยวะภายใน
๒. คลำพบส่วนของทารกชัดเจนขึ้น
๓. ถ้ามดลูกแตกขณะเจ็บครรภ์ อาการเจ็บครรภ์จะหายไปทันที
๔.อาจพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดจำนวนเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่เลือดจะออกไปอยู่ในช่องท้อง
๕.ท้องโป่งตึงและปวดท้องอย่างรุนแรงจากเลือด น้ำคร่ำและบางส่วนของทารกระคายเยื่อบุช่องท้อง
๖.FHS เปลี่ยนแปลงโดยอาจช้าหรือเร็ว หรือหายไป
๗.PV พบส่วนนำลอยอยู่สูงขึ้นจากเดิม
๘.มีภาวะ Hypovolemic shock
๙.ผู้คลอดจะเจ็บบริเวณหน้าอก ร้าวไปถึงไหปลาร้าโดยเฉพาะเมื่อหายใจเข้า
ผลกระทบต่อผู้คลอดและทารก
ผู้คลอดอาจมีอาการแสดงของการเสียเลือดจนช็อก
ทารกจะมีการขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง หรือได้รับบาดเจ็บจากการคลอดฉุกเฉินทั้งจากการผ่าตัดคลอดหรือ
ใช้หัตถการช่วยคลอด และอาจเสียชีวิตได้ ถ้าการช่วยเหลือไม่เป็นไปอย่างรีบด่วน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
๑. ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจการปฏิบัติตัวหญิงตั้งครรภ์ที่เคยผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
ระยะคลอด
๑. หญิงตั้งครรภ์เสี่ยงต่อภาวะมดลูกแตก เนื่องจากเคยผ่าตัดคลอดทารกออกทางหน้าท้อง
๒. เตรียมมารดาผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง เนื่องจากมารดาและทารกเสี่ยงต่อการได้อันตรายจาก
ภาวะมดลูกแตก
๓. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะช็อกเนื่องจากเสียเลือดมากจากภาวะมดลูกแตก
๔. ทารกมีโอกาสเกิดอันตรายจากการขาดออกซิเจนเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวถี่และรุนแรง
ระยะหลังคลอด
๑. ผู้คลอดและครอบครัวมีความกลัว วิตกกังวลต่อการคลอดเนื่องจากการผ่าตัดมดลูก
๒. มารดาหลังคลอดและครอบครัวมีโอกาสโศกเศร้าจากการสูญเสียบุตรเนื่องจากมดลูกแตก
๓. มีโอกาสเกิดการติดเชื้อเนื่องจากมดลูกปริ/แตก
การพยาบาล
การให้การพยาบาลควรเน้นการป้องกันมากกว่าการแก้ไขภาวะมดลูกแตก ควรปฏิบัติ ดังนี้
๑.หญิงตั้งครรภ์ที่เคยผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ควรแนะน ำให้คุมกำเนิดและละเว้นระยะของการตั้งครรภ์
อย่างน้อย ๒ ปี
๒.ประเมินและวินิจฉัยปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะมดลูกแตกในผู้คลอด
๓.การพยาบาลในระยะคลอด ต้องเฝ้าดูแลความก้าวหน้าของการคลอดอย่างใกล้ชิด
๔. ในผู้คลอดที่ได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
๕.สังเกตอาการและอาการแสดงก่อนมดลูกแตก หากรีบรายงานแพทย์ทันที
การพยาบาลเมื่อเกิดภาวะมดลูกแตก ควรปฏิบัติ ดังนี้
๑. งดน้ำและอาหารทางปาก
๒. ประเมินสัญญาณชีพและเสียงหัวใจทารกทุก ๕ นาที
๓. ดูแลให้ได้รับออกซิเจนร้อยละ ๑๐๐
๔. ประเมินเลือดที่ออกทางช่องคลอด
๕. ประเมินอาการและอาการแสดงของการตกเลือดและอาการแสดงของภาวะช็อก
๖. ดูแลให้ได้รับเลือดทดแทนตามแผนการรักษา
๗. เตรียมผู้คลอดให้พร้อมส าหรับการผ่าตัดคลอด
๘. ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ
๙. เฝ้าระวังภาวะตกเลือด
๑๐. ปลอบโยนให้กำลังใจผู้คลอดและครอบครัวและเปิดโอกาสให้พูดแสดงความรู้สึกหรือซักถามในกรณีที่
สูญเสียบุตร
การรักษา
เมื่อประเมินว่ามดลูกมีแนวโน้มจะแตกหรือแตกแล้วให้การรักษา ดังนี้
๑. ถ้ามีภาวะช็อค ให้ Ringer’s lactate solution เตรียมเลือดให้พร้อมและให้ออกซิเจน
๒. เตรียมผู้คลอดเพื่อทำผ่าตัดและตามกุมารแพทย์เพื่อช่วยฟื้นคืนชีพทารก
๓. การผ่าตัด
๔. ให้เลือดและยาปฏิชีวนะ
๕. ในกรณีที่ทารกเสียชีวิต ต้องให้การดูแลสุขภาพจิตของผู้คลอดและครอบครัว
การคลอดเฉียบพลัน (Precipitous Labor)
คือ การคลอดที่เกิดขึ้นเร็วผิดปกติ ใช้เวลาตั้งแต่เจ็บครรภ์จนถึงคลอดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 ชั่วโมง หรือระยะที่ 2 ของการคลอดใช้เวลาน้อยกว่า 10 นาที หรือมีการเปิดขยายของปากมดลูกในระยะปากมดลูกเปิดขยายเร็ว ๕ เซนติเมตร/ชั่วโมง ในครรภ์แรก และมากกว่า10 เซนติเมตร/ชั่วโมงในครรภ์หลัง
สาเหตุและปัจจัยส่งเสริม
แรงต้านทานของเนื้อเยื่อช่องทางคลอดไม่ดี
การหัดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกและกล้ามเนื้อหน้าท้องแรงผิดปกติ
ผู้คลอดครรภ์หลัง
ผู้คลอดที่มีเชิงกรานกว้าง
เคยมีประวัติคลอดเฉียบพลันหรือคลอดเร็ว
ผู้คลอดไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดจากการคลอดหรือไม่รู้สึกอยากเบ่งซึ่งพบได้น้อยมาก
ทารกตัวเล็ก
ผู้คลอดไวต่อการใช้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
อาการและอาการแสดง
มีอาการเจ็บครรภ์อย่างมาก มดลูกมีการหดรัดตัวอย่างรุนแรงและถี่มากกว่า 5 ครั้ง ในเวลา10 นาที ตรวจภายในพบปากมดลูกเปิดขยายเร็ว ครรภ์แรกปากมดลูกเปิดขยายมากกว่าหรือเท่ากับ5 เซนติเมตร/ชั่วโมง ครรภ์หลัง ปากมดลูกเปิดมากกว่าหรือเท่ากับ 10 เซนติเมตร/ชั่วโมง
ภาวะแทรกซ้อนต่อมารดา
เนื้อเยื่อบริเวณช่องทางคลอดฉีกขาด มดลูกมีการเปลี่ยนแปลงจากขนาดใหญ่มาเป็นขนาดเล็กเร็วเกินไป
ติดเชื้อที่แผลฝีเย็บ
ตกเลือดหลังคลอด เสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอดในระยะ 24 ชั่วโมงแรก จากการสูญเสียเลือดปริมาณมาก เนื่องจากมีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อช่องทางคลอด และมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
อาจเกิดภาวะน้ำคร่ำอุดตันในหลอดเลือด
มดลูกแตกจากการหดรัดตัวของมดลูกอย่างรุนแรง
มีการคั่งของเลือดภายใต้ชั้นผิวหนังที่ฉีกขาด
ภาวะแทรกซ้อนต่อทารก
เลือดออกในสมอง
อาจเกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อแขนถูกดึงมากเกินไป
อาจเกิดภาวะขาดออกซิเจน
ทารกได้รับบาดเจ็บเนื่องจากการกระทบกระแทกเพราะช่วยคลอดไม่ทัน
การรักษา
ให้การดูแลตามอาการ ถ้าประสบกับการคลอดเฉียบพลันให้ช่วยคลอด
การให้ยารายที่ให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกควรหยุดให้ยาและดูแลอย่างใกล้ชิด
การผ่าตัด ทำในรายที่มีการคลอดเฉียบพลันแต่การขยายของปากมดลูกไม่ดี ซึ่งอาจเกิด
ภาวะแทรกซ้อนจากภาวะมดลูกแตก หรือน้ำคร่ำอุดกั้นในกระแสเลือด
การประเมินสภาพ
การซักประวัติ ได้แก่ ประวัติการคลอดเฉียบพลันหรือการคลอดเร็วในครรภ์ก่อน ความไวต่อการเร่งคลอด ลักษณะอาการเจ็บครรภ์ หรืออาการอื่นๆร่วมกับการเจ็บครรภ์
การตรวจร่างกาย
2.1 ตรวจภายใน
2.2 ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
2.3 การฟังเสียงหัวใจทารก และติดตาม Electronic Fetal monitoring
ภาวะจิตสังคม
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ช่องทางคลอดมีโอกาสเกิดการฉีกขาดมากผิดปกติเนื่องจากการคลอดเฉียบพลัน
ไม่สุขสบายเจ็บครรภ์คลอด เนื่องจากมดลูกมีการหดรัดตัวถี่และรุนแรง
ทารกอาจเกิดอันตรายจากการคลอดเฉียบพลัน
อาจเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดจากการคลอดเฉียบพลันการตกเลือดหลังคลอด
การตกเลือดหลังคลอด (Postpartum Hemorrhage)
การเสียเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 500 มิลลิลิตรจากการ
คลอดทางช่องคลอดหรือการเสียเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 500 มิลลิลิตรจากการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง หรือร้อยละ 1 ของน้ำหนักตัวของมารดาหลังจากคลอดระยะที่สามสิ้นสุดลงหรือความเข้มข้นของเลือดลดลงร้อยละ 10 ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
การจำแนกการตกเลือดหลังคลอด แบ่งออกเป็น 2 ระยะ1. การตกเลือดหลังคลอดทันที (Early or immediatePPH) 2. การตกเลือดหลังคลอดภายหลัง(Late or delayedPPH)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
Tone คือ สาเหตุเกี่ยวกับความผิดปกติของการหดรัดตัวของมดลูก
Trauma คือ สาเหตุเกี่ยวกับการฉีกขาดของช่องทางคลอด
Tissue คือ สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับรก เยื่อหุ้มรก หรือชิ้นส่วนของรกตกค้างภายในโพรงมดลูก
(Retained products of conception) ซึ่งเป็นสาเหตุของการตกเลือด หลังคลอด
Thrombin คือ สาเหตุเกี่ยวกับการแข็งตัว ของเลือดผิดปกติ (Defects in coagulation)
พบได้ ประมาณร้อยละ 1 เกิดจากการมีเกล็ดเลือดต่ำทำให้การ แข็งตัวของเลือดผิดปกต
ผลกระทบต่อทารก
ศีรษะของทารกได้รับอันตรายจากการรับทารกไม่ทัน
ทารกเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกในสมอง
เสี่ยงต่อการเกิดสายสะดือขาด
แนวทางการป้องกันและรักษาภาวะตกเลือดหลังคลอด
1.Recognition and Prevention คือ การ รับรู้และการป้องกัน
2.Readiness คือ การเตรียมความพร้อม
3.Response คือ การตอบสนอง
4.Reporting and Learning คือ การรายงาน และการเรียนรู้
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มารดามีภาวะตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากมีการคลอดเฉียบพลัน
มีโอกาสเกิดภาวะช็อกเนื่องจากมีภาวะตกเลือดหลังคลอด3. ไม่สุขสบายปวดเนื่องจากมดลุกมีการหดรัดตัวถี่และรุนแรง
อ่อนเพลียเนื่องจากเสียพลังงานและสูญเสียเลือดจากการคลอด
ภาวะน้าคร่ำอุดกั้นหลอดเลือดในปอด
ภาวะที่มีน้าคร่ำพลัด
เข้าไปในกระแสเลือดทางมารดา ส่วนประกอบของน้ำคร่ำจะมีผลทาให้เกิดภาวะล้มเหลวของการทำงานระบบไหลเวียนเลือด หัวใจและระบบหายใจ ถ้า ในรายที่ผู้ป่วยไม่เสียชีวิตทันที
อาการและอาการแสดง
1 ระยะที่ 1 ภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลว (hemodynamiccollapse)
ระยะที่ 2 ภาวะเลือดไม่แข็งตวั (coagulopathy)
การรักษา
1) ป้องกันและแก้ไขภาวะขาดออกซิเจน ด้วยการให้ออกซิเจน 100%
2) ป้องกันระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบหายใจล้ม เหลว
3) ป้องกันและแก้ไขภาวะเลือดแข็งตัว ผิดปกติ และภาวะตกเลือด ด้วยการให้เลือดและองค์ประกอบ
ของเลือดต่าง ๆ
4) ช่วยคลอดให้เร็วที่สุด
การพยาบาล
1.ประเมินสภาพผู้คลอดหรือมารดาหลังคลอดอย่างใกล้ชิด
ตรวจเช็ค และเตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อมใช้งานทุกคร้ัง
ดูแลจัดท่าให้ผู้คลอดนอนราบ ตะแคงศีรษะ ให้ออกซิเจน 100% ยา สารละลายทางหลอด
เลือดดำ และเลือด งดน้างดอาหาร และใส่สายยางสวนคาปัสสาวะไว้
สื่อสารกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และเตรียมช่วยคลอดอย่างเร่งด่วน
ประคับประคองด้านจิตใจของสามี ครอบครัวและญาติ
การบันทึกทางการพยาบาลที่ชัดเจน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1.ผู้คลอดมีภาวะขาดออกซิเจนเนื่องจากเกิดภาวะระบบหายใจล้มเหลว
ทารกในครรภ์มีภาวะเครียด (Fetaldistress) เนื่องจากได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอขณะมารดามีภาวะน้าคร่ำอุดกั้นหลอดเลือดในปอด
ผู้คลอดเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากพยาธิสภาพของภาวะน้าคร่ำอุดกั้นหลอดเลือดในปอด ได้แก่ ปอดบวมน้ำ การตกเลือดอย่างรุนแรง และภาวะช็อค
สามี ครอบครัว และญาติ มีภาวะวิตกกังวลเกี่ยวกับ แผนการรักษาและความปลอดภัยของมารดาและทารก
ภาวะสายสะดือพลัดต่ำหรือสายสะดือโผล่
ภาวะที่สายสะดือเคลื่อนลงมาอยู่ต่ำกว่าส่วนนำของ
ทารกอาจอยู่ในช่องคลอด หรือโผล่ออกมานอกปากช่องคลอด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังจากมีการแตกของถุงน้ำคร่ำ
ชนิด
Occult (Hidden) prolapse of cord
Forelying cord
Complete prolapse of cord
สาเหตุ
ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ
ตั้งครรภ์แฝดเด็กหรือแฝดน้ำ
ทารกมีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์
ส่วนนำไม่กระชับกับช่องทางคลอด
ถุงน้ำแตกก่อนกำหนด
การคลอดก่อนก าหนด
สายสะดือยาวกว่าปกติ โดยเฉพาะถ้ายาวเกิน 75 ชม. จะทำให้พลัดต่ำได้ง่าย
รกเกาะต่ำทำให้สายสะดืออยู่ใกล้กับปากมดลูก
การป้องกัน
แนะนำให้มารดาที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสายสะดือพลัดต่ำ
ในการเจาะถุงน้ำ ควรทำด้วยความระมัดระวัง
ในกรณีที่ถุงน้ำคร่ำแตกเอง ควรตรวจภายในเพื่อประเมินว่ามีสายสะดือพลัดต่ ำหรือไม่
รวมทั้งประเมินความก้าวหน้าของการคลอดด้วย
มารดาที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสายสะดือพลัดต่ำ ควรจัดให้นอนท่า Semi –Fowler’s position
ควรบันทึกการเต้นของหัวใจทารกด้วยเครื่อง Monitor อย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มมารดาที่เสี่ยงต่อการเกิดสายสะดือพลัดต่ำทุกราย
การรักษา
พยายามลดการกดทับของส่วนนำบนสายสะดืออย่างทันทีทันใด
สวมถุงมือ Sterile แล้วดันส่วนนำไม่ให้กดทับบริเวณสายสะดือจนกว่าการคลอดจะสิ้นสุดลง
ห้ามดันสายสะดือที่โผล่พ้นออกจากช่องคลอดกลับเข้าไปใหม่ ควรใช้ผ้า Sterile นุ่ม
ๆ ชุบน้ำเกลือที่อุ่น ๆ คลุมบริเวณสายสะดือที่โผล่ออกมา
พยายามช่วยให้ทารกคลอดออกมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ให้ออกซิเจนแก่มารดา 8 – 10 ลิตร/นาที
ถ้าหากทารกเสียชีวิตแล้ว แพทย์จะช่วยให้การคลอดเป็นไปตามธรรมชาติ หรืออาจ
ช่วยคลอดโดยการใช้คีม
รกค้าง (Retained placenta)
ภาวะที่รกไม่คลอดภายใน 30 นาทีหลังจากทารกคลอดโดยทั่วไปรกจะคลอดภายใน 10 นาที หลังจากที่ทารกคลอดแล้ว และไม่ควรเกิน 30 นาที ส่วนใหญ่ ร้อยละ 90 รกจะคลอดภายใน 15 นาที มีเพียงร้อยละ 2-3 เท่านั้นที่รกคลอดใช้เวลานานเกิน 30 นาที
สาเหตุ
การขาดกลไกการลอกตัว
การขาดกลไกการขับดัน ให้รกที่ลอกตัวแล้วผ่านออกมาภายนอก
สาเหตุส่งเสริม ได้แก่
3.1 การทำคลอดรกก่อนรกลอกตัวสมบูรณ์
3.2 เคยมีประวัติรกค้าง
3.3 เคยทำหัตถการที่ส่งเสริมให้เกิดรกค้าง เช่น ผ่าท้องคลอด ผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออกจากโพรงมดลูก (myomectomy ) หรือเคยขูดมดลูก
3.4 มดลูกมีลักษณะผิดปกติ เช่น มีผนังกั้นภายในโพรงมดลูก (bicornuate uterus)
การประเมินสภาพ
ไม่มีอาการแสดงของรกลอกตัว หรือมีเพียงเล็กน้อยหลังทารกคลอดนาน 20-30 นาที
มดลูกหดรัดตัวไม่ดีหลังคลอด
ในกรณีที่มีเศษรกค้าง ตรวจพบดังนี้มีเลือดออกทางช่องคลอดจำนวนมากภายหลังรกคลอด
ตรวจรกพบว่ามีบางส่วนของเนื้อรกขาดหายไป
มารดามีอาการกระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว ตัวเย็นซีด เหงื่อออก ความดันโลหิตลดลง ระดับความ
รู้สึกตัวลดลง ซึ่งเป็นอาการของการช็อกจากการเสียเลือดมาก
ผลกระทบของภาวะรกค้างต่อมารดา
ตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากรกไม่ลอกตัว และมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
เกิดการติดเชื้อหลังคลอดได้ เนื่องจากชิ้นส่วนของรกตกค้างภายในโพรงมดลูก หรือจากการล้วงรก
มีภาวะเสี่ยงสูงต่อการถูกตัดมดลูกทิ้ง เนื่องจากรกฝังตัวลึกกว่าปกติ
กรณีถูกตัดมดลูก (hysterectomy) จะทำให้หมดโอกาสที่ตั้งครรภ์ต่อไป โดยเฉพาะมารดาที่อายุน้อยและยังต้องการมีบุตร
ผลกระทบของภาวะรกค้างต่อทารก
ทารกได้รับความอบอุ่นจากมารดาล่าช้า
การเสริมสร้างสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารกล่าช้า
การรักษา
ให้ยาช่วยกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อมดลูกมีการหดรัดตัวและคลายตัวเป็น
ระยะ ๆ ได้ดีขึ้น ช่วยส่งเสริมกลไกการลอกตัวของรก ทำให้รกลอกตัวออกมาได้
ให้ยาเพื่อให้เกิดการคลายตัวของปากมดลูก
ถ้าให้ยาแล้วไม่อาจช่วยให้รกลอกตัวสมบูรณ์ และรกไม่สามารถคลอดออกมาได้ แสดงว่ารกฝังตัวลึก
ต้องช่วยเหลือด้วยการล้วงรก (manual removal of the placenta)
การพยาบาล
ซักประวัติเกี่ยวกับสาเหตุส่งเสริมที่ทำให้เกิดภาวะรกค้าง
ช่วยเหลือการคลอดรกที่ลอกแล้วแต่ค้างอยู่ในช่องคลอด
ช่วยเหลือการคลอดรกที่ยังค้างอยู่ในโพรงมดลูก
รายงานแพทย์ เพื่อพิจารณาช่วยคลอดรกโดยการล้วงรก
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะรกค้าง เนื่องจากมีประวัติรกค้าง หรือมีประวัติขูดมดลูก
เสี่ยงต่อภาวะตกเลือด เนื่องจากการหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี หรือรกเกาะบริเวณส่วนล่างของมดลูก
เสี่ยงต่อภาวะตกเลือดหลังคลอดและภาวะมดลูกปลิ้น เนื่องจากรกฝังตัวลึก และทำคลอดรกผิดวิธี
4.มารดาและครอบครัวมีความวิตกกังวล/กลัว เนื่องจากมีภาวะรกค้าง