Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
6.2 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต - Coggle Diagram
6.2 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
6.2.1 Hypertensive crisis
ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ความดันโลหิตที่วัดจากสถานพยาบาล
ค่าความดันโลหิต 140/90 มิลลิเมตรปรอท
Target organ damage (TOD)
ความผิดปกติของอวัยวะจากความดันโลหิตสูง
ภาวะโปรตีนขับออกมากับปัสสาวะ (microalbuminuria)
หัวใจห้องล่างซ้ายโต
การแข็งตัวของหลอดเลือดแดง
โรคไตเรื้อรังในระดับปานกลางถึงรุนแรง
โรคของหลอดเลือดแดงส่วนปลายที่ยังไม่มีอาการ
Hypertensive retinopathy
รุนแรงจะมี exudates หรือเลือดออก
papilledema
Cardiovascular disease (CVD)
โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
โรคหลอดเลือดสมอง
โรคของหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี่
โรคหัวใจล้มเหลว
โรคของหลอดเลือดแดงส่วนปลายที่มีอาการ
การตรวจหลอดเลือดแล้วพบ Atheromatous plague
Atrial fibrillation
Hypertensive urgency
ภาวะความดันโลหิตสูงรุนแรงแต่ไม่มีอาการของอวัยวะเป้าหมายถูกทำลาย
Hypertensive emergency
ความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/120 มม.ปรอท
มีการทำลายของอวัยวะเป้าหมาย
Acute M
Stroke
Kidney failure
พบน้อยกว่า 1 % ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
เสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง
hypertensive crisis หรือ malignant hypertension
ไม่มีประวัติเป็นความดันโลหิตสูงมาก่อน
เกิดจากสาเหตุ
pheochromocytoma
pregnancy-induced
intracerebral hemorrhage
acute kidney failure
drug-induced HTs
medication-food interaction
ภาวะความดันโลหิตสูงอย่างเฉียบพลัน
สูงกว่า 180/120 มม.ปรอท
เกิดการทำลายของอวัยวะเป้าหมาย
สาเหตุ
Hypertensive crisis
การหยุดยาลดความดันโลหิตทันที (Sudden withdrawal of antihypertensive medications)
Acute or chronic renal disease
Exacerbation of chronic hypertension
การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทาให้ความดันโลหิตสูง เช่น ยาคุมกาเนิด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
อาการและอาการแสดง
ปวดศรีษะ การมองเห็นผิดปกติ สับสน คลื่นไส้ อาเจียน
กลุ่มอาการโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน (Acute cardiovascular syndromes)
กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
เจ็บแน่นหน้าอกแบบเฉียบพลัน/แบบไม่คงที่ (Unstable angina)
น้ำท่วมปอด (Pulmonary edema)
ภาวะเลือดเซาะในผนังหลอดเลือดเอออร์ต้า (Aortic dissection)
การซักประวัติ
ความสม่ำเสมอในการรับประทานยา
การสูบบุหรี่
ความดันโลหิตสูงที่เป็นในสมาชิกครอบครัว
สาเหตุของความดันโลหิตสูง
coarctation ของ aorta, renal artery stenosis
โรคของต่อมหมวกไต
โรคไทรอยด์เป็นพิษ
อวัยวะที่ถูกผลกระทบจากโรคความดันโลหิตสูง
โรคหลอดเลือดสมองจะมีอาการ ปวดศรีษะ (Headache) มองเห็นไม่ชัดหรือตามัวชั่วขณะ (blurred vision) ระดับความรู้สึกตัวผิดปกติ (change in level of consciousness) หมดสติ(Coma)
โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
เจ็บหน้าอก (chest pain) เหนื่อยง่ายแน่นอกเวลาออกแรง
ไตวายเฉียบพลัน
ปริมาณปัสสาวะลดลง หรืออาจไม่มีการขับถ่ายปัสสาวะ
การตรวจร่างกาย
วัดสัญญาณชีพ
ความดันโลหิตเปรียบเทียบกันจากแขนซ้ายและขวา
โรคหลอดเลือดสมอง
แขนขาชาหรืออ่อนแรงครึ่งซีก มองเห็นไม่ชัดหรือตามัวชั่วขณะ (blurred vision) ระดับความรู้สึกตัวผิดปกติ (change in level of consciousness) หมดสติ(Coma)
ตรวจจอประสาทตา
พบ Papilledema ช่วยประเมินภาวะ increased intracranial pressure
ตรวจ retina ถ้าพบ cotton-wool spots and hemorrhages
มีการแตกของ retina blood vessels และ retina nerves ถูกทำลาย
Chest pain
บอกอาการของ acute coronary syndrome or aortic dissection
oliguria or azotemia (excess urea in the blood)
ภาวะไตถูกทาลาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
ตรวจ CBC
ประเมินภาวะ microangiopathic hemolytic anemia (MAHA)
ตรวจการทำงานของไต
ค่า Creatinine และ Glomerular filtration rate (eGFR)
ค่าอัลบูมินในปัสสาวะ
ประเมินหาความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด
จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12-lead ECG)
chest X-ray
การรักษา
ยาลดความดันโลหิตชนิดหยดเข้าหลอดเลือดดำ
ลดความดันโลหิตเฉลี่ย (mean arterial pressure)
20-30% ภายใน 2 ชั่วโมงแรก
160/100 มม.ปรอท ใน 2-6 ชั่วโมง
ป้องกันอวัยวะต่างๆไม่ให้ถูกทำลาย
ควบคุมความดันโลหิตได้คงที่
จะเป็นการรักษาสาเหตุที่ทาให้เกิด Hypertensive crisis
ยาที่มีใช้ในประเทศไทย เช่น sodium nitroprusside, nicardipine, nitroglycerin
ออกฤทธิ์เร็วและหมดฤทธิ์เร็วเมื่อหยุดยา
ยาชนิดออกฤทธิ์สั้นไม่แนะนำให้ใช้
ยา Nifedipine
ความดันโลหิตอาจลดต่ำลงมากเกินไปจนไม่สามารถควบคุมได้
การพยาบาล
ในระยะเฉียบพลัน
cardiac, and renal systems
Neurologic symptoms
confusion, stupor, seizures, coma, or stroke.
Cardiac symptoms
aortic dissection, myocardial ischemia, or dysrhythmias.
Acute kidney failure
BUN Cr จะมีค่าขึ้นสูง
ไตได้รับผลกระทบจากความดันโลหิตสูง
ในระหว่างได้รับยา
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
SBP ไม่ควรลดลงมาต่ำกว่า 120 มม.ปรอท
ความดันโลหิต DBP ที่เหมาะสม คือ 70-79 มม.ปรอท
ควบคุมความดันโลหิตให้ต่ากว่า 180/105 มม.ปรอทใน 24 ชั่วโมงแรก
อาการแสดงของภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง
ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ระดับความรู้สึกตัวลดลง (Time, place, person)
สับสน ตรวจขนาดรูม่านตาและปฏิกิริยาต่อแสง
กำลังและการเคลื่อนไหวของแขนขา การพูด การตอบสนองต่อคำสั่ง
ประเมินการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลาย
ชีพจร capillary refill อุณหภูมิของผิวหนัง
ประเมินการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงไต
ปริมาณปัสสาวะสมดุลกับสารน้าที่รับเข้าร่างกาย
ค่า BUN Cr ปกติ
การรักษาด้วย short-acting intravenous antihypertensive agents
sodium nitroprusside
ติดตามอาการไม่พึงประสงค์
ความดันโลหิตต่าอย่างรวดเร็ว (excessive hypotension)
หัวใจเต้นช้า
ภาวะกรด (acidosis)
หลอดเลือดดำอักเสบ (phlebitis)
cyanide toxicity วึ่งจะมีอาการหัวใจเต้นเต็ว ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง หายใจตื้นเร็ว มีภาวะกรด ชัก และหมดสติ
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทากิจกรรม
การจัดท่านอนให้สุขสบาย
การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ
จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ เช่นปิดไฟหัวเตียง
ส่งเสริมการพักผ่อนนอนหลับ
ให้ความรู้/ข้อมูลแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการรักษา
ควบคุมความดันโลหิต
6.2.3 Acute Heart Failure (AHF)
เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างหรือการทำงานของหัวใจ
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามเวลาการเกิดโรค
1) New onset: หัวใจล้มเหลวที่เกิดขึ้นครั้งแรก โดยอาจเป็นแบบเฉียบพลัน (Acute onset) หรือเกิดขึ้นช้า (Slow onset)
2) Transient: หัวใจล้มเหลวที่มีอาการชั่วขณะ เช่น เกิดขณะมีภาวะหัวใจขาดเลือด
3) Chronic: หัวใจล้มเหลวที่มีอาการเรื้อรัง โดยอาจมีอาการคงที่ (Stable) หรือ อาการมากขึ้น (Worsening หรือ Decompensation)
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
1) Systolic heart failure หรือ Heart failure with reduced EF (HFREF)
หัวใจล้มเหลวที่เกิดร่วมกับการบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายล่าง (Left ventricle) ลดลง
Left ventricular ejection fraction (LVEF) ต่ำกว่าร้อยละ 40
2) Diastolic heart failure หรือ Heart failure with preserved EF (HFPEF)
หัวใจล้มเหลวที่เกิดร่วมกับการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายปกติ
LVEF มากกว่าร้อยละ 40-50
Heart failure with preserved ejection fraction (HFPEF) หรือ Heart failure with preserved systolic function (HFPSF)
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามอาการและอาการแสดงของหัวใจที่ผิดปกติ
1) Left sided-heart failure
Orthopnea หรือ Paroxysmal nocturnal dyspnea (PND)
ดันในหัวใจห้องบนซ้ายหรือห้องล่างซ้ายสูงขึ้น
2) Right sided-heart failure
อาการบวม ตับโต
ชนิดของหัวใจล้มเหลวที่แบ่งตามลักษณะของ Cardiac output
1) High-output heart failure
หัวใจล้มเหลวเกิดจากการที่ร่างกายต้องการปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ (Cardiac output) มากกว่าปกติ
ไทรอยด์เป็นพิษ ซีด ภาวะขาดวิตามินบี1 (Beri Beri heart disease)
2) Low-output heart failure
ภาวะที่หัวใจบีบเลือดออกจากหัวใจได้น้อยลง (Low cardiac output)
ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute heart failure)
อาการเกิดขึ้นใหม่อย่างรวดเร็วหรือมีอาการแย่ลงในเวลาไม่นาน
ไม่เคยได้รับการวินิจฉัยมาก่อน
ภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง (Chronic heart failure)
เคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันมาก่อน
ผู้ป่วยมีอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวมาระยะเวลาหนึ่ง
Stable chronic heart failure
สาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว
ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ (Valvular heart disease)
ลิ้นหัวใจตีบหรือลิ้นหัวใจรั่ว
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardial disease)
หัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัวลดลง (Left ventricular systolic dysfunction) หรือกล้ามเนื้อหัวใจหนา (Hypertrophic cardiomyopathy)
ความผิดปกติแต่กำเนิด (Congenital heart disease)
ผนังกั้น ห้องหัวใจรั่ว (Atrial septal defect หรือ Ventricular septal defect)
ความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ
เยื่อหุ้มหัวใจหนาบีบรัดหัวใจ (Constrictive pericarditis)
ความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease)
Myocardial ischemia induced heart failure
การผ่าตัดแก้ไขในกรณีที่เกิดจากลิ้นหัวใจตีบหรือลิ้นหัวใจรั่ว
อาการและอาการแสดงของหัวใจล้มเหลว
อาการเหนื่อย (Dyspnea)
อาการเหนื่อยขณะที่ออกแรง (Dyspnea on exertion)
อาการเหนื่อย หายใจไม่สะดวกขณะนอนราบ (Orthopnea)
(Paroxysmal nocturnal dyspnea, PND) PND
อาการบวม
เท้า ขา เป็นลักษณะบวม กดบุ๋ม
อ่อนเพลีย (Fatigue)
แน่นท้อง ท้องอืด
ตับโตจากเลือดคั่งในตับ (Hepatic congestion)
มีน้ำในช่องท้อง (Ascites) อาจพบอาการคลื่นไส้เบื่ออาหารร่วมด้วย
อาการแสดงที่ตรวจพบบ่อย
หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) หายใจเร็ว (Tachypnea)
เส้นเลือดดำ ที่คอโป่งพอง (Jugular vein distention)
หัวใจโต โดยตรวจพบว่ามี Apex beat หรือ Point of Maximum Impulse (PMI)
เสียงหัวใจผิดปกติโดยอาจตรวจพบเสียง S3 หรือ S4 gallop หรือ Cardiac murmur
ตับโต (Hepatomegaly) หรือน้ำ ในช่องท้อง (Ascites)
บวมกดบุ๋ม (Pitting edema)
การพยาบาล
ให้ยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำชนิด Loop diuretic
Intake และ output
ควรติดตามค่าการทำงานของไต (BUN, creatinine)
พิจารณาใช้ยาขยายหลอดเลือด ได้แก่ Sodium nitroprusside
จัดท่านั่งศีรษะสูง 30-90 องศา (Fowler’s position)
ดูแลให้ผู้ป่วยได้ Bed rest ในระยะที่มีอาการเหนื่อย
ประเมิน V/S ทุก 1 ชั่วโมง
6.2.4 ภาวะช้อก (Shock)
การแปลผลความดันโลหิต
Systolic blood pressure (SBP)
ค่าความดันของหลอดเลือดขณะหัวใจบีบตัว
ถ้าค่า SBP สูง
Systolic function ดี
ถ้าค่า SBP ต่ำ
Systolic function ไม่ดี
Diastolic blood pressure (DBP)
ค่าความดันของหลอดเลือดขณะหัวใจคลายตัว
ถ้าค่า DBP สูง
แสดงว่า Afterload สูง
ถ้าค่า DBP ต่ำ
แสดงว่า Afterload ต่ำ
Mean arterial pressure (MAP)
ค่าความดันโลหิตเฉลี่ย
การแบ่งประเภทของช็อก (Classification of shock)
Low cardiac output shock (Hypodynamic shock)
ภาวะช็อกที่ Cardiac output ต่ำ และเป็นภาวะช็อกที่หลอดเลือดตีบ (Vasoconstriction)
diastolic blood pressure สูง และ Pulse pressure แคบ
Systemic vascular resistance (SVR) สูง
2) Cardiogenic shock
3) Obstructive shock
Cardiac tamponade
massive pulmonary embolism
tension pneumothorax
severe pulmonary artery hypertension
1) Hypovolemic shock
High cardiac output shock (Distributive shock, hyperdynamic shock)
ภาวะช็อกที่ cardiac output สูง และเป็นภาวะช็อกที่หลอดเลือดขยายตัว (Vasodilatation)
Diastolic blood pressure ต่ำและ Pulse pressure กว้าง
Systemic vascular resistance (SVR) ต่ำ
2) Anaphylactic shock
3) Endocrinologic shock ได้แก่ Adrenal crisis, thyroid storm
4) Neurogenic shock
1) Septic shock
5) Drug and toxin
6) Post-resuscitation syndrome
Supportive treatment
Breathing
Oxygen delivery โดยอาจใช้ Oxygen cannula, mask, mask with bag
ในกรณีที่มี Respiratory failure ให้พิจารณาใส่ท่อช่วยหายใจ
ไม่ควรใช้ Non-invasive positive pressure ventilation เนื่องจากพลศาสตร์การไหลเวียนเลือดไม่คงที่ (Hemodynamic instability)
Circulation
พิจารณาการให้สารน้ำหรือ Vasopressors / inotropes ตามสาเหตุของช็อกแต่ละประเภท
Airway
Upper airway obstruction ควรทำการเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
Fluid therapy
Right side cardiogenic shock
Obstructive shock
Hypovolemic shock
Distributive shock (High cardiac output shock)
Normal saline เป็นสารน้ำที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการแก้ไขภาวะช็อก
Volume overload เกิดจากการให้สารน้ำที่เร็วจนเกินไป
Hypernatremia เนื่องจาก Saline มี Na 154 mEq/L
Hyperchlorermic
การให้ Ringer's lactate solution
Volume overload เกิดจากการให้สารน้ำที่เร็วจนเกินไป
Lactic acidosis โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคตับ
Hyperkalemia มีแนวโน้มว่า Potassium ในเลือดสูง
Rhabdomyolysis
hemolysis
tumor lysis syndrome
Hypercalcemia
(RLS, Ringer's acetate solution) มี calcium
Colloids
Anaphylactic / anaphylactoid reaction
เมื่อให้เข้าไปในร่างกายจึงอาจก่อให้เกิดการแพ้ได้
Renal toxicity
อาจทำให้เกิด Acute kidney injury
Coagulopathy/platelet dysfunction
เกิดอาการทางคลินิก คือ เลือดออก
การเลือกใช้ Vasoactive drugs ในช็อกประเภทต่างๆ
Hypovolemic shock โดยทั่วไปไม่มีที่ใช้ของ Vasoactive drugs
Cardiogenic shock
ในขณะที่ความดันโลหิตยังต่ำอยู่ ควรเลือกใช้ Dopamine
Systolic BP ต่ำกว่า 70 มม. ปรอท อาจเลือก Norepinephrine ได้
Obstructive shock ควรให้สารน้ำก่อน
Septic shock ควรให้สารน้ำก่อน
ความดันโลหิตยังไม่ขึ้น อาจให้ Dopamine
ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีปัญหา Cardiac contractilit
Endocrinologic shock
ควรให้สารน้ำและให้การรักษาทดแทนทางฮอร์โมน
ยาต้านธัยรอยด์ใน Thyroid storm
ถ้าความดันโลหิตยังต่ำอยู่ พิจารณาให้ Norepinephrine
Anaphylactic shock
เลือก Epinephrine (Adrenaline) ก่อนเสมอ
เนื่องจากการรักษาต้องการฤทธิ์ที่กระตุ้น Alpha receptor และ beta receptor
Neurogenic shock
เลือก Dopamine ก่อน
เนื่องจาก Neurogenic shock
เป็นช็อกที่เกิดจากการทำงานของระบบประสาท Sympathetic บกพร่อง จึงทำให้มี Vasodilatation และ Heart rate ช้า
จึงต้องเลือกยาที่มีฤทธิ์ Vasopressor และ Positive chronotropic effect
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
ผู้ป่วยอยู่ในภาวะปริมาณเลือดออกจากหัวใจต่อนาทีต่ำลงเนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะช็อค
2) ดูแลให้ได้รับสารน้ำ 0.9% NSS load จนครบ
3) ดูแลให้ยาปฏิชีวนะ Ceftriazone 2 gm Intravenous drip in 1 hr (Septic shock)
1) ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพอาการอาการแสดงของ Shock และระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วยทุก 10 นาที
4) บันทึกจำนวนปัสสาวะที่ออกเพื่อประเมินหน้าที่การทำงานของไตผู้ป่วยปัสสาวะได้เอง
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา Levophed อาจเกิดภาวะยาดังเฉพาะที่หรือรั่วซึมออกนอกหลอดเลือดเกิดเนื้อตายได้
1) เพื่อเพิ่มความดันโลหิตและผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวข้างต้น โดยดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาเข้าทางหลอดเลือดดำใหญ่ตรง Antecubital vein โดยใช้ infusion pump
2) ตรวจวัดความดันโลหิตและอัตราหัวใจเต้นทุก 10 นาที เมื่อ IV ครบ 1,000 ml ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจปกติ จึงค่อย Titrate Levophed เพิ่มทีละ 5 ml / hr. ร่วมกับให้สารน้ำจนครบ 1,500 ml
3) ประเมินผลความดันโลหิต อัตราหัวใจเต้น และไม่มีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวข้างต้น
เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพการหายใจลดลง
1) ดูแลส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดโดยจัดท่านอนและให้ออกซิเจน
2) Observe O2 Saturation เพื่อให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและการแลกเปลี่ยนก๊าซอย่างเพียงพอ
3) ประเมินสัญญาณชีพ O2 Saturation ทุก 15 นาที
ผู้ป่วยและญาติมีสีหน้าวิตกกังวล
1) เพื่อบรรเทาความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ โดยให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
2) ให้คำอธิบาย ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับภาวะโรคและแผนการรักษา
มีไข้จากมีการติดเชื้อในกระแสเลือด (Septic shock)
1) ลดไข้และให้ผู้ป่วยมีความสุขสบาย โดยดูแลเช็ดตัวลดไข้
2) ประเมินภาวะไข้
Vasoactive drug
Positive inotropic effect เป็นฤทธิ์ที่ทำให้การบีบตัวของหัวใจ (Cardiac contractility) ดีขึ้น
Positive chronotropic effect เป็นฤทธิ์ที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate) เพิ่มขึ้น
Vasopressor effect เป็นฤทธิ์ที่ทำให้ความต้นทานของหลอดเลือดส่วนปลาย (Systemic vascular resistance, SVR) เพิ่มขึ้น ทำให้ Afterload เพิ่มขึ้น
Cardiac dysrhythmias
Atrial fibrillation (AF)
ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว
จุดปล่อยกระแสไฟฟ้า (ectopic focus) ใน atrium
ส่งกระแสไฟฟ้าออกมาถี่และไม่สม่าเสมอและไม่ประสานกัน
QRS complex ไม่เปลี่ยนแปลง
อัตราการเต้นของ atrial มากกว่า 350 ครั้ง/นาที
อัตราการเต้นของ ventricle 60-100 ครั้ง/นาที
Paroxysmal AF
AF ที่หายได้เองภายใน 7 วันโดยไม่ต้องใช้ยา หรือการช็อคไฟฟ้า (Electrical Cardioversion)
Persistent AF
AF ที่ไม่หายได้เองภายใน 7 วัน หรือหายได้ดัวยการรักษาด้วยยา หรือการช็อค ไฟฟ้า
Permanent AF
AF ที่เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปีโดยไม่เคยรักษาหรือเคยรักษาแต่ไม่หาย
Recurrent AF
AF ที่เกิดซ้ามากกว่า 1 ครั้ง
Lone AF
AFที่เป็นในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
สาเหตุ
โรคหัวใจขาดเลือด
โรคหัวใจรูห์มาติก
ภาวะหัวใจล้มเหลว
ความดันโลหิตสูง เ
gยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
ผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ (open heart surgery)
hyperthyrodism
อาการและอาการแสดง
ใจสั่น อ่อนเพลีย เหนื่อยเวลาออกแรง คลำชีพจรที่ข้อมือได้เบา
การพยาบาล
ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ (rate control) และจังหวะ (rhythm control) ให้กลับไปสู่ sinus rhythm
ให้ยา Anticoagulation เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
(thromboembolism)
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอด แขนและขา
ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เช่น digoxin, beta-blocker, calcium channel blockers, amiodarone
ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษาในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ว่ามีลิ่มเลือดเกิดขึ้น
เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการทา Cardioversion เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation) ในผู้ป่วยที่เป็น AF และไม่สามารถควบคุมด้วยยาได้
Ventricular tachycardia (VT)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกำเนิดการเต้นของหัวใจ
ลักษณะ QRS complex มีรูปร่างผิดปกติกว้างมากกว่า 0.12 วินาที
VT อาจเปลี่ยนเป็น VF ได้ในทันทีและทาให้เสียชีวิต
ECG ไม่พบ P wave
ประเภทของ VT
Nonsustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30วินาที
Sustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30วินาที ซึ่งมีผลทาให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง
Monomorphic VT คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
Polymorphic VT หรือ Torsade คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
สาเหตุ
กล้ามเนื้อหัวใจตายบริเวณกว้าง (Myocardial infarction)
โรคหัวใจรูห์มาติก (Rheumatic heart disease)
ถูกไฟฟ้าดูด
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
พิษจากยาดิจิทัลลิส (Digitalis toxicity)
กล้ามเนื้อหัวใจถูกกระตุ้นจากการตรวจสวนหัวใจ
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยจะรู้สึกใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ หน้ามืด เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หัวใจหยุดเต้น
การพยาบาล
นำเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันที และเปิดหลอดเลือดดำเพื่อให้ยาและสารน้ำ
คลำชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียว จำนวนปัสสาวะ เพื่อประเมินภาวะเลือดไปเลี้ยงสมอง และอวัยวะสำคัญลดลง
ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรได้ร่วมกับมีอาการของการไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง ให้เตรียมผู้ป่วยในการทำ synchronized cardioversion
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรไม่ได้ (Pulseless VT) ให้เตรียมเครื่อง Defibrillator เพื่อให้แพทย์ทาการช็อกไฟฟ้าหัวใจ ในระหว่างเตรียมเครื่องให้ทำการกดหน้าอกจนกว่าเครื่องจะพร้อมปล่อยกระแสไฟฟ้า
ทำ CPR ถ้าหัวใจหยุดเต้น
Ventricular fibrillation (VF)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกาเนิดการเต้นของหัวใจตาแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่ง
เต้นรัวไม่เป็นจังหวะไม่สม่าเสมอ
ลักษณะ ECG จะไม่มี P wave ไม่เห็นรูปร่างของ QRS complex
ระบุไม่ได้ว่าส่วนไหนเป็น QRS complex
สาเหตุ
Hypovolemia
Hypoxia
Hydrogen ion (acidosis)
Hypokalemia
Hyperkalemia
Hypothermia
Tension pneumothorax
Cardiac tamponade
Toxins
Pulmonary thrombosis
Coronary thrombosis
อาการและอาการแสดง
หมดสติ ไม่มีชีพจร รูม่านตาขยาย เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตออกมาได้ และเสียชีวิต
การพยาบาล
เตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์และยาที่ใช้ในการช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อมและทำ CPR ทันที
จากการรักษา VF และ Pulseless VT
สิ่งสำคัญคือ การช็อกไฟฟ้าหัวใจทันที และการกดหน้าอก