Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่13 การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง, นางสาวพรภัสส์ษา ภัทรวิกรัยกุล…
บทที่13 การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง
ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (Hyperbilirubinemia)
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
1.ภาวะตัวเหลืองจากสรีระภาวะ (Physiological jaundice) มีการสร้างบิลิรูบินมากกว่าผู้ใหญ่ พบในช่วงวันที่ 2 – 4 หลังคลอด หายไปเองใน 1 – 2 สัปดาห์
2.ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice) ทารกมีบิลลิรูบินในเลือดสูงมากผิดปกติ ตับกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลง มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
การวินิจฉัย
1.การตรวจร่างกาย ซีด เหลือง ตับ ม้ามโตหรือไม่ มีจุดเลือดออก
2.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ CBC เพื่อดูการติดเชื้อ G-6-PD เพื่อดูภาวะพร่องเอนไซด์
อันตรายจากการมีบิลิรูบินสูง
เกิด kernicterus เข้าสู่เซลล์สมอง และทำให้สมองได้รับบาดเจ็บและมีการตายของเซลล์ประสาท ทำให้ทารกมีความพิการของสมองเกิดขึ้นอย่างถาวร
การรักษา
-การส่องไฟ (phototherapy)
ภาวะแทรกซ้อน
Increases metabolic rate มีน้ำหนักตัวลดลง
Increased water loss / dehydration ภาวะเสียน้ำมากจากการระเหยของน้ำ
Diarrhea ถ่ายเหลวจากการที่แสงที่ใช้ในการรักษา
Retinal damage มีการบาดเจ็บจากถูกแสงส่องนานทำให้ตาบอดได้
Bronze baby หรือ tanning มีสีผิวคล้ำขึ้นจากการที่ต้องถูกแสงอัลตราไวโอเลต
Disturb of mother-infant interaction มารดามีโอกาสได้อุ้มและ สัมผัสทารกน้อยลง
Thermodynamic unstable มีอุณหภูมิร่างกายสูงหรือต่ำกว่าปกติ
non-specific erythrematous rash มีผื่นขึ้นตามตัวเป็นการชั่วคราว
-การเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)
การพยาบาล
1.ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา (eyes patches) เช็ดทำความสะอาดตาทุกวัน ควรเปิดตาทุก 4 ชม.และเปลี่ยนผ้าปิดตาทุก 8-12 ชม
2.จัดให้ทารกอยู่ในท่านอนหงาย หรือนอนคว่ำและเปลี่ยนท่านอนทุก 2-4 ชม
3.นอนอยู่บริเวณตรงกลางของแผงหลอดไฟ ในระยะห่างจากหลอดไฟ ประมาณ 35-50 เซนติเมตร
4.บันทึกและรายงานการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพทุก 2-4 ชม.
5.สังเกตลักษณะอุจจาระ บันทึกลักษณะและจำนวนอุจจาระ
6.ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับบิลิรูบินในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชม.
7.สังเกตภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับการส่องไฟรักษา
การพยาบาลExchange transfusion
1.อธิบายให้บิดามารดาทราบ
ดูแลให้ร่างกายทารกอบอุ่น
3.สังเกตภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย แคลเซียมในเลือดต่ำ
4.หลังการเปลี่ยนถ่ายเลือดตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที ทุก 30 นาที จนกระทั่งคงที่
ปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำ
ระดับน้ำตาลในพลาสมาต่ำกว่า 40 mg%
อาการแสดง
ซึม ไม่ดูดนม มีสะดุ้งผวา อาการสั่น ซีดหรือเขียว
สาเหตุดังนี้
1.glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จำกัด
2.มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด
การรักษา
1.ทารกครบกำหนดให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
2.ทารกไม่มีอาการ
แรกเกิด-อายุ 4 ชั่วโมง ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
อายุ 4-24 ชั่วโมง ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อนมื้อนม ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
การดูแล
1.เสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ติดตามทุก 1-2 ชม.ใน 6-8 ชม.แรก รีบให้ 5,10 %D/W ทางปาก หรือ NG tube ใน 1-2 มื้อแรก แล้วให้นม
2.มีน้ำตาลในเลือดต่ำตรวจติดตามทุก 30 นาที สารละลายกลูโคส ถ้ากินไม่ได้ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือดดำ
3.ควบคุมอุณหภูมิห้องและดูแลให้ความอบอุ่นแก่ทารก และสังเกตอาการเปลี่ยนแปลง
MAS
ภาวะตื่นตัวของทารกเมื่อ แรกเกิดเรียกว่า vigorous
ทารกต้องมีอาการดังต่อไปนี้ คือ
1.มีแรงหายใจด้วยตนเองได้ดี
2.มีกำลังกล้ามเนื้อดี
3.อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที
น้ำคร่ำขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์เกิดได้2ลักษณะคือ
1.การเคลื่อนตัวของลำไส้ที่พัฒนาสมบูรณ์แล้วของทารก
2.รกและทารกในครรภ์ที่ตอบสนองต่อความเครียดที่เกิด จากความผิดปกตินั้นเช่นภาวะรกทำงานผิดปกติ
ความรุนแรงแบ่งได้เป็น3 ระดับ
1.อาการรุนแรงน้อย หายใจเร็วระยะสั้นๆ เพียง24-72ชั่วโมง อาการมักหายไปใน 24-72ชั่วโมง
2.อาการรุนแรงปานกลาง มีการดึงรั้งของช่องซี่โครง รุนแรงสูงสุดเมื่ออายุ 24ชั่วโมง
3.อาการรุนแรงมาก ระบบหายใจล้มเหลวทันที หรือภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังเกิด
การพยาบาล
1.ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ติดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน
2.วัดความดันโลหิตทุก2- 4 ชั่วโมง
3.สังเกตอาการติดเชื้อ
การจำแนกประเภทของทารกแรกเกิด
1.การจำแนกตามน้ำหนัก แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
• Low birth weight infant (LBW infant) น้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่า 2,500 กรัม แบ่งเป็น Very low birth weight คือ น้ำหนักต่ำกว่า 1,500 กรัม และ Extremely low birth weight (ELBW) คือน้ำหนักต่ำกว่า 1,000 กรัม
• Normal birth weight infant (NBW infant) มีน้ำหนักแรกเกิด 2,500 กรัม ถึงประมาณ 3,800 – 4,000 กรัม
2.การจำแนกตามอายุครรภ์
• ทารกเกิดก่อนกำหนด (Preterm infant) คือ ทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์
• ทารกแรกเกิดครบกำหนด (Term or mature infant) คือทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์ มากกว่า 37 สัปดาห์ ถึง 41 สัปดาห์
• ทารกแรกเกิดหลังกำหนด (Posterm infant) ทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์มากกว่า 41 สัปดาห์
สาเหตุ
1.มารดามีภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง รกลอกตัวก่อนกำหนด แท้งคุกคามในไตรมาสแรก
2.มารดาป่วยเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ไต ติดเชื้อ
3.ตั้งครรภ์แฝด มารดาติดยาเสพติด
4.อายุน้อยกว่า 16 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
ทารกเกิดก่อนกำหนด
น้ำหนักน้อย รูปร่างรวมทั้งแขนขามีขนาดเล็ก ศีรษะจะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ผิวหนังบางสีแดงและเหี่ยวย่น ลายฝ่ามือฝ่าเท้ามีน้อยและเรียบ หัวนมมีขนาดเล็ก หรือมองไม่เห็นหัวนม ท้องป่อง ขนาดของอวัยวะเพศค่อนข้างเล็ก หายใจไม่สม่ำเสมอ มีการกลั้นหายใจเป็นระยะ เสียงร้องเบา และร้องน้อยกว่าทารกแรกเกิดครบกำหนด Reflex ต่าง ๆ มีน้อยหรือไม่มี
ปัญหาที่พบได้ในทารกคลอดก่อนกำหนด
1.ปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิ
Hypothermia อุณหภูมิ < 36.5 องศาเซลเซียส ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) การเพิ่มการเผาผลาญและภาวะกรด ภาวะหยุดหายใจ(Apnea) ภาวะอุณหภูมิกายต่ำ < 36.5o C (วัดทางทวารหนัก)
อาการและอาการแสดง
ใบหน้าแดงผิวหนังเย็น เขียวคลำ หยุดหายใจ หายใจลำบาก ปลายมือปลายเท้าเย็น
การวัดอุณหภูมิทารก
ทางทวารหนัก
• ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 2.5 ซม
. • ทารกครบกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 3.0 ซม.
ทางรักแร
• ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 5 นาที
• ทารกครบกำหนด วัดนาน 8 นาที
การดูแล
1.จัดให้อยู่ในที่อุณภูมิเหมาะสม (NTE) 32 - 34 องศาเซลเซียส
2.ใช้ warmer, incubator หรือผ้าห่มห่อตัว
3.หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้แอร์ พัดลม ระวัง “Cold stress”
การพยาบาลทารกที่ได้รับการรักษาในตู้อบ
1.ไม่เปิดตู้อบโดยไม่จำเป็นให้การ พยาบาลโดยสอดมือเข้าทางหน้าต่างตู้อบ
2.ป้องกันการสูญเสียความร้อน
3.ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายทุก 4 ชม.
4.เช็ดทำความสะอาดตู้ทุกวัน
2.ปัญหาทางระบบทางเดินหายใจและพิษออกซิเจน
Perinatal asphyxia APGAR Score มีดังนี้
-No asphyxia คะแนน แอพการ์ 8 –10
-Mild asphyxia คะแนนแอพการ์ 5 – 7
-Moderate asphyxia คะแนนแอพการ์ 3 – 4
-Severe asphyxia คะแนนแอพการ์ 0-2
1.Respiratory Distress Syndrome (RDS)
อาการและอาการแสดง
-หายใจเร็วกว่า 60 ครั้ง/ นาที มีปีกจมูกบาน หายใจมีเสียง Grunting
-อาการเขียว (Cyanosis)
-ภาพถ่ายรังสีปอด มีลักษณะ ground glass appearance
-มีภาวะเลือดเป็นกรด
-การหายใจล้มเหลวได้ภายใน 24 ชั่วโมงแรกเกิด
คือภาวะหายใจลำบากเนื่องจากการขาดสารลดแรงตึงผิว (surfactant) ของถุงลม
การป้องกัน
1.มารดาที่มีความเสี่ยงจะคลอดก่อนกำหนดแต่ถุงน้ำคร่ำยังไม่แตก ควรได้antenatal corticosteroids อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนคลอด มี 2 ชนิดคือ
• Betamethazone 12 มิลลิกรัมทางกล้ามเนื้อทุก 24 ชั่วโมงจนครบ 2 ครั้ง
• Dexamethazone 6 มิลลิกรัมทางกล้ามเนื้อทุก 12 ชั่วโมงจนครบ 4 ครั้ง
2.การป้องกันไม่ให้ทารกขาดออกซิเจนในระยะแรกเกิด
การรักษา
1.ให้ออกซิเจน ตามความต้องการของทารก
2.ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน
3.ให้สารลดแรงตึงผิวเพื่อทำให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น
4.รักษาแบบประคับประคองตามอาการ
ให้ได้รับสารน้ำอย่างเพียงพอ
รักษาสมดุลน้ำ อิเลคโตรไลท์
รักษาระดับฮีโมโกลบินในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ให้ยาปฏิชีวนะในรายที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อ
apnea of prematurity หยุดหายใจนานกว่า 20 วินาที มี cyanosis
-central apnea ภาวะหยุดหายใจที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม มีสาเหตุมาจากศูนย์การหายใจที่บริเวณก้านสมองทำงานได้ไม่ดี
-obstruction apnea ภาวะหยุดหายใจที่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม เกิดจากการงอหรือการเหยียดลำคอเกิน ทำให้ช่องภายในหลอดคอ ไม่เปิดกว้าง
2.Retinopathy of PrematurityRetinopathy(ROP)
เป็นความผิดปกติ ในทารกในทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักน้อย
ระยะเวลาการตรวจหาROP
1.ตรวจครั้งแรกเมื่อทารกอายุ 4 – 6 สัปดาห์ หรือเมื่อทารกอายุครรภ์รวมอายุหลังเกิด 32 สัปดาห์ และตรวจซ้ำทุก 4 สัปดาห์
2.มีการดำเนินของโรคอยู่ตรวจซ้ำทุกอาทิตย์หรือตามแผนการติดตามประเมินของแพทย์
3.ถ้าพบ ROP ควรนัดมาตรวจซ้ำทุก ๆ 1 – 2 สัปดาห์
ความรุนแรง มี 5 ระยะ
-stage1 Demarcation line between vascularized and avascular retina
-Stage 2 Ridge between vascularized and avascular retina
-Stage 3 Ridge with extraretinal fibrovascular proliferation
-Stage 4 Subtotal retinal detachment: (a) extrafoveal detachment (b) foveal detachment
-Stage 5 Total retinal detachment
3.ปัญหาการติดเชื้อ
Sepsis
NEC (Necrotizing Enterocolitis) ปัญหาระบบทางเดินอาหาร เป็นผลมาจากภาวะพร่องออกซิเจน ได้รับอาหารไม่เหมาะสม เร็วเกินไป ลำไส้ขาดเลือดมาเลี้ยง การย่อยและการดูด ซึมไม่ดี
การพยาบาล
NPO / ห้ามวัดปรอททางทวารหนัก
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา / ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก aseptic technique
เฝ้าระวังสังเกตภาวะติดเชื้อ เฝ้าระวังภาวะล้าไส้ทะลุ
4.ปัญหาระบบหัวใจ , เลือด
PDA (Patent Ductus Ateriosus) รักษา PDA โดยใช้ยา Indomethacin ยา ibuprofen ช่วยยับยั้งการสร้างprostaglandin ซึ่งจะทำให้ PDA ปิด ให้ทุก 12-24 ชั่วโมง จำนวน 3-4 ครั้ง
5.ปัญหาเลือดออกในช่องสมอง
IVH (Intraventricular Hemorrhage)
Hydrocephalus
ปัญหาทางโภชนาการและการดูดกลืน
Hypoglycemia / - NEC (Necrotizing Enterocolitis) / - GER (Gastroesophageal Reflux)
การพยาบาล
1.gavage feeding (OG tube) ในเด็กเหนื่อยง่ายดูดกลืนไม่ดี
IVF ให้ได้ตามแผนการรักษา
3.ระวังอาการท้องอืด
4.ประเมินการเจริญเติบโตชั่งน้ำหนักทุกวัน (เพิ่มวันละ 15-30กรัม)
ปัญหาพัฒนาการล้าช้า
ส่งเสริมสายสัมพันธ์พ่อแม่ลูก / - Eye to eye contact / - Skin to skin contact
การพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนด
-การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ(36.8 - 37.2)
การพยาบาล
1.จัดให้อยู่ในสิ่งแวดล้มที่มีอุณหภูมิที่ทำให้ทารกมีการใช้ออกซิเจน
2.ป้องกันการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกาย
3.ประเมินอุณหภูมิร่างกายตามอาการของทารก พร้อมทั้งสังเกตอาการทางคลินิก ของการมีอุณหภูมิร่างกายต่ำ หรือสูงกว่าปกติ
-การดูแลด้านการหายใจให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
1.ทารกเกิดก่อนกำหนดมีความไม่สมบูรณ์ของการหายใจ
2.ฮีโมโกลบินของทารกเป็น Hb-F ซึ่งรับออกซิเจนได้ดี แต่ปล่อยให้เซลได้น้อย
3.รีเฟล็กซ์เกี่ยวกับการไอมีน้อย และหายใจทางปากยังไม่ได้
การพยาบาล
1.ประเมินการหายใจ
2.ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง ดูดเสมหะ จัดท่านอนให้คอตรงไม่ก้มหรือเงยเกินไป
3.ดูแลให้ได้รับยา Theophylline ตามแผนการรักษา
4.ดู แลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
5.ดูให้ความอบอุ่นแก่ทารก ป้องกันการเกิดcold stress
-การให้สารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
รีเฟล็กซ์ของการดูดและกลืนมีน้อยหรือไม่มี
Cardiac sphincter ไม่ดี ปิดไม่สนิท ทารกเกิดการสำรอก อาเจียนได้ง่าย
3.น้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีน้อย ตับสร้างน้ำดีได้น้อย การย่อยอาหารโดยเฉพาะพวกไขมันท้าได้ไม่ดีจึงท้องอืดได้ง่าย
การพยาบาล
1.ใน 1 –2 วันแรกหลังเกิดดูแลให้งดน้ำและนม ตามแผนการรักษา
2.ดูแลการให้อาหารทางปาก
3.การให้นมแก่ทารก
4.ประเมินความสามารถในการรับนมได้ของทารก
5.ดูแลการได้รับสารน้ำและสารอาหารทางหลอดเลือดดำ ตามแผนการรักษา
6.ชั่งน้ำหนักทุกวัน น้ำหนักของทารกจะเพิ่มขึ้นวันละ 20-30 กรัม
7.ป้องกันหรือหลีกเลี่ยงภาวะที่จะทำให้ทารกมีการใช้พลังงานในร่างกายมากกว่าปกติ
-การป้องกันการติดเชื้อ
1.การสร้าง IgM ยังไม่สมบูรณ์ และได้รับ IgG จากมารดา มาน้อย ไม่ได้รับ Ig A จากน้ำนมมารดา
2.เม็ดเลือดขาวมีน้อยและทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์
3.ผิวหนังและเยื่อบุปกป้องการติดเชื้อได้น้อย
การพยาบาล
1.ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนและหลังให้การ พยาบาลทุกครั้ง
2.ดูแลความสะอาดทั่วไปของร่างกายและสิ่งแวดล้อม
การป้องกันการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ
การพยาบาล
1.ดูแลให้ทารกได้รับน้ำและนมทางปาก และ/หรือสารน้ำ สารอาหารทางหลอดเลือดดำ ตามแผนการรักษา
2.ป้องกันไม่ให้เกิดสาเหตุส่งเสริมให้มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
3.ประเมินอาการมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
-การป้องกันการเกิดเลือดออกและโลหิตจาง
1.มีเส้นเลือดมาเลี้ยงที่ ventricle ของสมองมาก เสี่ยงต่อการเกิด Intra ventricular hemorrhage (IVH)
2.ผนังเส้นเลือดพัฒนาไม่สมบูรณ์ เปราะบางง่าย
Prothrombin และ Hematogenous-factor ต่ำ ขาดวิตามินเค
Hb-F ของทารกมีชีวิตสั้น
การพยาบาล
1.ดูแลให้ทารกได้รับการฉีด Vit K1 เข้ากล้ามเนื้อตามแผนการรักษา
2.หลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ ควรจะฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ
3.ดูแลการได้รับ Vit. E และ FeSO4 ทางปากตามแผนการรักษา
4.ติดตามและรายงานผล CBC
สังเกตและรายงานอาการที่แสดงว่ามีเลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ เช่น gastric content มีเลือดปนมีจุดเลือดบริเวณผิวหนัง อุจจาระมีเลือดปน
6.ดูแลให้ทารกได้รับธาตุเหล็กตามแผนการรักษา
-การคงไว้ซึ่งความสมดุลของน้ำ กรด-ด่าง และอิเลคโทรลัยต์
การพยาบาล
1.ดูแลการได้รับสารน้ำและอิเลคโทรลัยต์ให้เพียงพอตามแผนการรักษา
2.จดบันทึก Intake และ output อย่างละเอียดและถูกต้อง
3.ติดตามผล blood gas BUN electrolyte urine specific gravity
4.สังเกตอาการและอาการแสดงของการมีภาวะไม่สมดุลย์ของน้ำ กรด-ด่าง
-การป้องกันการเกิดการแตกท้าลายของผิวหนัง
การพยาบาล
1.หลีกเลี่ยงการใช้พลาสเตอร์กับทารกเกินความจ้าเป็น
2.สังเกต อาการแพ้หรือการแตกท้าลายของผิวหนังจากการใช้พลาสเตอร์
3.ระมัดระวังการรั่วของสารน้ำออกจากหลอดเลือดในรายที่ได้รับสารน้ำ
-การป้องกันการเกิด Retinopathy of Prematurity (ROP)
การพยาบาล
1.ดูแลให้ทารกรับออกซิเจนเท่าที่จำเป็น
ดูแลให้ทารกมีระดับ O2 saturation อยู่ระหว่าง 88 – 95 % สำหรับโรคทั่วๆไป และ 98 – 99 % สำหรับทารกที่มีภาวะสูดสำลักขี เทา
3.ดูแลให้ทารกได้รับยาวิตามินอีตามแผนการรักษา
-การดูแลการได้รับวิตามินและเกลือแร่
มีการสะสมแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินอี น้อย รวมทั้งความสามารถในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในน้ำมีน้อย จึงมีโอกาสขาดวิตามิน และเกลือแร่ได้
-การดูแลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของทารกแรกเกิด (Developmental care)
สาเหตุดังต่อไปนี้
ช่วงเวลาที่อยู่ในครรภ์มารดา
ความเจ็บป่วยของทารกทำให้ได้รับการรักษาที่ส่งผลต่อพัฒนาการ
สิ่งแวดล้อมในหอผู้ป่วยไม่เหมาะสม
การพยาบาล
1.การจัดท่าอยู่ในท่าแขน ขางอเข้าหากลางล้าตัว (flexion)ไม่ว่าในขณะอุ้ม เคลื่อนย้ายและนอน ล้าคอตรงไม่ก้มหรือเงยมากเกินไป
2.จับต้องทารกเท่าที่จำเป็น, ให้การพยาบาลด้วยสัมผัสที่นุ่มนวล
3.จัดสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วยให้มีการกระตุ้นทางแสงและเสียงน้อยที่สุด
4.ประเมิน สัญญาณ (cues) ของทารกว่าทารกอยู่ในภาวะเครียด สงบและผ่อนคลาย
-ส่งเสริมสัมพันธภาพบิดามารดา-ทารก (bonding, attachment)
1.ส่งเสริม, กระตุ้นให้มารดามาเยี่ยมทารกให้เร็วที่สุด
2.ให้บิดามารดมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือดูแลทารกตามความเหมาะสม
3.เปิดโอกาสให้บิดามารดาซักถาม ระบายความรู้สึก
4.ส่งเสริมการเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา
นางสาวพรภัสส์ษา ภัทรวิกรัยกุล เลขที่1 36/2 612001081