Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนิติเวชและนิติจิตเวช, นางสาว กนกวรรณ เนียมพลู เลขที่…
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนิติเวชและนิติจิตเวช
1. ความหมายและความสำคัญของนิติเวชและนิติจิตเวช
จิตเวช หมายถึง ความเจ็บป่วยทางจิต ความผิดปกติของอารมณ์และบุคลิกภาพ
นิติเวช หมายถึง การนำหลักทางการแพทย์ประยุกต์ใช้ เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทและพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีความ
นิติจิตเวช หมายถึง การนำหลักจิตเวชประยุกต์เพื่อประโยชน์ในกระบวนการยุติธรรมและความสงบของสังคม
3. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนิติเวช และนิติจิตเวช
3.4 วิธีเพิ่มโทษ ลดโทษ และการรอการลงโทษ
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56
ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสองปี ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่อนโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษนึงถึงประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิด แต่รอการกำหนดโทษไว้หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แล้วปล่อยตัวเพื่อให้โอกาส
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 57
ความปรากฏแก่ศาลหรือความตามคำแถลงของพนักงานอัยการหรือเจ้าหนักงานว่า ผู้กระทำความผิด ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่ศาลกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณี แต่ถ้าในเวลาที่ศาลได้กำหนดตามมาตรา 56 ศาลอาญาตักเตือนผู้กระทำความผิด หรือกำหนดการลงโทษที่ยังไม่ได้กำหนดหรือลงโทษซึ่งรอไว้นั้นก็ได้”
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58
ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้กระทำความผิด อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้นให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณีแต่ถ้าในเวลาที่ศาลได้กำหนดตามมาตรา 56ผู้นั้นมิได้กระทำความผิดดังกล่าวมาในวรรคแรกให้ผู้นั้นพ้นจากการที่ถูกกำหนดโทษหรือถูกลงโทษในคดีนั้น แล้วแต่กรณี”
3.5 ความรับผิดชอบในทางอาญา
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 66
ความมึนเมาเพราะเสพย์สุรา หรือสิ่งเมาอย่างอื่น จะยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวตามมาตรา 65 ไม่ได้ เว้นแต่ ความมึนเมานั้นจะได้เกิดโดยผู้เสพย์ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้มึนเมาถูกขืนใจให้เสพย์และได้กระทำความผิดในขณะไม่สามารถรับผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ ผู้กระทำความผิดจึงจะได้รับยกเว้นโทษสำหรับความผิดนั้น
ถ้าผู้นั้นยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ศาลจะลงโทษน้อยกว่า ที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”
3.3 วิธีการเพื่อความปลอดภัย
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 48
ศาลเห็นว่าการปล่อยตัวผู้มีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน ซึ่งไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับการลดโทษตามมาตรา 65 จะเป็นการไม่ปลอดภัยแก่ประชาชน ศาลจะสั่งให้ส่งตัวไปควบคุมไว้ในสถานพยาบาลก็ได้ และคำสั่งนี้ศาลจะเพิกถอนเสียเมื่อใดก็ได้
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 49
กรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษ หรือพิพากษามีความผิด แต่รอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษบุคคลใด ถ้าศาลเห็นว่าเป็นผู้ติดยาเสพติดให้โทษ ศาลจะกำหนดในคำพิพากษาว่า บุคคลนั้นจะต้องไม่เสพย์สุรายาเสพติดให้โทษอย่างใดอย่างหนึ่ง
3.6 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 246
ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อน จนกว่าเหตุอันสมควรทุเลาจะหมดไปในกรณีต่อไปนี้
2) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก
3) ถ้าจำเลยมีครรภ์แต่เจ็ดเดือนขึ้นไป
1) เมื่อจำเลยวิกลจริต
4) ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงเดือนในระหว่างทุเลาการบังคับอยู่นั้น ให้ศาลสั่งพนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตำรวจจัดให้บุคคลดังกล่าวแล้วอยู่ในสถานที่อันควร”
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 248
“ถ้าบุคคลซึ่งต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิต เกิดวิกลจริตก่อนประหารชีวิต ให้รอการประหารชีวิตไว้ก่อนจนกว่าผู้นั้นจะหาย ขณะทุเลาการประหารชีวิตอยู่นั้น ศาลมีอำนาจยกมาตรา 46 วรรค (2) แห่งกฎหมายลักษณะอาญามาบังคับ
เมื่อพิสูจน์ได้ว่าวิกลจริตจริง บุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องอาจขอร้องต่อศาล สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ และ ตั้งผู้อนุบาลได้ ผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ สามารถที่จะทำนิติกรรมเองได้ ยกเว้นแต่บางเรื่องที่ศาลกำหนดไว้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์
3.2 ความสามารถในการต่อสู้คดี หรือวิธีพิจารณาความอาญา
ประมวลกฎหมายมาตรา 14
การสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณาถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหา หรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริต และไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ให้พนักงานสอบสวนสั่งให้พนักงานแพทย์ตรวจผู้นั้น เสร็จแล้วให้เรียกพนักงานแพทย์ผู้นั้นมาให้ถ้อยคำ หรือให้การว่าตรวจได้ผลประการใด
พนักงานสอบสวน หรือศาลเห็นว่าผู้ต้องหา หรือจำเลยผู้วิกลจริต และไม่สามารถต่อสู้คดีให้งดการสอบสวนไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณาไว้จนกว่าผู้นั้นหายวิกลจริต หรือสามารถต่อสู้คดีได้ และให้มีอำนาจส่งตัวไปยังโรงพยาบาล โรคจิตหรือมอบให้แก่ผู้อนุบาล ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้อื่นเต็มใจรับไปดูแลรักษาตามจะเห็นสมควร
กรณีที่ศาลงดการไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณาดั่งบัญญัติไว้ในวรรคก่อนศาลจะสั่งจำหน่ายคดีเสียชั่วคราวก็ได้
หลักการพิจารณาความสามารถในการต่อสู้คดี
รู้ถึงความหนักเบาของโทษที่จะได้รับ
สามารถเล่ารายละเอียดของคดีได้
สามารถเข้าใจขั้นตอนการดำเนินคดี
รู้ว่าตนเองต้องคดีอะไร
สามารถให้ปากคำต่อกระบวนการยุติธรรมได้
3.7 ความหมายเกี่ยวกับผู้ดูแล
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 373
“ผู้ใดควบคุมดูแลบุคคลวิกลจริต ปล่อยปละละเลยให้บุคคลวิกลจริตนั้น อาจเที่ยวตามลาพังต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท”
3.1 กฎหมายเกี่ยวกับความผิดทางอาญาของบุคคลวิกลจริต
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 65
“ผู้ใดกระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น
ถ้ากระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”
การพิจารณาความผิดทางอาญา
1) ไม่สามารถรู้ผิดชอบหมายถึงขณะประกอบคดีผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่รู้ว่าการกระทำของตนถูกหรือผิดดีหรือชั่วควรหรือไม่ควร
2) ไม่สามารถบังคับตนเองได้ หมายถึง ขณะประกอบคดี ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่สามารถห้ามจิตใจ มิให้ร่างกายทำการนั้นได้ อันเกิดจากโรคจิต จิตบกพร่อง หรือจิตฟั่นเฟือน
3.8 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ป.พ.พ. มาตรา 31
“การใด ๆ อันบุคคลผู้ซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ทำลงไปการนั้นท่านว่าเป็นโมฆียะ”
ป.พ.พ. มาตรา 32
“การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตได้ทำลง แต่หากบุคคลนั้นศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถไซร้ ท่านว่าการนั้นจะเป็นโมฆียะ ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่าได้ทำลงในเวลาซึ่งบุคคลนั้นวิกลจริตอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้ทำเป็นคนวิกลจริต”
ป.พ.พ. มาตรา 30
“บุคคลผู้ซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้น ท่านว่าต้องจัดให้อยู่ในความอนุบาล”
ป.พ.พ. มาตรา 429
“บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ต้องรับผิดในผลที่ตนละเมิดบิดา มารดา หรือผู้อนุบาลเช่นว่านี้ ย่อมต้องรับผิดชอบร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร แก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”
ป.พ.พ. มาตรา 29
“บุคคลวิกลจริตผู้ใด ถ้าภริยาสามีก็ดี ผู้บุพการีกล่าวคือ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวดก็ดี ผู้สืบสันดานกล่าวคือ ลูกหลาน เหลน ลื้อก็ดี ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ก็ดี หรือพนักงานอัยการก็ดี ร้องขอต่อศาลแล้วศาลจะสั่งให้บุคคลผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้ คำสั่งอันนี้ให้โฆษณาในราชกิจจานุเบกษา”
ป.พ.พ. มาตรา 430
“ครูบาอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี จาต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิดซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ระมัดระวังตามสมควร”
4. กระบวนการเกี่ยวกับนิติจิตเวช
บุคคลที่สงสัยว่าวิกลจริต หรือมีปัญหาสุขภาพจิตขณะประกอบคดี
ถูกจับดำเนินคดี
มีหลักฐานว่ากระดำความผิด
งดสอบสวนหรือพิจารณาคดี
ตรวจวินิจตาม มาตรา 14
รักษาตามขั้นตอน
อาการทางจิตทุเลา
อาการทางจิตไม่ทุเลา
แจ้งผลการรักษาเป็นระยะ
1 more item...
ปล่อยตัวถ้าพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้กระทำความคิด
5. บทบาทของพยาบาลกับงานนิติจิตเวช
บทบาทของพยาบาลกับงานนิติจิตเวช
2) เก็บข้อมูลของผู้ป่วยเป็นความลับ เว้นแต่เป็นเรื่องทางกฎหมาย
3)กรณีที่บริษัทประกันร้องขอข้อมูลของผู้ป่วย พยาบาลต้องแจ้งให้แพทย์เจ้าของไข้ทราบ แพทย์อาจจะให้พยาบาลช่วยดำเนินการในการรวบรวมข้อมูล จากนั้นให้ผนึกซอง ตีตราลับและส่งถึง ฝ่ายแพทย์ของบริษัทประกันให้เร็วที่สุด
1) ใช้การสังเกต และการบันทึกอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด และเป็นระยะๆ
4.ผู้ป่วยจิตเวช พยาบาลควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยที่อาจก่อนให้เกิดอันตราย ในอนาคต
บทบาทของพยาบาลกับการชันสูตรพลิกศพ
พิจารณาความอาญาที่แก้ไขใหม่ (พ.ศ.2542) ระบุผู้ถูกสัตว์ทำร้ายตาย และตายโดยอุบัติเหตุ มีเหตุจำเป็นไม่สามารถไปชันสูตรพลิกศพได้ แพทย์อาจมอบหมายให้มีเหตุจำเป็นไม่สามารถไปชันสูตรพลิกศพได้ แพทย์อาจมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดงานสาธารณสุขจังหวัด ที่ผ่านการอบรมทางนิติเวชศาสตร์ไปร่วมชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเหตุเบื้องต้น
กฎหมายได้กำหนดทำการชันสูตรพลิกศพสงสัยว่ามีการตายโดยผิดธรรมชาติหรือตายในระหว่างความควบคุมของเจ้าหน้าที่ (มาตรา 148) การตายโดยผิดธรรมชาติประกอบด้วย
2) ถูกผู้อื่นทำให้ตาย (homicide)
3) ถูกสัตว์ทำร้ายตาย
1) การฆ่าตัวตาย (committed suicide)
4) ตายโดยอุบัติเหตุ (accident)
5) ตายโดยยังมิปรากฏเหตุ (sudden & unexpected death) ซึ่งต้องทำการชันสูตรพลิกศพในกรณีที่สงสัยว่ามีการตายโดยผิดธรรมชาติหรือตายในระหว่างความควบคุมของเจ้าหน้าที่ (มาตรา 148)
หลักการเขียนรายงาน
หลักการเขียนรายงานการชันสูตรพลิกศพ
กรณีที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ไปชันสูตรแทนแพทย์ มีหลักการในการเขียนรายงาน ดังนี้
4) การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อดูสารในร่างกาย
5) การลงความเห็นในเรื่องเหตุ และพฤติการณ์ที่ตาย
3) การตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อดูพยาธิสภาพ
2) รายงานการผ่าศพชันสูตร ซึ่งเป็นตรวจสอบสภาพภายนอก / ภายในของศพนั้นๆ
1) เขียนรายงาน ณ ที่เกิดเหตุ โดยมีการจดบันทึกเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทั่วไป ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับศพ ความเห็นเกี่ยวกับศพ การดำเนินการเกี่ยวกับศพ
หลักการเขียนรายงานการชันสูตรบาดแผล
อาจมีบาดแผลเกิดขึ้น การชันสูตรและบันทึกเกี่ยวกับบาดแผลนั้นสามารถใช้เป็นพยานเอกสารได้
สิ่งที่พยาบาลต้องบันทึกคือ
1) ข้อเท็จจริง (จำนวน ชนิด ตำแหน่ง ขนาด สิ่งแปลกปลอมที่พบในแผล ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ วิธีการรักษาพยาบาล และความผิดปกติที่เป็นผลจากการบาดเจ็บ)
2) ความเห็นเกี่ยวกับแผล
หลักการเก็บรักษาวัตถุพยาน
พยาบาลมีบทบาทในการจัดการกับสิ่งของหรือทรัพย์สินที่มีติดตัวผู้ป่วยหรือศพมา
หลักปฏิบัติ ในการเก็บรักษาสิ่งของหรือทรัพย์สิน ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นวัตถุพยาบาล คือ
1) รวบรวมวัตถุพยานหรือสิ่งที่สงสัยว่าเป็นวัตถุพยาน คือ
2) แยกหีบห่อ การบรรจุซอง เขียนรายละเอียด
3) ป้องกันการปลอมแปลงเจือปน หรือเสื่อมสภาพ
4) ส่งมอบวัตถุพยานด้วยความระมัดระวัง รัดกุม มีบันทึกการส่งมอบและผู้รับผิดชอบ
การบันทึกอาการและอาการแสดง
การบันทึกอาการและอาการสามารถถือเป็นพยาบาลเอกสารได้เช่นกัน
พยาบาลควรมีหลักในการบันทึกอาการ และอาการแสดง ดังนี้
2) ต้องมีการสังเกตและบันทึกอาการ อาการแสดงเป็นระยะๆ
3) ในการบันทึกต้องระมัดระวังการใช้ภาษา อย่าใช้อารมณ์ในการเขียน
4) ควรเขียนให้สื่อความหมายในแง่การรักษาและกรณีที่เป็นพยานเอกสาร
1) บันทึกอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง กระชับ ชัดเจน ใช้การขีดฆ่าและเขียนชื่อกำกับแทนการลบ
5.บันทึกอาการ และอาการแสดงของผู้ป่วยเป็นเอกสารลับผู้ป่วยสามารถขอดูได้ จึงไม่ควรเปิดเผยเอกสารนี้กับผู้อื่น ยกเว้นแพทย์กรณีที่ต้องที่ต้องมีการเปิดเผยตามข้อกำหนดของศาล
2. การวินิจฉัย และขั้นตอนในการตรวจวินิจฉัยทางนิติจิตเวช
การวินิจฉัยทางนิติจิตเวช
2) การตรวจทางจิตเวชต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ โดยได้ข้อมูลจากทีมนิติจิตเวช
3) การรวบรวมข้อมูลแบ่งเป็น 2 ส่วน
3.1) ส่วนที่เกี่ยวกับคดี
3.2) ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยทางจิต
1) พิจารณาวัตถุประสงค์ว่าส่วนตัวผู้ป่วยมาเพื่อต้องการทราบอะไร
ขั้นตอนในการตรวจวินิจฉัยทางนิติจิตเวช
1) พิจารณาวัตถุประสงค์ คือ ต้องกระจ่างในความมุ่งหมาย ให้พิจารณาจากใบส่งตัวเพื่อที่จะทราบว่าใคร นำส่ง(ตำรวจ ศาล เรือนจำ คุมประพฤติ) ส่งมาจากแหล่งใด ผู้ป่วยต้องคดีอะไร
3) การรวบรวมข้อมูล แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการก่อคดี โดยซักถามหรือขอข้อมูลจากผู้ใกล้ชิด พฤติกรรมขณะประกอบคดีจากพยานบุคคล พยานเอกสารอื่น ๆ จากทางราชการ เช่น สำเนาคำฟ้องจากอัยการเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความเจ็บป่วยทางจิตเวช ตลอดจนการตรวจรักษาจากญาติ
4) วิเคราะห์ วินิจฉัย โดยการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ซึ่งการพิจารณาข้อสรุปเพื่อการวินิจฉัยดำเนินการ โดยทีมงานจิตเวชในการประชุมร่วมกันของทุกฝ่ายในที่ประชุมนิติจิตเวช เพื่อความรอบด้านและยุติธรรม
5) สรุปผลการวินิจฉัย แบ่งออกเป็น
การวินิจฉัยทางกฎหมาย (legal diagnosis) ส่งที่ต้องพิจารณา คือ
ขณะตรวจ วิกลจริต และสามารถต่อสู้คดีได้หรือไม่
ขณะประกอบคดี สามารถรู้ผิดชอบ หรือบังคับตนเองได้หรือไม่
ความเห็นหรือข้อเสนอแนะ เช่น ภาวะอันตราย
การวินิจฉัยทางคลินิก (clinical diagnosis) เพื่อการรักษาการพยากรณ์โรค
6) การเตรียมตัวให้ปากคำต่อศาล
2) การตรวจทางจิตเวช ต้องรีบทำอย่างละเอียด โดยการตรวจสภาพจิต ตรวจร่างกาย ตรวจทางระบบประสาท ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ทดสอบทางจิตวิทยา การเฝ้าดูพฤติกรรม
นางสาว กนกวรรณ เนียมพลู เลขที่ 5 612001005 รุ่น 36/1