Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์, นางสาวภัทชราภรณ์…
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์สำหรับพยาบาลและการกระทำความผิดที่พบบ่อย
ความหมายและลักษณะของกฎหมายแพ่ง
กฎหมายพาณิชย์: เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายหรือกิจการใดๆ ที่ได้กระทำในเรื่องหุ้นส่วน บริษัท ประกันภัย ตั๋วเงิน เป็นต้น
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง: เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับวิธีการด าเนินพิจารณาพิพากษาคดีในกรณีที่ เกิดข้อพิพาทในทางแพ่งขึ้น เช่น วิธีฟ้อง ศาลที่ฟ้อง วิธีพิจารณาของศาลตลอดจนการบังคับให้ฝ่ายที่ผิดปฏิบัติ ตามคำพิพากษา เป็นต้น
กฎหมายแพ่ง : เป็นส่วนหนึ่งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ปพพ.) ที่กำหนดสิทธิหน้าที่ และ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยทุกฝ่ายมีฐานะเท่าเทียมกัน และสามารถต่อรองเพื่อตกลงกระทำการใดๆ ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย
นิติกรรม
ปพพ. มาตรา 149 “นิติกรรม หมายความว่า การใดๆ อันท าลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ”
นิติกรรม หมายถึง การกระท าของบุคคลด้วยใจสมัครและถูกต้องตามกฎหมาย มุ่งให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงโอน สงวนหรือระงับสิทธิระหว่างบุคคล
องค์ประกอบของนิติกรรม
การกระทำโดยเจตนา เป็นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยใจสมัคร เพื่อให้บุคคลภายนอก รับรู้ถึงความต้องการหรือเจตนาของตนที่จะทำนิติกรรมตามกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นการแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง รือการแสดงเจตนาโดยปริยาย
การแสดงเจตนาโดยปริยาย เป็นการแสดงเจตนาไม่ชัดแจ้งแต่การกระทำอื่นๆ ที่ทำให้ต่าง ฝ่ายต่างเข้าใจว่า มีความประสงค์ใดในกิริยาเช่นนั้น
การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง อาจท าโดยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษร หรือแสดงกิริยาที่ทำให้ เข้าใจอย่างหนึ่งอย่างใด
การกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
การกระทำที่กฎหมายให้อำนาจบุคคลกระทำได้ โดยชัดแจ้ง หรือกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ว่าห้ามกระทำ หากนิติกรรมที่กระทำนั้นขัดต่อกฎหมาย
ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวสิทธิ หมายถึง ผลของการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งแก่คู่กรณีตามนิติกรรมนั้นๆ
ผู้กระทำต้องแสดงออกในฐานะที่เป็นเอกชน หมายถึง ผู้กระทำนิติกรรมต้องแสดงออกใน ฐานะเอกชน มิใช่เจ้าพนักงานของรัฐ
ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวสิทธิ หมายถึง ผลของการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งแก่คู่กรณีตามนิติกรรมนั้นๆ
ประเภทของนิติกรรม
นิติกรรมที่พิจารณาแบ่งตามจำนวนคู่กรณี
นิติกรรมฝ่ายเดียว ได้แก่ นิติกรรมที่เกิดผลโดยการแสดงเจตนาของบุคคลเพียงฝ่าย เดียว และมีผลผูกพันทางกฎหมาย เช่น พินัยกรรม คำมั่นจะให้รางวัล การบอกล้างโมฆียกรรม เป็นต้น
นิติกรรมหลายฝ่าย ได้แก่ นิติกรรมที่เกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่สอง ฝ่ายขึ้นไป และทุกฝ่ายตกลงยินยอมตามข้อตกลง
นิติกรรมที่พิจารณาแบ่งตามการมีผลของนิติกรรม
นิติกรรมที่มีผลขณะผู้แสดงเจตนายังมีชีวิต เช่น การให้โดยเสน่หา สัญญาการซื้อ ขาย สัญญาการใช้ทุนการศึกษา สัญญาค้าประกัน เป็นต้น
นิติกรรมที่มีผลขณะผู้แสดงเจตนาไม่มีชีวิต เช่น พินัยกรรม เป็นต้น
นิติกรรมที่พิจารณาแบ่งตามค่าตอบแทน
นิติกรรมที่มีค่าตอบแทน อาทิ สัญญาจ้างงาน สัญญาซื้อขาย สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาเช่าทรัพย์ เป็นต้น
นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน อาทิ การให้โดยเสน่หา สัญญายืมเงินโดยไม่มีดอกเบี้ย เป็นต้น
วิวัฒนาการของกฎหมายวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
เดิมอยู่ในความควบคุมของแพทย์ ภายใต้ “พระราชบัญญัติ การแพทย์ พ.ศ. 2466” โดยในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการออกกฎหมายขึ้นควบคุมการให้บริการด้านการดูแล สุขภาพแก่ประชาชน
กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดความหมายของโรคศิลปะไว้ว่า “การบำบัดโรคทางยาและ ทางผ่าตัด รวมทั้งการผดุงครรภ์ การช่างฟัน การสัตวแพทย์ การปรุงยา การพยาบาล การนวดหรือการรักษา คนเจ็บป่วยไข้โดยประการใดๆ”
การประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ในประเทศไทยได้มีพัฒนาการมากกว่า100 ปี และมี กฎหมายที่มีความสัมพันธ์กันหลายฉบับ
ความสามารถของบุคคลในการให้การยินยอมรักษาพยาบาล
ความสามารถของบุคคล (Capacity) หมายถึง สภาพที่กฎหมายกำหนดขอบเขตให้บุคคลมีสิทธิหรือ ใช้สิทธิ ความสามารถของบุคคลเป็นสิ่งสำคัญต่อการพิจารณาความรับผิดทางกฎหมาย
บุคคล หมายถึง สิ่งซึ่งสามารถมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งนี้กฎหมายไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์เท่านั้น ที่เป็นบุคคล แต่รวมไปถึงสิ่งต่างๆ ที่กฎหมายบัญญัติรับรองการเป็นบุคคล
บุคคลธรรมดา หมายถึง มนุษย์ที่มีชีวิตรอดภายหลังการคลอดจากครรภ์มารดา ในทางกฎหมายกำหนดให้สภาพบุคคลเริ่มตั้งแต่เมื่อคลอดและอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย
การตายโดยธรรมชาติ หมายถึง การป่วยตาย แก่ตาย หรือถูกฆ่าตายของบุคคล ทำให้สภาพ บุคคลสิ้นสุด ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา
การสาบสูญ หมายถึง การที่บุคคลได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่า บุคคลนั้น ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นเวลาติดต่อกัน 5 ปี ในเหตุการณ์ปกติ หรือเป็นเวลา 2 ปี ในกรณีที่มีเหตุอันตรายจาก การรบ การสงคราม หรือยานพาหนะอับปาง
นิติบุคคล หมายถึง สิ่งซึ่งกฎหมายสมมติให้เป็นบุคคล เพื่อให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย (ปพพ. มาตรา 65 – 66) และภายในวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียน
ผู้เยาว์ (Minor)
หมายถึง บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในทางกฎหมาย บุคคลจะพ้นจากการ เป็นผู้เยาว์หรือบรรลุนิติภาวะใน 2 กรณี คือ อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ (ปพพ.มาตรา 19) หรือการสมรส (ปพพ. มาตรา 20) มื่อหญิงและชายอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ และได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม (ปพพ. มาตรา 1448) ผู้เยาว์ไม่สามารถทำนิติกรรมใดๆ โดยลำพัง
นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องกระทำเองเฉพาะตัว (ปพพ. มาตรา 23) เช่น การจดทะเบียน รับรองบุตรนอกสมรส (ปพพ. มาตรา 1547) การทำพินัยกรรมเมื่อมีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
นิติกรรมที่สมควรแก่ฐานะและจำเป็นแก่การดำรงชีพ (ปพพ. มาตรา 24) หมายถึง นิติกรรมเพื่อการดำรงชีพที่จำเป็น ที่ผู้เยาว์กระทำสมกับฐานะความเป็นอยู่ของตน
นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ประโยชน์ สิทธิ หรือหลุดพ้นจากหน้าที่ (ปพพ. มาตรา 22) หมายถึง นิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว โดยไม่มีเงื่อนไขผูกพันใดๆ
นิติกรรมการจำหน่ายทรัพย์สิน ประกอบธุรกิจการค้า หรือสัญญาจ้างแรงงานที่ผู้แทน โดยชอบธรรมอนุญาตหรือยินยอม ผู้เยาว์สามารถกระทำต่อเนื่องได้
คนไร้ความสามารถ (Incompetence)
คนวิกลจริต (Unsound mind) หรือ อยู่ ในภาวะผัก (Vegetative state) ที่คู่สมรส ผู้สืบสันดาน (ลูก หลาน เหลน ลื้อ) บุพการี (บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด) ผู้อนุบาล หรือพนักงานอัยการยื่นเรื่องต่อศาล และศาลมีค าสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ (ปพพ. มาตรา 28)
คนเสมือนไร้ความสามารถ (Quasi – incompetence) หมายถึง บุคคลที่ไม่สามารถ จัดทำการงานโดยตนเอง หรือจัดกิจการไปในทางเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว และศาลสั่ง ให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ (ปพพ. มาตรา 32)
จิตฟั่นเฟือน หมายถึง คนที่จิตไม่ปกติ ไม่สมประกอบ เป็นโรคจิต อาจเนื่องจากการ เจ็บป่วยหรือความชรา แต่ยังไม่ถึงขั้นวิกลจริต เนื่องจากมีสติรู้ผิดชอบในเรื่องทั่วไป เช่น ผู้สูงอายุ สมองเสื่อม ผู้ป่วยจิตเภท เป็นต้น
ประพฤติสุรุ่ยสุร่าย เสเพลเป็นอาจิณ หมายถึง บุคคลที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสม่าเสมอ โดยไม่ มีเหตุผลอันควร และมีรายจ่ายเกินรายได้
กายพิการ หมายถึง ร่างกายพิการไม่สมประกอบแต่กำเนิด หรือเป็นภายหลังเพราะ เจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ เช่น เด็กพิการทางสมอง ผู้ป่วยอัมพาต เป็นต้น
ติดสุรายาเมา หมายถึง ผู้ที่เสพสุราของมึนเมาต่างๆ หรือเสพยาเสพติด เช่น ฝิ่น กัญชา เฮโรอีน เป็นต้น จนเป็นนิสัยและเลิกไม่ได้ มีอาการมึนเมาเสมอ จนไม่เหลือสภาพปกติ
ลูกหนี้ที่ถูกศาลสั่งเป็นบุคคลล้มละลาย
ลูกหนี้ที่ถูกศาลสั่งเป็นบุคคลล้มละลายตาม พรบ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 เมื่อศาลมีคำสั่ง พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้มีอำนาจในการจัดการ จำหน่ายทรัพย์ของลูกหนี้ และกระทำการอื่นๆ
สามีภริยา
เป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน จึงต้องให้ความยินยอมซึ่งกันและกันเป็นการทำนิติกรรม บางประเภท เช่น การซื้อขาย แลก เปลี่ยน การเช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี
สภาพบังคับทางแพ่ง
โมฆะกรรม หมายถึง ความเสียเปล่าของนิติกรรม ที่กระทำตั้งแต่ต้น จึงไม่ก่อให้เกิดการ เคลื่อนไหวสิทธิและหน้าที่ของคู่กรณีที่กระทำนิติกรรม หรืออาจกล่าวได้ว่านิติกรรมเป็นโมะะ ทำให้ไม่มีผล
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นการพ้นวิสัยที่ไม่สามารถเป็นไปได้ (ปพพ. มาตรา 150)
นิติกรรมที่ไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนด (ปพพ. มาตรา 152) กล่าวคือ นิติกรรมบางประเภทกฎหมายกำหนดให้ทำตามแบบเท่านั้น ถ้าไม่ท าตามถือว่านิติกรรมนั้นเป็นโมะ
การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ได้แก่ ตัวบุคคลซึ่งเป็น คู่กรณีแห่งนิติกรรม หรือทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม (ปพพ. มาตรา 157) ความยินยอมดังกล่าวย่อมไม่มี ผลตามกฎหมาย
โมฆียกรรม หมายถึง การทำนิติกรรมที่มีผลสมบูรณ์ในขณะกระทำ แต่สามารถบอกล้างหรือ ปฏิเสธนิติกรรมโดยผู้เสียหายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด มีผลให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมะะตั้งแต่เริ่มแรก เสมือนไม่ได้ทำนิติกรรมใด (ปพพ. มาตรา 176)
ความสามารถของบุคคล นิติกรรมใดที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายเป็นโมะียะ (ปพพ. มาตรา 153) เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ท าต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม (ปพพ. มาตรา 21) คนเสมือนไร้ความสามารถ
การแสดงเจตนาโดยวิปริต
การแสดงเจตนาโดยการฉ้อฉล (ปพพ. มาตรา 159) เป็นการกระทำนิติกรรมโดย ผู้แสดงเจตนาถูกหลอกลวง ปกปิดความจริง หรือใช้อุบายโดยกล่าวความเท็จจากคู่กรณี
การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน
การแสดงเจตนาโดยการข่มขู่ (ปพพ. มาตรา 164) เป็นการแสดงเจตนาในการทำนิติ กรรม เนื่องจากการข่มขู่ที่อันตรายใกล้จะถึงตัว และร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูกข่มขู่กลัวอันตรายนั้น
การบังคับชำระหนี้
เป็นการชำระเงิน ส่งมอบทรัพย์สิน กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อใช้ หนี้ หรืองดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อใช้หนี้
การชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทน
หมายถึง การที่กฎหมายรับรองและคุ้มครอง สิทธิผู้เสียหายให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมมากที่สุด โดยการคืนทรัพย์สิน การใช้ราคาทรัพย์สิน หรือค่าเสียหาย เพื่อ ความเสียหายที่ก่อขึ้น
ความเสียหายที่คำนวณราคาเป็นเงินได้ คือ ความเสียหายที่แน่นอนและไม่ไกลเกินเหตุ รวมถึงการคืนทรัพย์สิน หรือใช้ราคาค่าเสียหายของความเสียหายที่เกิดขึ้น
ความเสียหายที่ไม่อาจคำนวณราคาเป็นตัวเงินได้
กรณีผู้เสียหายเสียชีวิต ผู้กระทำผิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น
ค่าขาดไร้อุปการะ (ปพพ. มาตรา 443 วรรค 3) ต้องเป็นกรณีที่ผู้ตายมีหน้าที่ต้องเลี้ยง ดูบุคคลใดบุคคลหนึ่งตามกฎหมาย
ค่าขาดแรงงาน ในกรณีผู้ตายมีความผูกพันทางกฎหมายที่ต้องทำงานแก่บุคคลใน ครอบครัวหรือบุคคลภายนอก (ปพพ. มาตรา 445)
ถ้ายังไม่ตายทันที สามารถเรียกค่ารักษาพยาบาลที่จำเป็น
กรณีเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย ผู้กระทำผิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างเจ็บป่วย
ค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอันจำเป็น และสมควรแก่ฐานะ
ค่าเสียความสามารถในการประกอบอาชีพ ทั้งในเวลาปัจจุบันและอนาคต
ค่าขาดแรงงานในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอก
ค่าเสียหายอื่นที่ไม่สามารถค านวณเป็นตัวเงิน หรือค่าทำขวัญ เพื่อทดแทนความ เสียหายทางร่างกายและจิตใจที่ผู้เสียหายได้รับ
ความรับผิดทางแพ่งที่เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
ความรับผิดตาม สัญญา
สัญญา หมายถึง การกระทำของบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ที่แสดงเจตนาด้วยใจสมัครถูกต้องตรงกันที่ จะกระทำหรืองดเว้นการกระทำและตกลงกันทุกข้อโดยไม่มีข้อสงสัย โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะก่อให้เกิดผล ผูกพันโดยชอบตามกฎหมาย (ปพพ. มาตรา 366)
ความรับผิดจากการละเมิด
ความรับผิดจากการละเมิด หมายถึง การกระทำหรืองดเว้นการกระทำ โดยจงใจหรือประมาท ต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียหายแก่ชีวิต
การกระทำโดยจงใจหรือประมาท
การกระทำโดยจงใจ หมายถึง การกระทำที่ตั้งใจหรือเจตนาโดยผิดกฎหมาย ไม่มีสิทธิหรือใช้ สิทธิเกินขอบเขต ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น โดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคลอื่น การกระทำ จงใจทางแพ่งมีความหมายแตกต่างจากการกระทำโดยเจตนาทางอาญา
การกระท ำโดยประมาทเลินเล่อ หมายถึง การกระทำโดยมิได้จงใจ แต่กระทำโดยปราศจาก ความระมัดระวังในระดับวิญญูชน ซึ่งอาจเทียบได้กับความระมัดระวังของบุคคลในอาชีพเดียวกัน ซึ่งบุคคลใน ภาวะเช่นนั้นจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์
การกระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย หมายถึง การประทุษกรรม หรือกระทำต่อผู้อื่นโดย ผิดกฎหมายด้วยการฝ่าฝืนข้อห้าม หรือละเว้นการกระ ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายบัญญัติให้กระทำ งดเว้นในสิ่งที่ตน มีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องกระทำ
ทำให้บุคคลอื่นเสียหาย
การกระทำที่ทำให้บุคคลอื่นขาดประโยชน์ที่เคยได้รับ หรือ ได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินและสิทธิต่างๆ
ความเสียหายแก่อนามัย หมายถึง ความสุขสบายและความรู้สึกต่างๆ
ความเสียหายแก่เสรีภาพ หมายถึง การทำให้ผู้อื่นถูกจำกัดอิสรภาพ
ความเสียหายแก่ร่างกาย หมายถึง ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือเจ็บป่วยเรื้อรัง
ความเสียหายแก่ทรัพย์สินและสิทธิต่างๆ หมายถึง การให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือ การทำให้ผู้อื่นเสียสิทธิต่างๆ ที่ได้มาถูกต้อง
ความเสียหายแก่ชีวิต หมายถึง ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
บุคคลต้องร่วมรับผิดกับผู้กระทำ
นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งการละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปตามที่ว่าจ้าง
ตัวการต้องรับผิดชอบผลแห่งการละเมิดของตัวแทนที่ได้กระทำไปภายในของเขตอำนาจของ ตัวแทน ซึ่งกระทำตามที่ตัวการมอบหมาย
บิดามารดาของผู้เยาว์หรือผู้อนุบาลของผู้วิกลจริต ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่ ผู้เยาว์หรือผู้วิกลจริตกระทำเว้นแต่พิสูจน์ได้ว่า ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในหน้าที่การดูแล (ปพพ. มาตรา 429)
ครูบาอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่น ซึ่งรับดูแลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ หรือชั่วครั้งคราว จะต้องร่วมรับผิดกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด
อายุความ
อายุความ คือ ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้บุคคลมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายภายในระยะเวลาที่ กฎหมายกำหนด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง
มาตรา ๑๕ สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่างๆ ได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก
มาตรา ๑๙ บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์
มาตรา ๒๐ ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิติภาวะเมื่อทำการสมรส หากการสมรสนั้นได้ทำตามบทบัญญัติ มาตรา ๑๔๔๘
มาตรา ๒๑ ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใดๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมะียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา ๒๒ ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง
มาตรา ๒๓ ผู้เยาว์อาจทำการใดๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว
มาตรา ๒๔ ผู้เยาว์อาจทำการใดๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการอัน จำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร
มาตรา ๒๕ ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่ออายุสิบห้าปีบริบูรณ์
มาตรา ๒๖ ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญาตให้ผู้เยาว์จำหน่ายทรัพย์สินเพื่อการอันใดอันหนึ่งอัน ได้ระบุไว้ ผู้เยาว์จะจำหน่ายทรัพย์สินนั้นเป็นประการใดภายในขอบของการที่ระบุไว้นั้นก็ทำได้ตามใจสมัคร อนึ่ง ถ้าได้รับอนุญาตให้จำหน่ายทรัพย์สินโดยมิได้ระบุว่าเพื่อการอันใด ผู้เยาว์ก็จำหน่ายได้ตามใจสมัคร
มาตรา ๒๗ ผู้แทนโดยชอบธรรมอาจให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการประกอบธุรกิจทางการค้า หรือธุรกิจอื่น หรือในการทำสัญญาเป็นลูกจ้างในสัญญาจ้างแรงงานได้ ในกรณีที่ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ให้ความ ยินยอมโดยไม่มีเหตุอันสมควร ผู้เยาว์อาจร้องขอต่อศาลให้สั่งอนุญาตได้
มาตรา ๒๘ บุคคลวิกลจริตผู้ใด ถ้าคู่สมรสก็ดี ผู้บุพการีกล่าวคือ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด ก็ดี ผู้สืบสันดานกล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อก็ดี ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ก็ดี ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ก็ดี หรือพนักงานอัยการก็ดี ร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถ ศาลจะสั่งให้บุคคล วิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้
มาตรา ๒๙ การใดๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ
มาตรา ๓๑ ถ้าเหตุที่ทำให้เป็นคนไร้ความสามารถได้สิ้นสุดไปแล้ว และเมื่อบุคคลผู้นั้นเองหรือ บุคคลใดๆ ดังกล่าวมาในมาตรา ๒๘ ร้องขอต่อศาลก็ให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้น
มาตรา ๓๒ บุคคลใดมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือประพฤติสุรุ่ยสุร่าย เสเพลเป็นอาจิณ หรือติดสุรายาเมา จนไม่สามารถจะจัดทำการงานโดย ตนเองได้ หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว เมื่อบุคคลตามที่ระบุ ไว้ในมาตรา ๒๘ ร้องขอต่อศาล ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้
มาตรา ๓๔ คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้
รับคืนทรัพย์สินที่ไปลงทุน ต้นเงินหรือทุนอย่างอื่น
กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า
นำทรัพย์สินไปลงทุน
รับประกันโดยประการใด ๆ อันมีผลให้ตนต้องถูกบังคับชำระหนี้
เช่าหรือให้เช่าสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่าหกเดือน หรืออสังหาริมทรัพย์มี กำหนดระยะเวลาเกินกว่าสามปี
ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูป เพื่อการกุศล การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา
รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพัน หรือไม่รับการให้โดยเสน่หา
ทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะได้มาหรือปล่อยไปซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือใน สังหาริมทรัพย์อันมีค่า
ก่อสร้างหรือดัดแปลงโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือซ่อมแซมอย่างใหญ่
เสนอคดีต่อศาลหรือดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ เว้นแต่การร้องขอตามมาตรา ๓๕ หรือ การร้องขอถอนผู้พิทักษ์
ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
มาตรา ๓๖ ถ้าเหตุที่ศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้สิ้นสุดไปแล้ว ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๓๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๖๑ ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ตลอระยะเวลาห้าปี
นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (๑) หรือ (๒) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้น ตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น
นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป
นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุด ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปใน การรบหรือสงครามดังกล่าว
มาตรา ๖๒ บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนด ระยะเวลาดังที่ระบุไว้ในมาตรา ๖๑
มาตรา ๖๒ บุคคลซึ่งศาลได้มีค าสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนด ระยะเวลาดังที่ระบุไว้ในมาตรา ๖๑
มาตรา ๖๓ เมื่อบุคคลผู้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญนั้นเองหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงาน อัยการร้องขอต่อศาล และพิสูจน์ได้ว่าบุคคลผู้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ก็ดี
มาตรา ๖๔ คำสั่งศาลให้เป็นคนสาบสูญหรือคำสั่งถอนคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ให้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๖๕ นิติบุคคลจะมีขึ้นได้ก็แต่ด้วยอาศัยอำนาจแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น
มาตรา ๖๖ นิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ภายในขอบแห่งอำนาจหน้าที่หรือวัตถุประสงค์ดังได้บัญญัติหรือกำหนดไว้ในกฎหมาย ข้อบังคับ หรือตราสาร จัดตั้ง
มาตรา ๘๓ สมาคมที่ได้จดทะเบียนแล้วเป็นนิติบุคคล
มาตรา ๑๒๒ มูลนิธิที่ได้จดทะเบียนแล้วเป็นนิติบุคคล
มาตรา ๑๔๙ นิติกรรม หมายความว่า การใดๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ
มาตรา ๑๕๐ การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือ เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นถือเป็นโมะะ
มาตรา ๑๗๒ โมะะกรรมนั้นไม่อาจให้สัตยาบันแก่กันได้ และผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดจะยก ความเสียเปล่าแห่งโมะะกรรมขึ้นกล่าวอ้างก็ได้
มาตรา ๑๕๙ การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น
มาตรา ๑๕๗ การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมะียะ ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็น สาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าวการอันเป็นโมะียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น
มาตรา ๑๕๓ การใดมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยความสามารถของบุคคล การ นั้นเป็นโมฆียะ
มาตรา ๑๕๒ การใดมิได้ท าให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมะ
มาตรา ๑๖๔ การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมะียะ การข่มขู่ที่จะทำให้การใดตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้องเป็นการข่มขู่ที่จะให้เกิดภัยอันใกล้จะถึง และ ร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูกข่มขู่มีมูลต้องกลัว
มาตรา ๑๗๓ ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมะะ นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมะะทั้งสิ้น เว้นแต่จะพึงสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า คู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมะะนั้นแยกออกจาก ส่วนที่เป็นโมฆียะได้
มาตรา ๑๕๑ การใดเป็นการแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมาย ถ้ามิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นไม่เป็นโมะะ
มาตรา ๑๗๔ การใดเป็นโมะะแต่เข้าลักษณะเป็นนิติกรรมอย่างอื่นซึ่งไม่เป็นโมะะ ให้ถือตามนิติ กรรมซึ่งไม่เป็นโมฆียะ
มาตรา ๑๗๕ โมฆียะกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้
บุคคลวิกลจริตผู้กระทำนิติกรรมอันเป็นโมะียะตามมาตรา ๓๐ ในขณะที่จริตของบุคคลนั้นไม่วิกลแล้ว
บุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะสำคัญผิด หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่
บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้เยาว์ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง (ต่อ)
มาตรา ๑๗๖ โมฆียะกรรมเมื่อบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าเป็นโมะะมาแต่เริ่มแรก และให้ผู้เป็นคู่กรณี กลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็นการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้
มาตรา ๑๗๗ ถ้าบุคคลผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมตามมาตรา ๑๗๕ ผู้หนึ่งผู้ใด ได้ให้สัตยาบัน แก่โมะียะกรรม ให้ถือว่าการนั้นเป็นอันสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก
มาตรา ๑๗๘ การบอกล้างหรือให้สัตยาบันแก่โมะียะกรรม ย่อมกระทำได้โดยการแสดงเจตนา แก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลที่มีตัวกำหนดได้แน่นอน
มาตรา ๑๘๑ โมฆียะกรรมนั้นจะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หรือเมื่อพ้นเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้น
มาตรา ๓๖๖ ข้อความใดๆ แห่งสัญญาอันคู่สัญญาแม้เพียงฝ่ายเดียวได้แสดงไว้ว่าเป็นสาระสำคัญอันจะต้องตกลงกันหมดทุกข้อนั้น
มาตรา ๔๒๐ ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึง แก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี
มาตรา ๔๒๕ นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปใน ทางการที่จ้างนั้น
มาตรา ๔๔๖ ในกรณีทeให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได
มาตรา ๔๒๖ นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำนั้น ชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น
มาตรา ๔๓๘ ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่ พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
มาตรา ๔๔๓ ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอัน จำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย
มาตรา ๔๔๔ ในกรณีทำให้เสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั้น ผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้ชดใช้ ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป
มาตรา ๔๒๗ บทบัญญัติในมาตราทั้งสองก่อนนั้น ท่านให้ใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๔๔๕ ในกรณีทำให้เขาถึงตาย หรือให้เสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้ เขาเสียเสรีภาพก็ดี ถ้าผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอก ในครัวเรือน
มาตรา ๔๒๙ บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดใน ผลที่ตนทำละเมิด
มาตรา ๔๓๐ ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็น นิตย์ก็ดี ชั่วครั้งคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด
มาตรา ๑๔๗๖ ๑๑๙ สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้
ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
ก่อตั้งหรือกระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือ พื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
ให้กู้ยืมเงิน
ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัวเพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา
ประนีประนอมยอมความ
มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
นำทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล
มาตรา ๑๖๐๑ ทายาทไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน
มาตรา ๑๖๐๐ ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย
มาตรา ๑๕๙๙ เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท ทายาทอาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้แต่โดยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น
มาตรา ๑๕๔๗ เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดา มารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร
มาตรา ๑๔๘๐ การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งตามมาตรา ๑๔๗๖ ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว
มาตรา ๑๐๑๕ ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทเมื่อได้จดทะเบียนตามบัญญัติแห่งลักษณะนี้แล้ว ท่านจัด ว่าเป็นนิติบุคคลต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นทั้งหลายซึ่งรวมเข้ากันเป็นหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น
มาตรา ๑๔๔๘ การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มี เหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้
มาตรา ๑๔๔๙ การสมรสจะกระท ามิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นบุคคลซึ่ง ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
มาตรา ๔๔๘ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปี หนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่ วันทำละเมิด
มาตรา ๔๕๖ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่เป็นโมะะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป
มาตรา ๑๗๐๓ พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้น เป็นโมฆะ
มาตรา ๑๖๐๒ เมื่อบุคคลใดต้องถือว่าถึงแก่ความตายตามความในมาตรา ๖๒ แห่งประมวล กฎหมายนี้ มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท
มาตรา ๑๗๐๔ พินัยกรรมซึ่งบุคคลผู้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำขึ้นนั้น เป็นโมฆะ
กฎหมายอาญาสำหรับพยาบาลและการกระทำความผิดที่พบบ่อย
ความหมายและวัตถุประสงค์ของกฎหมายอาญา
กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายมหาชน ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำใดเป็นความผิด และกำหนดโทษอาญาแก่ ผู้ฝ่าฝืน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความประพฤติของบุคคลให้อยู่ในสังคมด้วยความสงบเรียบร้อย
ประเภทของความรับผิดทางอาญา
ความผิดต่อส่วนตัว เป็นความผิดที่ไม่ร้ายแรง มีผลกระทบต่อผู้เสียหายฝ่ายเดียว และ กฎหมายบัญญัติประเภทไว้ชัดเจน
ความผิดต่อแผ่นดิน เป็นความผิดที่สำคัญและร้ายแรง มีผลกระทบต่อผู้เสียหายและสังคมส่วนรวม
ลักษณะสำคัญของความรับผิดทางอาญา
ต้องมีบทบัญญัติความผิด และกำหนดโทษไว้โดยชัดแจ้ง กล่าวคือ ในขณะที่กระทำผิด ต้อง มีกฎหมายบัญญัติความผิดและโทษเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน
ต้องตีความเคร่งครัดตามตัวอักษร การตีความ หมายถึง การถอดความหมายของข้อความ หรือศัพท์ต่างๆ ในบทบัญญัติออกมา เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น โดยใช้ภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจ
ไม่มีผลย้อนหลังที่เป็นโทษ หมายถึง จะไม่มีผลในการเพิ่มโทษแก่บุคคล หากขณะกระทำยัง ไม่มีกฏหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด
หลักเกณฑ์ความรับผิดทางอาญา
กฏหมายบัญญัติว่าการกระท านั้นเป็นความผิดและกำหนดโทษ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของ ความรับผิดตามกฎหมายอาญา ที่สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหา หรือจำเลยไม่มีความผิดจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
การกระทำหมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกาย หรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย โดยรู้สำนึกและอยู่ ภายใต้การบังคับของจิตใจ
กระทำโดยเจตนา ประมาท หรือไม่เจตนา ความผิดทางอาญานอกจากมีการกระทำที่เป็น องค์ประกอบภายนอกแล้ว
เหตุยกเว้นความรับผิดทางอาญา การกระทำของบุคคลที่เป็นความผิดทางอาญา หาก กฎหมายระบุเหตุเพื่อยกเว้นความรับผิด ยกเว้นโทษ หรือลดหย่อนโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง
เหตุยกเว้นความรับผิด หมายถึง การกระทำที่โดยทั่วไปกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด แต่ถ้ามีเหตุการณ์หรือสภาพแวดล้อมบังคับให้ผู้กระทำต้องกระทำเช่นนั้น
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่ กรณีที่บุคคลจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ตนเองหรือผู้อื่น
ผู้เสียหายยินยอมให้กระทำ ความผิดทางอาญาบางประเภท หากผู้เสียหายยินยอมให้ กระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เกิดจากการข่มขู่ รวมทั้งไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
เหตุยกเว้นโทษ หมายถึง การกระทำที่เป็นความผิดทางอาญาที่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ หากมีเหตุอันควรที่กฎหมายระบุ ดังต่อไปนี้
กระทำด้วยความจำเป็น เป็นการกระทำเพราะเหตุถูกบังคับ หรืออยู่ภายใต้อำนาจ ของใครหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืน
การกระทำผิดเพราะความบกพร่องทางจิต หมายถึง บุคคลกระทำผิดขณะที่ไม่ สามารถรับผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะเป็นโรคจิต จิตบกพร่อง จิตฟั่นเฟือน
การกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน เจ้าพนักงานในที่นี้ หมายถึง บุคคลที่กฎหมาย บัญญัติว่าเป็นเจ้าพนักงาน และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติในตำแหน่งราชการเป็นประจำหรือเป็นครั้งคราว
การกระทำของเด็กอายุไม่เกิน 10 ปี ตามหลักกฎหมายถ้าเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี กระทำความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ
การกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ บางความผิดระหว่างสามี ภรรยาโดยชอบด้วย กฎหมาย จะได้รับการยกเว้นโทษ ได้แก่ ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร ทำให้ เสียทรัพย์และบุกรุก
เหตุลดหย่อนโทษ หมายถึง มีพฤติการณ์หรือเหตุการณ์ที่น่าเห็นใจ หรือมีเหตุเป็นคุณ แก่ผู้กระทำความผิด ให้หย่อนโทษได้
การกระทำความผิดโดยไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด
การกระทำโดยบันดาลโทสะ
เหตุอื่นๆ ในการลดหย่อนหรือบรรเทาโทษ ได้แก่ เป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญา ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีความดีมาก่อน รับสารภาพผิด
อายุความ หมายถึง ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ต้องฟ้องร้องผู้กระทำความผิด หรือนำตัว ผู้กระทำความผิดมาที่ศาล เพื่อพิจารณาพิพากษาลงโทษภายในกำหนด
อายุความฟ้องคดีทั่วไป ระยะเวลาของอายุความแปรตามอัตราโทษตามความผิด
อายุความฟ้องคดีความผิดอันยอมความ
โทษทางอาญา
โทษประหารชีวิต เป็นโทษสูงสุด สำหรับลงโทษผู้กระทำความผิดคดีอุกฉกรรจ์
โทษจำคุก เป็นโทษจำกัดเสรีภาพของนักโทษที่ถูกควบคุมไว้ในเรือนจำ ตามระยะเวลาที่ กำหนดไว้ในคำพิพากษา
ศาลต้องลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
ผู้กระทำความผิดต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือได้รับโทษจำคุกมาก่อนแต่ ต้องเป็นโทษสำหรับความผิดที่กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
ศาลคำนึงถึงองค์ประกอบต่อไปนี้ คือ อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษา สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อม
เป็นความผิดมีโทษจำคุก
โทษกักขัง เป็นโทษที่เปลี่ยนจากโทษอย่างอื่นมาเป็นโทษกักขัง ได้แก่ เปลี่ยนโทษจำคุกไม่ เกิน 3 เดือน (ปอ. มาตรา 23) โทษปรับแล้วไม่ชำระค่าปรับ (ปอ. มาตรา 29)
โทษปรับ การเสียค่าปรับ คือ การชำระเงินต่อศาลตามจำนวนที่ศาลกำหนดไว้ในคำพิพากษา (ปอ. มาตรา 28) ถ้าไม่ชำระภายใน 30 วัน
โทษริบทรัพย์สิน ศาลมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สิน
ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้ใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิด
ทรัพย์สินซึ่งกฎหมายบัญญัติว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้ในครอบครองเป็นความผิด (ปอ. มาตรา 32) เช่น ยาบ้า ยาเสพติด ธนบัตรปลอม ปืนเถื่อน เป็นต้น
ทรัพย์สินซึ่งเกี่ยวข้องกับสินบนของเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจ ให้รางวัลในการกระทำความผิด (ปอ. มาตรา 34)
ลหุโทษ หมายถึง ความผิดที่ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ (ปอ. มาตรา 102)
ลหุโทษ หมายถึง ความผิดที่ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำาทั้งปรับ
การทำงานเพื่อบริการสังคม
ผู้นั้นกระทำความผิดและต้องโทษปรับ แต่ไม่มีเงินชำระค่าปรับ
ในคดีที่ศาลพิพากษาปรับไม่เกิน 200,000 บาท และผู้กระทำผิดมีความประสงค์จะขอ ทำงาน เพื่อบริการสังคมหรือทำงานสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับ
ผู้ที่ถูกลงโทษโดยการทำงานบริการสังคม จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของพนักงานคุม ประพฤติ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐหรือองค์การ
ผู้ที่จะทำงานบริการสังคมต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ คือ
เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมทางศีลธรรม วินัย หรือโครงการอื่นตามที่ศาลเห็นสมควร
ละเว้นการคบหาสมาคมหรือประพฤติใดๆ ที่อาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกัน
ห้ามเสพสิ่งเสพติดทุกชนิด
ให้ผู้ดูแลรายงานเกี่ยวกับการทำงานให้ศาลทราบ
ความรับผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติการพยาบาล
ความประมาทในการประกอบวิชาชีพ (Malpractice / Professional negligence / Professional misconduct)
หมายถึง การกระทำหรือการพยาบาลโดยขาดความระมัดระวัง หรือไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอตามวิสัยของวิชาชีพ จนเกิดความเสียหายอันตรายต่อสุขภาพหรือชีวิตแก่ผู้ใช้บริการ
สาเหตุของความประมาทอาจเกิดจากการปฏิบัติการพยาบาลเกินขอบเขตวิชาชีพ แบ่งเป็น 6 ประเภท
1) ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ (Failure to follow standard of care) ซึ่งรวมถึง การประเมินผู้ป่วยแรกรับไม่ครบถ้วน
2) ใช้เครื่องมือ/อุปกรณ์การแพทย์ไม่ถูกต้อง (Failure to use equipment in a responsible manner) ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยใช้ในการแพทย์มากขึ้น พยาบาลวิชาชีพต้องมีความรู้ เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือนั้นๆ อย่างดี
3) ความบกพร่องด้านการสื่อสาร (Failure to communication) เช่น ไม่รายงานแพทย์ เมื่อผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลงหรือรายงานแพทย์ในเวลาที่ไม่เหมาะสม
4) ความบกพร่องด้านการบันทึก (Failure to document) เช่น ไม่บันทึกความก้าวหน้า หรือการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยไว้ในเวชระเบียน รายละเอียดของบาดแผล ประวัติการแพ้ยา แพ้สารต่างๆ
5) ความบกพร่องด้านการประเมินและเฝ้าระวังอาการ (Failure to assess and monitor) เช่น ประเมินอาการในแต่ละเวรไม่ครบถ้วน ไม่ปรับปรุงแผนการดูแล ไม่สังเกตการเปลี่ยนแปลง ของผู้ป่วย ไม่รายงานแพทย์เมื่อมีความผิดปกติ
6) ความบกพร่องด้านการไม่พิทักษ์สิทธิของผู้ป่วย (Failure to act as patient advocate) เช่น ไม่ทักท้วงเมื่อแพทย์มีคำสั่งให้จำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยอาการยังไม่ ดีพอที่จะกลับบ้าน
ความประมาทในการประกอบวิชาชีพกับการปฏิเสธการรักษา
1) ประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายเล็กน้อยแก่ร่างกายหรือจิตใจ
2) ประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท (ความสามารถในการดมกลิ่น) เช่น พยาบาลหยอดยาะ่าเชื้อให้ทารกแรกเกิด โดยไม่ตรวจสอบความเข้มข้น ท าให้ทารกตาบอด
เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์ เช่น ชายถูกทำร้ายโดยวิธีตอนอวัยวะ เพศหรือหญิงถูกทำร้ายจนมดลูกพิการหรือต้องตัดมดลูกทิ้ง เป็นต้น
เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด ซึ่งอวัยวะอื่นใด ต้องเป็นอวัยวะที่มี ความสำคัญต่อร่างกาย หรือต้องสูญเสียไปถึงขนาดเทียบเท่า
หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว ได้แก่ รูปหน้าเสียไปจนหน้าเกลียดหรือความงามลดลง แม้ว่ารูปหน้าจะยังดีอยู่ เกิดแผลเป็นหรือร่องรอยบนใบหน้าติดตัว
แท้งลูก การแท้งลูกตามมาตรานี้แตกต่างจากความผิดฐานทำให้แท้งลูก ตามมาตรา 301 – 305 เนื่องจากมาตรานี้ผู้กระทำมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกาย เช่น เตะต่อยผู้หญิงโดยไม่ทราบว่าหญิงนั้นตั้งครรภ์ ผู้ที่รับผิดชอบจะถูกฟ้องร้องข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส แต่ความผิดตามมาตรา 301 – 305 เป็นการเจตนาของผู้ที่จะทำให้ตนแท้งลูก โดยกระทำด้วยตนเอง หรือให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้ง
จิตพิการอย่างเต็มตัว ได้แก่ ความบกพร่องทางจิตประสาท ไม่ว่าสภาพผิดปกตินั้นจะ ถีงขั้นวิกลจริตหรือไม่ก็ตาม เช่น ถูกตีศีรษะจนสติฟั่นเฟือน เป็นต้น
ทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยเรื้อรัง ซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต เช่น การฉีดยาที่สะโพกผิด เทคนิค ถูก Sciatic nerve ท าให้ผู้ป่วยขาพิการตลอดชีวิต เป็นต้น
ทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือจนประกอบ กรณียกิจปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน
3) ประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายถึงแก่ความตาย เช่น ให้เลือดผิดหมู่ เพราะไม่ ตรวจสอบถุงเลือดก่อนให้
การทอดทิ้งหรือละเลยผู้ป่วย
ความผิดฐานนี้เกี่ยวกับผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายหรือสัญญาที่ ต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองไม่ได้
เพราะอายุ ความเจ็บป่วย กายพิการ หรือจิตพิการ ทอดทิ้งบุคคลที่ตนเอง รับผิดชอบตามหน้าที่หรือตามสัญญา เป็นเหตุให้อันตรายแก่ชีวิต ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่ เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การเปิดเผยความลับของผู้ป่วย (Confidential disclosure)
รู้ความลับผู้อื่นมาเนื่องจากการประกอบอาชีพหรือจากการศึกษาอบรม
ปิดเผยความลับนั้น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ความผิดฐานเปิดเผยความลับมีข้อยกเว้นตามหลักเกณฑ์
1) เป็นข้อผูกพันหรือหน้าที่ เช่น การออกใบรับรองแพทย์
2) โรคติดต่อร้ายแรงเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด จำเป็นต้องปกป้องคุ้มครองบุคคลอื่นๆ ในสังคม
3) ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่อาจรับผิดชอบหรือตัดสินใจด้วยตนเอง
4) คำสั่งศาล เช่น ปฏิบัติตามหมายศาลหรือการให้การต่อศาลในฐานะพยาน
5) ผู้ป่วยรับรู้และยินยอมให้เปิดเผย เช่น บริษัทประกันชีวิตขอทราบประวัติการเจ็บป่วยและ ผู้ป่วยลงชื่อยินยอมให้เปิดเผยเป็นลายลักษณ์อักษร
6) การรายงานการทุบตีท าร้ายร่างกายในครอบครัว (Domestic violence) เช่น การทำ ทารุณกรรมในเด็ก (Child abuse) การทารุณกรรมผู้สูงอายุ (Elderly abuse)
7) รายงานบาดแผลที่ผู้ป่วยมารักษา เนื่องจากก่อคดีอาชญากรรม เช่น นาย ก. ถูกยิง เนื่องจากเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของผู้อื่น ซึ่งถือเป็นภัยของสังคม ต้องแจ้งแผนกนิติเวชโรงพยาบาลเพื่อ รายงานตำรวจ เป็นต้น
แนวปฏิบัติในการรักษาความลับของผู้ป่วย
ไม่นำเรื่องของผู้ป่วยมาวิพากษ์วิจารณ์ให้บุคคลภายนอกได้ยินหรือพูดในที่สาธารณะ
ไม่วางแฟ้มประวัติหรือเขียนการวินิจฉัยไว้ที่ปลายเตียง/หน้าห้องผู้ป่วย
กรณีศึกษาของนักศึกษาพยาบาล ไม่ควรเขียนนามสกุลจริงของผู้ป่วย
ไม่นำบันทึกรายงานของผู้ป่วยออกจากหอผู้ป่วย
ไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้ป่วยแก่ญาติหรือคนอื่นโดยผู้ป่วยไม่ยินยอม
ระมัดระวังการพูดเกี่ยวกับการวินิจฉัย และการรักษาในห้องผู้ป่วยที่เป็นห้องรวม
หากส่งข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นความลับ เช่น ผลการตรวจเลือดหาเชื้อ HIV ควรใช้ กระดาษปะหน้า ใส่ซองปิดผนึกและประทับตรา “ลับ”
อภิปรายข้อมูลผู้ป่วยเฉพาะกับผู้ร่วมทีมสุขภาพ และเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการ รักษาพยาบาลเท่านั้น
จัดเก็บรายงานผู้ป่วยไว้เป็นสัดส่วน
โรงพยาบาลควรมีนโยบายจำกัดการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วย
จัดทำระเบียบการขอสeเนาเวชระเบียนของผู้ป่วยต่อบุคคลที่สาม
การปฏิเสธความช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายต่อชีวิต
การไม่ช่วยเหลือหรือปฏิเสธการช่วยเหลือผู้อื่นที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ทั้งๆ ที่ตนอาจช่วยได้
ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร: การปลอมเอกสารและการทำหรือรับรองเอกสารเท็จ
ความผิดฐานปลอมเอกสาร การปลอมเอกสารเป็นการกระทำเอกสารโดยผู้กระทำไม่มีสิทธิ หรือไม่มีอำนาจกระทำและทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย
ความผิดฐานทำหรือรับรองเอกสารเท็จ การทำเอกสารเท็จ หมายถึง ผู้กระทำมีสิทธิและมีอำนาจทำเอกสารนั้น แต่ผู้ทำไม่ได้ ระบุข้อมูลที่เป็นจริง องค์ประกอบความผิดฐานท าหรือรับรองเอกสารเท็จ
การทำให้หญิงแท้งลูก (Induced abortion)
การทำให้หญิงแท้งลูกโดยผู้เสียหายยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การทำให้หญิงแท้งลูกโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม การทำแท้งตามมาตรานี้เป็นการกระทำที่หญิงตั้งครรภ์ไม่สมัครใจ จึงมีบทลงโทษหนักขึ้น
การทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ไม่ว่าจะกระทำให้แท้งโดยวิธี ใด
การพยายามทำให้หญิงแท้งลูก หมายถึง การทำแท้งที่ไม่ได้กระท าไปจนครบ กระบวนการ หรือกระทำไปจนครบทุกขั้นตอน แต่ไม่บรรลุผล
การทำให้หญิงแท้งที่ถูกกฎหมาย การทำแท้งจะถูกกฎหมาย หากแพทย์เป็นผู้กระทำภายใต้เงื่อนไข
ประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้อง
มาตรา ๓๓ ในการริบทรัพย์สิน นอกจากศาลจะมีอ านาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะ แล้ว ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วย
มาตรา ๓๔ บรรดาทรัพย์สิน ให้ริบเสียทั้งสิ้น เว้นแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
มาตรา ๓๒ ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นของผู้กระท าความผิด และมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่
มาตรา ๓๗ ถ้าผู้ที่ศาลสั่งให้ส่งทรัพย์สินที่ริบไม่ส่งภายในเวลาที่ศาลกำหนดให้ศาลมีอำนาจสั่ง
มาตรา ๓๐/๓๒๕ ค าสั่งศาลตามมาตรา ๓๐/๑ และมาตรา ๓๐/๒ ให้เป็นที่สุด
มาตรา ๔๖๒๗ ถ้าความปรากฏแก่ศาลตามข้อเสนอของพนักงานอัยการว่าผู้ใดจะก่อเหตุร้ายให้ เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น
มาตรา ๓๐/๒ ๒๔ ถ้าภายหลังศาลมีคำสั่งอนุญาตตามมาตรา ๓๐/๑ แล้ว ความปรากฏแก่ศาล เองหรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่าผู้ต้องโทษปรับมีเงินพอช าระค่าปรับได้ในเวลาที่ ยื่นค าร้องตามมาตรา ๓๐/๑ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือเงื่อนไขที่ศาลกำหนด
มาตรา ๔๗ ถ้าผู้ท าทัณฑ์บนตามความในมาตรา ๔๖ กระท าผิดทัณฑ์บน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ ผู้นั้นช าระเงินไม่เกินจำนวนที่ได้กำหนดไว้ในทัณฑ์บน
มาตรา ๓๐/๑ ในกรณีที่ศาลพิพากษาปรับ ผู้ต้องโทษปรับซึ่งมิใช่นิติบุคคลและไม่มีเงินชำระค่าปรับอาจยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดีเพื่อขอท างานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทน ค่าปรับ
มาตรา ๕๙ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท
มาตรา ๓๐ ๒๒ ในการกักขังแทนค่าปรับ ให้ถืออัตราห้าร้อยบาทต่อหนึ่งวัน และไม่ว่าในกรณี ความผิดกระทงเดียวหรือหลายกระทง ห้ามกักขังเกินกำหนดหนึ่งปี
มาตรา ๖๔ บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้ แต่ถ้า ศาลเห็นว่า ตามสภาพและพฤติการณ์ ผู้กระท ำความผิดอาจจะไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็น ความผิด ศาลอาจอนุญาตให้แสดงพยานหลักฐานต่อศาล และถ้าศาลเชื่อว่า ผู้กระทำไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติไว้ เช่นนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายก ำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
มาตรา ๒๙ ๒๐ ผู้ใดต้องโทษปรับและไม่ช าระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษาผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับ
มาตรา ๖๕ ผู้ใดกระทำความผิด ในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น
มาตรา ๒๘ ผู้ใดต้องโทษปรับ ผู้นั้นจะต้องช าระเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ในคำพิพากษาต่อศาล
มาตรา ๖๗ ผู้ใดกระทำความผิดด้วยความจำป็น
เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อ านาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้
เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้
มาตรา ๒๓ ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจ าคุก และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินสาม เดือน ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน
มาตรา ๖๘ ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่ง เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
มาตรา ๑๙ ๑๖ ผู้ใดต้องโทษประหารชีวิต ให้ดำเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย
มาตรา ๗๓๓๓ เด็กอายุยังไม่เกินสิบปี กระท าการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดเด็กนั้นไม่ต้อง
รับโทษ
มาตรา ๑๘ โทษสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิดมีดังนี้
กักขัง
ปรับ
ริบทรัพย์สิน
จำคุก
ประหารชีวิต
มาตรา ๗๒ ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น
มาตรา ๒ บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระท าความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ใน กฎหมาย
มาตรา ๗๐ ผู้ใดกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน แม้คำสั่งนั้นจะมิชอบด้วยกฎหมาย ถ้า ผู้กระทำมีหน้าที่หรือเชื่อโดยสุจริตว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
มาตรา ๒๗๖๙๔ ผู้ใดข่มขืนกระท าช าเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลัง ประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได
มาตรา ๙๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๙๕ ในกรณีความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด
ตรา ๒๗๗ ๙๕ ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดย เด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี
มาตรา ๑๐๒๔๒ ความผิดลหุโทษ คือ ความผิดซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับ ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๖๔ ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
มาตรา ๒๖๙ ผู้ใดในการประกอบการงานในวิชาแพทย์ กฎหมาย บัญชีหรือวิชาชีพอื่นใด ทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
มาตรา ๒๗๗ ทวิ๙๖ ถ้าการกระท าความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๒๗๗ วรรค หนึ่งหรือวรรคสาม เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระท ำ
ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สาม แสนบาทถึงสี่แสนบาทหรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา ๒๘๔๑๐๕ ผู้ใดพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ ใช้ก าลัง ประทุษร้าย ใช้อ านาจครอบง าผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๒๘๘ ผู้ใดะ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปี
ถึงยี่สิบปี
มาตรา ๒๘๒๑๐๒ ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการ อนาจารซึ่งชายหรือหญิง แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตามต้องวางโทษจ าคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี
มาตรา ๒๙๑ ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้อง ระวางโทษจ าคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
มาตรา ๒๘๓๑๐๓ ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการ อนาจารซึ่งชายหรือหญิง โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่ แสนบาท
มาตรา ๒๙๗ ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตราย สาหัส ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
ประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้อง (ต่อ)
มาตรา ๓๐๓ ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๐๔ ผู้ใดเพียงแต่พยายามกระทำความผิดตามมาตรา ๓๐๑ หรือมาตรา ๓๐๒ วรรค แรก ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
มาตรา ๓๐๒ ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๐๕ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา ๓๐๑ และมาตรา ๓๐๒ นั้น เป็นการ กระทำของนายแพทย์
หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญา
จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น หรือ
มาตรา ๓๐๑ หญิงใดท าให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๐๗ ผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้ เพราะอายุ ความป่วยเจ็บ กายพิการหรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสียโดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิด อันตรายแก่ชีวิต
มาตรา ๓๐๐ ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๗๓ ผู้ใดควบคุมดูแลบุคคลวิกลจริต ปล่อยปละละเลยให้บุคคลวิกลจริตนั้นออกเที่ยว ไปโดยลำพัง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๓๗๔ ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิตซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตราย แก่ตนเองหรือผู้อื่นแต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น
มาตรา ๓๙๐ ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่เกี่ยวข้อง
มาตรา ๓๙ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้
โดยความตายของผู้กระทำผิด
ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย
เมื่อคดีเลิกกันตามมาตรา ๓๗
เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง
เมื่อมีกฎหมายออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดเช่นนั้น
เมื่อคดีขาดอายุความ
เมื่อมีกฎหมายยกเว้นโทษ
มาตรา ๒๔๗ คดีที่จ าเลยต้องประหารชีวิต ห้ามมิให้บังคับตามคำพิพากษา จนกว่าจะได้ปฏิบัติ ตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยอภัยโทษแล้ว
นางสาวภัทชราภรณ์ ป๊กคำ 6001210668 sec B เลขที่ 31