Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะแทรกซ้อนในระยะคลอด (ต่อ) - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะแทรกซ้อนในระยะคลอด (ต่อ)
การพยาบาลมารดาที่มีภาวะช๊อคทางสูติศาสตร์
ความหมาย
ภาวะช๊อค หมายถึง ภาวะที่ระบบไหลเวียนเลือดไม่สามารถนำออกซิเจนและไม่สามารถนำของเสียที่เกิดจากการแปรสภาพในเซลล์ (Cellular metabolism) กลับออกมาได้ตามปกติทำให้เกิดความผิดปกติในการแปรสภาพ และเยื่อหุ้มเซลล์ เป็นผลให้การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลว ถ้าแก้ไขไม่ทันผู้ป่วยจะถึงแก่ความตายในที่สุด
ชนิด
ภาวะช็อคจากปริมาตรเลือดลดน้อยลง (Hypovolemic shock)
ภาวะช็อคจากการเสียน้ำ (Fluid loss shock)
กลุ่มอาการความดันเลือดต่ำในท่านอนหงาย (Supine hypotensive
syndrome)
ภาวะช็อคจากการเสียเลือด (Haemorrhagic shock)
ภาวะช็อคที่เกิดร่วมกับ Disseminated Intravascular Coagulation
ภาวะช็อคจากการติดเชื้อ (Septic shock, Endotoxin shock)
เป็นภาวะช็อคที่อาจเกิดร่วมกับการแท้งติดเชื้อ Chorioamnionitis กรวยไตและไตอักเสบ และการติดเชื้อหลัง คลอด เป็นต้น
ภาวะช็อคจากการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลว (Cardiogenic shock)
การสูญเสียหน้าที่ของเวนตริเคิลซ้ายในการฉีดเลือด
การสูญเสียหน้าที่ของเวนตริเคิลในการรับเลือด (Ventricular filling)
ภาวะช็อคจากระบบประสาท (Neurogenic shock)
จากสารเคมี (Chcmical injury) มักเกิดจากการสูดสำลักเอาสารจากกระเพาะอาหารเข้าปอด
จากยา เช่น การฉีดยาชาเฉพาะที่เข้าไขสันหลัง
ภาวะมดลูกปลิ้น ทำให้เกิด Vasomotor collapse
ภาวะเสียดุลย์เกลือแร่ในร่างกาย มักเกิดจากการขาดโซเดียม
สาเหตุ
การลดลงของปริมาตรในหลอดเลือด (Intravascular volume) พบบ่อยที่สุด
การลดลงของปริมาณเลือดจากหัวใจต่อนาที (Cardiac output)
ความผิดปกติในระบบไหลเวียนฝอย (Micro circulation)
ความผิดปกติของเยื่อหุ้มเซลล์
พยาธิสรีรวิทยา
ปริมาณเลือดที่หัวใจส่งออกต่อนาที จะลดลง ความดันโลหิตจะลดต่ำลง เลือดที่ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลายจะลดน้อยลง ทำให้เนื้อเยื่อส่วนนั้นได้รับ Oxygen ไม่เพียงพอ เมื่อไตอยู่ในภาวะได้รับเลือดและ Oxygen น้อย จะเกิดการกระตุ้นให้ระบบ Renin angiotensin ทำงาน
เมื่อเซลล์ผนังหลอดเลือดขาด Oxygen เป็นเวลานานจะมีการคั่งของเลือดสูงขึ้น ของเหลวในเส้นเลือดจะไหลเล็ดลอดออกจากผนังเส้นเลือด ผลตามมาคือการบวมน้ำ (Edema) ทำให้ปริมาตรเลือดภายในกระแสเลือดลดลงไปอีกอย่างมาก เลือดที่อยู่ในกระแสเลือดจะมีความเข้มข้นสูงขึ้น
ภาวะช็อคจากการเสียเลือดในระยะแรก เป็นภาวะช็อคปฐมภูมิ (Primary shock) สามารถช่วยให้ดีขึ้นได้ เมื่อมีการไหลกลับของเลือดเข้าสู่หัวใจลดลง
มีความเข้มข้นของเลือดสูงขึ้นจึงมีโอกาสเกิดการแข็งตัวเป็น
ก้อน (Coagulate) จึงเกิดภาวะ Dissemminated Intravascular Coagulation (DIC) ผลที่ตามมาคือเกิดการอุดต้นของเส้นเลือดขนาดเล็กๆ ขึ้นทั่วไป ต่อไปก็จะเกิดภาวะ Defibrination เมื่อถึงระยะนี้จะเป็นภาวะช็อคที่ไม่อาจคืนดีได้ เรียกว่าเป็นภาวะช็อคทุติยภูมิ (Secondary shock) เซลล์จะตาย ซึ่งร่างกายจะไม่ตอบสนองต่อการรักษาใด ๆ ผู้ป่วยจะตายจากการหายใจ และการทำงานของหัวใจล้มเหลว
อาการและอาการแสดง
ภาวะช็อคปฐมภูมิ (Primary shock)
ช่วงแรก
การรู้สึกตัวกระวนกระวาย ผิวหนังปกติอบอุ่น ชีพจรเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ความดันโลหิตต่ำลงเล็กน้อย การหายใจหอบเล็กน้อย ความดันโลหิตเมื่อได้รับสารน้ำเพิ่มขึ้น จำนวนปัสสาวะออกมากขึ้น
ช่วงหลัง
การรู้สึกตัวไม่ค่อยรู้สึกตัว ผิวหนังซีดเย็น ชีพจร 100-120/นาที ความดันโลหิตต่ำปานกลาง การหายใจหอบ ความดันโลหิตเมื่อได้รับสารน้ำเพิ่มเล็กน้อย จำนวนปัสสาวะออกมากขึ้นเล็กน้อย
ภาวะช็อคทุติยภูมิ
(Secondary shock)
การรู้สึกตัวไม่รู้สติ ผิวหนังเขียวเย็น ชีพจร เบาเร็ว มากกว่า120/นาที ความดันโลหิตต่ำมาก การหายใจหอบและเขียว ความดันโลหิตเมื่อได้รับสารน้ำไม่เปลี่ยนแปลง จำนวนปัสสาวะออกไม่เปล่ยนแปลง
การรักษา
เจาะเลือดจากหลอดเลือดแดงเพื่อตรวจ pH ของเลือด ออกซิเจนในเลือดและ CO2 ในเลือด
ให้สารน้ำ หรือให้เลือด
ให้ออกซิเจน
รีบผ่าตัดหรือช่วยห้ามเลือด
การพยาบาล
ขอความช่วยเหลือจากบุคลากรอื่นในทีมสุขภาพ
จัดให้มารดาอยู่ในท่านอนหงายราบและดูแลไม่ให้ทางเดินหายใจถูกปิดกั้น
วัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที
ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมาสู่อวัยวะส่วนปลายแขนปลายขา
ยกปลายเท้าให้สูงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดมาสู่หัวใจ
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
สวนคาและบันทึกจำนวนปัสสาวะ
ให้ออกซิเจน 6 – 8 ลิตร/นาที
ให้ความช่วยเหลือตามสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะช็อค
การพยาบาลมารดาที่มีภาวะสายสะดือพลัดต่ำหรือสายสะดือโผล
ความหมาย
ภาวะที่สายสะดือเคลื่อนลงมาอยู่ต่ำกว่าส่วนนำของทารก อาจอยู่ในช่องคลอด หรือโผล่ออกมานอกปากช่องคลอด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังจากมีการแตกของถุงน้ำคร่ำ
ชนิด
Forelying cord สายสะดือเคลื่อนต่ำลงมาจนถึงปากมดลูก ถ้าตรวจ
ภายในจะสามารถคลำพบสายสะดือได้
Complete prolapse of cord สายสะดือพลัดออกมาจนพ้นปากมดลูกในกรณีที่ถุงน้ำแตกแล้ว จะสามารถมองเห็นสายสะดือโผล่พ้นออกมาจากปากช่องคลอด
Occult (Hidden) prolapse of cord สายสะดือเคลื่อนต่ำลงมา
พอที่จะถูกส่วนนำของทารกกดได้
สาเหตุ
ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าก้น ท่าขวาง
ทารกมีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ (Small for gestational age)
ตั้งครรภ์แฝดเด็กหรือแฝดน้ำ
ส่วนนำไม่กระชับกับช่องทางคลอด
ถุงน้ำแตกก่อนกำหนด
การคลอดก่อนกำหนด
สายสะดือยาวกว่าปกติ โดยเฉพาะถ้ายาวเกิน 75 ชม. จะทำให้พลัดต่ำได้ง่าย
รกเกาะต่ำทำให้สายสะดืออยู่ใกล้กับปากมดลูก
ผลกระทบ
ต่อมารดา
ส่วนใหญ่มักเกิดจากการได้รับยาสลบจากการช่วยคลอด เช่น การผ่าตัดทารกออกทางหน้าท้อง หรือการใช้คีม (Forceps extraction) หากทารกเสียชีวิตมารดาจะประสบกับภาวะเศร้าโศก เสียใจ ได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจ จากการเกิดความสูญเสีย
ต่อทารก
ภาวะสายสะดือพลัดต่ำจะคุกคามต่อชีวิตทารก เนื่องจากการกดสายสะดือจะเป็นการตัดการไหลเวียนของเลือดจากรกมาสู่ทารก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ทารกขาดออกซิเจนและถึงแก่ชีวิตได้
อาการและอาการแสดง
ถ้าสายสะดือพลัดต่ำเป็นชนิด Occult prolapse cord จะไม่พบส่วนของสายสะดือโผล่ออกมาหรือคลำไม่ได้ แต่จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจทารก
ตรวจภายในพบสายสะดือพลัดต่ำกว่าส่วนนำของทารก
ถ้าเป็นชนิด Complete prolapse cord จะพบว่าสายสะดือโผล่ออกมาจากช่องคลอด
การป้องกัน
แนะนำให้มารดาที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสายสะดือพลัดต่ำ เช่น ครรภ์แฝด ครรภ์ไม่ครบกำหนดทารกอยู่ในท่าผิดปกติ
ในการเจาะถุงน้ำ ควรทำด้วยความระมัดระวัง โดยเจาะในเวลาที่มดลูกมีการหดรัดตัว
ในกรณีที่ถุงน้ำคร่ำแตกเอง ควรตรวจภายในเพื่อประเมินว่ามีสายสะดือพลัดต่ำหรือไม่
มารดาที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสายสะดือพลัดต่ำ ควรจัดให้นอนท่า Semi Fowler’s position
ควรบันทึกการเต้นของหัวใจทารกด้วยเครื่อง Monitor อย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มมารดาที่เสี่ยงต่อการเกิดสายสะดือพลัดต่ำทุกราย
การวินิจฉัย
จากอาการและอาการแสดง
จากการประเมินพบการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจทารกเป็นชนิด Variabledeceleration
การรักษา
สวมถุงมือ Sterile แล้วดันส่วนนำไม่ให้กดทับบริเวณสายสะดือจนกว่าการคลอดจะสิ้นสุดลง
ห้ามดันสายสะดือที่โผล่พ้นออกจากช่องคลอดกลับเข้าไปใหม
พยายามช่วยให้ทารกคลอดออกมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
พยายามลดการกดทับของส่วนนำบนสายสะดืออย่างทันทีทันใด โดยจัดให้มารดานอนในท่ายกก้นสูง อาจเป็นท่า Trendelenburg หรือ Knee – chest
ให้ออกซิเจนแก่มารดา 8 – 10 ลิตร/นาที
ถ้าหากทารกเสียชีวิตแล้ว แพทย์จะช่วยให้การคลอดเป็นไปตามธรรมชาติ หรืออาจช่วยคลอดโดยการใช้คีม
แนวทางการพยาบาล
ลดการกดทับบริเวณสายสะดือโดยการจดท่ามารดาหรือใช้มือดัน
ศีรษะไม่ให้กดทับสายสะดือ และช่วยให้การคลอดสิ้นสุดลงโดยเร็ว
พยาบาลจะต้องดูแลมารดาอย่างใกล้ชิด และเตรียมการช่วยเหลือเมื่อพบว่าสายสะดือพลัดต่ำ หรือโผล่ออกมา