Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตที่ใช้เทคโนโลยี และยาที่ใช้บ่อยใน ICU,…
บทที่ 5
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตที่ใช้เทคโนโลยี และยาที่ใช้บ่อยใน ICU
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจและการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
เครื่องช่วยหายใจ (Mechanical ventilator)
คำศัพท์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับเครื่องช่วยหายใจ
Peak flow (PF) = อัตราการไหลของอากาศเข้าสู่ปอดมีหน่วยเป็นลิตร/นาที เป็นการควบคุมช่วงระยะเวลาหายใจเข้า
Inspiratory time:Expiratory time (I:E) = อัตราส่วนระหว่างเวลาที่ใช้ในการหายใจเข้าต่อเวลาที่ใช้ในการหายใจออก ส่วนใหญ่ตั้ง 1 ต่อ 2 หรือ 1 ต่อ 3 ขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของปอด
Minute volume (MV) = ปริมาตรลมหายใจออกทั้งหมดใน 1 นาที มีหน่วยเป็นลิตร/นาที
Sensitivity = การตั้งค่าความไวของเครื่องที่ผู้ป่วยต้องออกแรงกระตุ้นเครื่อง เพื่อเริ่มต้นการหายใจเข้า
Respiratory rate (RR) =การตั้งอัตราการหายใจให้กับผู้ป่วย สำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ระหว่าง 12-20 ครั้ง/นาที
Fraction of Inspired Oxygen (FiO2) = การตั้งระดับความเข้มข้นของออกซิเจนในอากาศที่เครื่องปล่อยเข้าผู้ป่วย ปรับได้ตั้งแต่ 21-100 เปอร์เซ็นต์(ความเข้มข้นของออกซิเจน 40% หมายถึง Fio2 0.4
Tidal volume (VT) = ปริมาตรอากาศที่หายใจเข้าและออกจากปอดใน 1 ครั้ง หน่วยเป็นมิลลิลิตรคำนวณตามน้ำหนักตัว ค่าปกติ 6-8 มิลลิลิตร/น้ำหนักตัว 1กิโลกรัม
Positive EndExpiratory Pressure (PEEP) = การทำให้ความดันในช่วงหายใจออกสุดท้ายมีแรงดันบวกค้างไว้ในปอดตลอดเวลา ลดแรงในการหายใจ ป้องกันปอดแฟบ (Atelectasis)
ข้อบ่งชี้การใช้เครื่องช่วยหายใจ
ความล้มเหลวของการระบายอากาศ (ventilation failure)
กล้ามเนื้อกะบังลมไม่มีแรง (diaphragm fatigue) ได้รับยาที่กดศูนย์หายใจ
ภาวะพร่องออกซิเจน (oxygenation failure)
ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายผิดปกติ ในภาวะช็อก
ชนิดของเครื่องช่วยหายใจ
Non-invasive positive ventilator; NPPV
เครื่องช่วยหายใจที่ให้การช่วยหายใจผู้ป่วยที่ไม่มีท่อทางเดินหายใจ แก้ไขภาวะกรดจากการหายใจ ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของปอดที่รุนแรง การดูแลเกี่ยวกับการขับเสมหะจะลำบากกว่า เกิดภาวะท้องอืดได้ง่าย เสี่ยงต่อการสำลักและผู้ป่วยต้องให้ความร่วมมือ
Bilevel Positive Airway Pressure (BiPAP)
Continuous positive airway pressure (CPAP)
Invasive positive ventilator; NPPV
เครื่องช่วยหายใจประเภทความดันบวกที่ใส่ท่อช่วยหายใจ เป็นเครื่องช่วยหายใจที่ใช้มากที่สุดในภาวะวิกฤต ซึ่งเป็นการอัดอากาศเข้าไปในปอดผ่านทาง endotracheal tube หรือ tracheostomy
การแบ่งประเภทของเครื่องช่วยหายใจ (Mode of ventilator)
Control mandatory ventilation (CMV) หรือ Assist/control (A/C) ventilation CMV
เป็นวิธีช่วยหายใจที่การหายใจทุกครั้งถูกกำหนดด้วยเครื่องช่วยหายใจทั้งหมด โดยผู้ป่วยไม่มีการหายใจเองเลย ควรเลือกใช้ mode นี้เมื่อผู้ป่วยได้รับยานอนหลับและ/หรือร่วมกับยาหย่อนกล้ามเนื้อ
Synchronized Intermittent mandatory ventilation (SIMV)
เป็นวิธีช่วยหายใจที่มีทั้งการหายใจเองและการหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ โดยผู้ป่วยสามารถหายใจเองได้ในระหว่างการช่วยหายใจด้วย เครื่อง การกระตุ้นการหายใจโดยเครื่องจะสัมพันธ์กับการหายใจของผู้ป่วย เป็นการเตรียมหย่าเครื่องช่วยหายใจ
Spontaneous ventilation
การหายใจที่ผู้ป่วยเป็นผู้เริ่มการหายใจเอง รวมถึงเป็นผู้กำหนดระยะเวลาและปริมาตรอากาศที่หายใจเข้าด้วยตนเองทั้งหมด
Continuous positive airway pressure (CPAP) เป็นวิธีการหายใจที่ให้แรงดันบวก (PEEP)ต่อเนื่องในระดับเดียวกันทั้งในช่วงหายใจเข้าและออก โดยไม่มีการส่งแรงดันช่วยเพิ่มขณะที่ผู้ป่วยหายใจเข้า
Pressure support ventilator (PSV) เป็นวิธีการหายใจที่เครื่องช่วยผู้ป่วยในขณะที่ผู้ป่วยสามารถหายใจได้เอง เครื่องจะช่วยจ่ายแก๊สเพื่อให้ได้ระดับความดันตามที่ตั้งไว้ และจะหยุดจ่ายอากาศเมื่อผู้ป่วยไม่ต้องการแล้ว
ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ
ภาวะปอดแฟบ (Atelectasis)
Ventilator Associated Pneumonia; VAP
การบาดเจ็บของทางเดินหายใจ (Artificial airway complication
ภาวะพิษจากออกซิเจน (Oxygen toxicity)
ภาวะถุงลมปอดแตก (Pulmonary barotrauma)
การเกิดแผลหรือภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร
ท้องอืด
Pulmonary volutrauma มักพบในผู้ป่วยที่มีโรคปอดอยู่เดิม
ทำให้ร่างกายต้องนำกลูโคสที่สะสมที่ตับมาใช้เพื่อนำไปใช้ในการสังเคราะห์น้ำตาลทำให้ผลเสียต่อการทำงานหลายระบบ รวมทั้งระบบภูมิคุ้มกัน
ทำให้เลือดดำไหลกลับหัวใจลดลง เนื่องจากการมีแรงดันในช่องอกสูงขึ้นกว่าปกติทำให้เลือดดำจากอวัยวะในส่วนล่างของร่างกายกลับสู่หัวใจได้
ลดลง แรงต้านการไหลกลับของเลือดดำสูงขึ้น ส่งผล cardiac output ลดลง
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ
การดูแลด้านจิตใจ แจ้งให้ทราบทุกครั้งเมื่อต้องให้การพยาบาล ให้ความมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลรักษาอย่างดีที่สุด รวมทั้งการดูแลด้านจิตใจของครอบครัวและญาติของผู้ป่วยด้วย
การดูแลด้านร่างกาย
การดูแลท่อหลอดลมและความสุขสบายในช่องปากของผู้ป่วย การดูแลท่อหลอดลมและความสุขสบายในช่องปากของผู้ป่วย พยาบาลต้องหมั่นทำความสะอาดปากและฟันโดยการทำ mouth care และดูดเสมหะ (suction) ตามความเหมาะสม เปลี่ยน Oropharyngeal airway ทุกครั้งหลังทำความสะอาดช่องปาก
การป้องกันไม่ให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ โดยการดูดเสมหะเมื่อพบว่ามีปริมาณเสมหะมาก
ประเมินสภาพผู้ป่วยและภาวะแทรกซ้อน ต้องประเมินทุก 1 ชั่วโมง
ดูแลให้เครื่องช่วยหายใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และดูแล Tubing system ของเครื่องช่วยหายใจให้เป็นระบบปิด ให้ตรึงอยู่กับที่ไม่ให้ดึงรั้ง
การทำ Deeplung inflating โดยการใช้ Self-inflating bag (Ambu bag) บีบลมเข้าปอด หรือโดยการตั้งค่า Sigh ทำการ Sigh ให้ผู้ป่วยไปพร้อม ๆกับการดูดเสมหะ
การติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สำคัญ
การหย่าเครื่องช่วยหายใจ (Weaning)
วิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ผู้ป่วยหายใจเองทาง T piece หรือหายใจเองสลับกับเครื่องช่วยหายใจเป็นพักๆ ให้ผู้ป่วยหายใจผ่าน T piece ที่ต่อกับ collugated tube โดยเริ่มให้ออกซิเจน 10 ลิตรต่อนาที ใช้เวลาประมาณให้ผู้ป่วยหายใจผ่าน T piece ที่ต่อกับ collugated tube โดยเริ่มให้ออกซิเจน 10 ลิตรต่อนาที
การใช้เครื่องช่วยหายใจ mode SIMV,PSV,CPAP
Synchronized Intermittent mandatory ventilation (SIMV) ค่อยๆ ลดการช่วยเหลือจากเครื่องโดยการตั้งค่าการหายใจของเครื่องให้ต่ำกว่าการหายใจของผู้ป่วย
Pressure support ventilation (PSV) ยเครื่องจะปล่อยแรงดันในช่วงที่ผู้ป่วยหายใจเข้าด้วยตนเองจึงทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องออกแรงมาก ผู้ป่วยเป็นผู้กำหนดอัตราการหายใจ เวลาในการหายใจเข้าและปริมาตรของอากาศ (tidal volume) ด้วยตนเอง
Continuous Positive Airway Pressure (CPAP) เป็นการหย่าเครื่องช่วยหายใจ โดยเครื่องช่วยหายใจปล่อยแรงดันบวกเข้าปอดตลอดเวลา
ขั้นตอนที่ 1 ก่อนหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ประเมินความพร้อมของผู้ป่วยที่สามารถทำการหย่าเครื่องช่วยหายใจได้
7) ความสามารถในการหายใจเองของผู้ป่วย คำนวณได้จากอัตราการหายใจครั้ง/นาที หารด้วยค่าSpontaneous tidal volume หน่วยเป็นลิตร
6) ค่า Spontaneous tidal volume เมื่อถอดเครื่องช่วยหายใจแล้ว มากกว่า 5 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว1 กิโลกรัม
5) สัญญาณชีพปกติ อุณหภูมิ<38 องศาเซลเซียส อัตราการเต้นของหัวใจ <100 ครั้ง/นาที อัตราการหายใจ< 30 ครั้ง/นาทีระดับความดันซิสโตลิก 90-160 มม.ปรอท
8) ใช้ยาระงับประสาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในการควบคุมความกระวนกระวายของผู้ป่วย
4) ผู้ป่วยรู้สึกตัวและทำตามคำสั่ง
9) ไม่ใช้ยากระตุ้นหัวใจหรือหลอดเลือด ถ้ามียาดังกล่าวต้องอยู่ในระดับต่ำหรือมีแนวโน้มว่าจะลดลงได้เรื่อย ๆ
3) ค่า PEEP น้อยกว่า 5 เซนติเมตรน้ำ
2) มีการแลกเปลี่ยนก๊าซเพียงพอ ค่า PaO2>60 มม.ปรอท FiO2 ไม่เกิน 0.4
1) โรคหรือสาเหตุที่ผู้ป่วยต้องใส่เครื่องช่วยหายใจหายหรือทุเลาลง
10) สามารถไอได้ดี สังเกตได้จากขณะที่ดูดเสมหะ
ขั้นตอนที่ 2 ขณะหย่าเครื่องช่วยหายใจ
จัดท่าของผู้ป่วยให้อยู่ในท่าศีรษะสูงหรือท่านั่ง
เริ่มทำการหย่าเครื่องช่วยหายใจเมื่อประเมินสภาพผู้ป่วย โดยวิธี T piece หรือวิธีปรับ mode การหายใจของผู้ป่วย
ดูดเสมหะในปากและท่อช่วยหายใจเพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
วัดสัญญาณชีพและ (Oxygen saturation)
อธิบายวิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจคร่าวๆ เพื่อลดความกลัว ให้ผู้ป่วยร่วมมือและให้กำลังใจผู้ป่วย
เฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงทุก 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะขาดออกซิเจน
ควรเริ่มหย่าเครื่องช่วยหายใจในตอนเช้าหลังจากผู้ป่วยพักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางคืน
ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถหย่าเครื่องช่วยหายใจโดย T piece 10 ลิตร/นาที ต่อไปได้ ให้ต่อท่อช่วยหายใจเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ setting ก่อนหน้าที่จะหย่าเครื่องช่วยหายใจ
เกณฑ์การพิจารณาถอดท่อช่วยหายใจ
สามารถไอขับเสมหะออกมาได้แรงพ้นท่อช่วยหายใจ
รู้สึกตัวดีหรือ GCS>10 คะแนน
สามารถหายใจผ่าน T piece 10ลิตร/นาที เกิน 2 ชั่วโมง
ประเมิน cuff leak test ผ่าน
แพทย์พิจารณาให้ถอดท่อช่วยหายใจได้ (extubation)
วิธีในการถอดท่อช่วยหายใจ
แกะพลาสเตอร์ที่ยึดท่อช่วยหายใจ
เอาลมในกระเปาะท่อช่วยหายใจออกให้หมดโดยใช้ syringe
ดูดเสมหะในปากและในท่อช่วยหายใจให้โล่ง
ให้ผู้ป่วยกลั้นหายใจ ค่อยๆดึงท่อช่วยหายใจออกและให้ผู้ป่วยไอขับเสมหะออกมา ดูดเสมหะอีกครั้ง
จัดท่าให้ผู้ป่วยเป็นท่านั่งศีรษะสูง
ให้ O2 mask with collugate 10 ลิตร/นาที เป็นเวลา 2 ชั่วโมง
วัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที ทุก 30 นาทีและทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าจะคงที
เฝ้าระวังอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
ขั้นตอนที่ 3 หลังหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ให้ O2 mask with collugate 10 ลิตร/นาที เป็นเวลา 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นเป็น O2 cannula 3-6ลิตร/นาที
วัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที ทุก 30 นาทีและทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าจะคงที่และเฝ้าระวังอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
จัดท่าผู้ป่วยท่านั่งศีรษะสูง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจ
การกำซาบเนื้อเยื่อไม่มีประสิทธิภาพ (ineffective tissue perfusion) เนื่องจากถุงลมปอดเสียหน้าที่
การสื่อสารบกพร่องหรือไม่สามารถสื่อสารได้ด้วยคำพูดได้ (impaired verbal
communication) เนื่องจากใส่ท่อหายใจ (endotracheal tube/tracheostomy tube)
การแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง/เสี่ยง (impaired gas exchange) เนื่องจากมีการมีติดเชื้ออย่างรุนแรงของเนื้อปอด/การระบายอากาศและการกำซาบไม่สมดุล/สมองได้รับบาดเจ็บ
ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอเนื่องจากไม่สามารถรับประทานอาหารได้เอง/ระบบย่อยอาหารเสีย
หน้าที่/ร่างกายอยู่ในภาวะเครียด/มีการเผาผลาญมากขึ้นทำให้ต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้นแตอาหารที่ได้รับน้อยกว่าที่ต้องการ
ขับเสมหะไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเสมหะเหนียวและไม่สามารถไอออกเองได้
เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อของปอดเนื่องจากการใส่ท่อหายใจ/การกลืนผิดปกติและภูมิต้านทานร่างกายลดลง
เสี่ยง/มีโอกาสเกิดภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจ/มีการรั่วของลม/มีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด/มีภาวะปอดแฟบ
ผู้ป่วยและญาติมีความวิตกกังวล/กลัว เนื่องจากอยู่ในภาวะวิกฤตคุกคามชีวิต ต้องพึ่งพา
เครื่องช่วยหายใจและผู้อื่น/ ไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้ตามปกติ/ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป
การพยาบาลผู้ป่วยใส่สายสวนหลอดเลือด
(central line monitor)
การวัดความดันในหลอดเลือดแดง (intra-arterial monitoring)
เป็นวิธีการสอดใส่สายยางเข้าไปในเส้นเลือดแดง (arterial line; A-line) และนำมาต่อกับเครื่องวัด
(manometer) เป็นการวัดความดันของหลอดเลือดแดงโดยตรง
Systolic BP + (2 x Diastolic BP) /3
ค่าปกติ MAP = 70-100 mmHg
ข้อบ่งชี้ในการวัดความดันโลหิตทางหลอดเลือดแดง
ในรายที่จำเป็นต้องการตรวจ arterial blood gas หรือส่งเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการบ่อย ๆ
้ป่วยที่ใช้ inotropic drugs และ vasoactive drug
ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดซึ่งอาจเสียเลือดได้มาก
ผู้ป่วยที่วัดความดันโลหิตยาก เช่น ผู้ป่วยถูกไฟไหม้ทั้งตัว
ในผู้ป่วยที่มีการไหลเวียนลดลง หรือความดันโลหิตต่ำ
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใส่สายหลอดเลือดแดง (arterial line)
เมื่อมีการเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจทาง arterial line ต้อง flush สาย ไม่ให้มีเลือดหรือฟองอากาศ
ค้างในสาย
ตรวจสอบข้อต่อต่างๆ ให้แน่นอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันการหัก งอ ของสายarterial line
การป้องกันการติดเชื้อ (Infection)
ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อตรงตำแหน่งสายหลอดเลือดแดง
ทำแผลทุก 7 วัน
หลีกเลี่ยงการปลดสาย ข้อต่อต่างๆ ดูแลให้เป็นระบบปิด
เปลี่ยนชุดของ transducer และชุดการให้สารน้ำทุก 3 วัน
ใช้ sterile technique
การป้องกันการเลื่อนหลุด ควร immobilized arm โดยใช้ arm broad ที่เหมาะสม บริเวณ insertsite ต้องสามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา
ป้องกันภาวะแทรกซ้อน
การเกิดเนื้อตาย (Skin necrosis)
Air embolization
การติดเชื้อ (infection)
Hematoma
limb ischemia
ตรวจดูคลื่นที่แสดงการอุดตัน (damped waveform) และบันทึกตำแหน่งของสายยาง หากพบควรดูดลิ่มเลือดหรือฟองอากาศออกและรายงานแพทย์
ดูแลระบบของ arterial line ให้มีประสิทธิภาพ ใช้ continuous flush system โดยใช้สารน้ำ 0.9%NSS 500 cc ผสมกับ Heparin 2,000-2,500 ยูนิต ซึ่งใส่ความดัน (pressure bag) ขนาด 300 มม.ปรอทเพื่อให้มีแรงดันในการ flush ที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ
จดบันทึกค่า Arterial blood pressure ที่ได้ทุก 15-60 นาที ตามความจำเป็น และรายงานแพทย์เมื่อค่าที่ได้มีความผิดปกติ
ตรวจสอบความแม่นยำของการปรับเทียบค่า (Accuracy)
Levelling the transducer จัดตำแหน่ง transducer ให้อยู่ในตำแหน่ง phlebostatic axis คือ บริเวณ 4th intercostal space ตัดกับ mid anterior-posterior line
Zeroing the transducer เป็นการปรับ transducer กับความดันบรรยากาศ (ให้อยู่ในระดับ 0)เพื่อเทียบกับเครื่อง monitor ให้การวัดความดันมีความเที่ยงตรงและแม่นยำ
10.ในกรณีที่แพทย์ถอดสายยางออกแล้วควรกดตำแหน่งแผลไว้นาน อย่างน้อย 10 นาที หรือจนกว่าเลือดจะหยุด ทำความสะอาดแผลและปิดแผลด้วย plaster ที่เหนียวให้แน่น ด้วยหลักปราศจากเชื้อ
ยาที่ใช้บ่อยในผู้ป่วยวิกฤต
(common drugs used in ICU)
ยาที่ใช้ในภาวะ Pulseless Arrest
1.1 Epinephrine หรือ adrenaline 1 mg/ ml/ ampule (1: 1,000) ออกฤทธิ์กระตุ้น Alpha adrenergic receptor และ beta adrenergic receptor
ใช้เป็นยาตัวแรกในการทำ CPR ทั้งในภาวะ systole/PEA และ VF/pulseless VT
ใช้ในภาวะ symptomatic bradycardia ที่ไม่ตอบสนองต่อการให้ atropine
Cardiac arrest เริ่ม 1 mg IV และให้ซ้ำทุก 3-5 นาที จนกว่าอาการจะดีขึ้น
IV; Undilute (1:1,000) หรือ dilute ให้ได้ 1: 10,000 ยา (1 amp: สารน้ำ 10 ml)
อัตราตามแผนการรักษา
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ ทุก 15 นาทีติดต่อกัน 2ครั้ง เมื่อเริ่มให้ยา
ปรับขนาดยา เมื่อ BP < 90/60 หรือ >140/90 mmHg หรือ HR>120 ครั้ง/นาที หรือตามแผนการรักษา
ผลข้างเคียง tachycardia, arrhythmias, hypertension
1.2 Amiodarone (Cordarone®) ใช้รักษาภาวะ tachyarrhythmia ได้หลายชนิด ทั้งที่เป็นsupraventricular หรือ ventricular arrhythmia
ยารักษาหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะชนิด Atrial fibrillation และ Atrial flutter
หัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะชนิด Ventricular fibrillation (VF) และ Ventricular tachycardia (VT)
ในกรณีทำ CPR ขนาด 300mg หรือ 5 mg/kg เจือจางใน D5W 20 ml. IV push หากยังมีหัวใจห้องล่างผิดปกติ ให้ยาเพิ่มอีก 150 mg หรือ 2.5 mg/kg หลังจากนั้นให้ maintenance dose 10-20 mg/kg/day
Amiodarone injection 150 mg/ 3 mL เจือจางใน D5W เท่านั้น
ผลข้างเคียง
อาจทำให้เกิด vasodilatation และ hypotension
Bradycardia, hypothyroidism, hyperthyroidism, thrombophlebitis
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและ monitor EKG ทุก 15นาที x 3 ครั้ง หลัง loading dose รายงานแพทย์เมื่อ BP < 90/60 mmHg, HR < 60 BPM
ยาที่ใช้ในภาวะ Bradyarrhythmia
Atropine
ไปยับยั้งการทำงานของ vagus nerve ที่หัวใจ ทำให้มี
การเพิ่มขึ้นของ heart rate
ใช้แก้ไขภาวะหัวใจเต้นช้าผิดปกติและ AV block
ขนาดยาที่ใช้0.6-1 mg ทุก 3-5 นาที (ขนาดสูงสุดไม่เกิน 3 mg)
Atropine 0.6 mg/ml/ampule ให้ IV Bolus: Undiluted or dilute 1-10 ml ฉีด15 – 30 วินาท
ทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็ว (tachycardia) ischemia มากขึ้น ท้องอึด การเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลง
ควรระวังการให้ขนาดที่ต่ำกว่า 0.5 mg อาจเกิดการตอบสนองชนิดหัวใจเต้นช้า
ติดตามสัญญาณชีพ monitor EKG อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
ไม่ควรให้ถ้า HR > 60 ครั้ง/นาท
รายงานแพทย์เมื่อ HR > 120 ครั้ง/นาที โดยให้ monitor HR ทุก 5 นาท
ยาที่ใช้ในภาวะ Tachyarrhythmia
3.1 Adenosine
ยับยั้งการนำไฟฟ้าผ่าน AV node เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายมีค่าครึ่งชีวิตน้อยกว่า 10 วินาที จึงต้องทำการฉีดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้มียาเหลือไปถึงที่หัวใจ
ใช้เป็น first line drug ในภาวะ Stable narrow complex tachycardia (reentry SVT) หรือในภาวะ unstable narrow complex regular tachycardia
Adenosine 6 mg/2 ml/vial ฉีดทางหลอดเลือดดำขนาด 6 mg ฉีดเร็ว ๆ ภายใน 1 – 3 วินาที ตามด้วย NSS bolus 20 ml พร้อมกับยกแขนสูง (double syringe technique) สามารถให้ยาซ้ำได้อีก 12 mg
ผลข้างเคียง อาการหน้าแดง (flushing) เหนื่อยและแน่นหน้าอก ซึ่งอาการไม่รุนแรงและมักจะหายไปในเวลา< 1 นาที
เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้เร็ว (10 วินาที) และหมดฤทธิ์เร็ว จึงต้องฉีดเร็วๆ บริเวณ upper extremities และ flush NSS ตาม 20 ml ด้วยวิธี double syringe technique
ถ้าฉีดยาช้าเกินไปยาจะถูกทำลายหมดก่อนถึงหัวใจ เนื่องจากยามี half-life สั้นมากเพียง 0.5-5 วินาที
3.2 Digoxin (Lanoxin ®)
เพิ่ม vagal tone ทําให้การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น จากการลดการทำงานของระบบประสาท sympathetic ทำให้อัตราเต้นของหัวใจลดลง
Heart failure
หัวใจเต้นผิดจังหวะแบบ atrial fibrillation (AF), atrial flutter และ supraventricularTachycardia (SVT)
Digoxin injection 0.5 mg/ 2 mL amp (=0.25 mg/mL)
ขนาดเริ่มแรก 0.25 – 0.5 mg ทางหลอดเลือดดำและให้ซ้ำได้ขนาดสูงสุด 1 mg/day
IV bolus จะต้องให้แบบช้าๆ นานกว่า 5 นาทียาฉีดที่ให้อาจไม่ต้องเจือจางแต่ถ้าเจือจางควรเจือจางด้วย sterile water for injection, NSS, D5W โดยใช้สารละลายมากกว่า 4 เท่า
ผลข้างเคียง
หัวใจเต้นช้าชนิด Sinus bradycardia, S-A arrest
หัวใจเต้นผิดจังหวะ AV block, Atrial fibrillation
การเป็นพิษจากยา อ่อนเพลีย คลื่นไส้ปวดท้อง เบื่ออาหาร กระสับกระส่าย สับสบ ใจสั่น หัวใจเต้นเต้นผิดจังหวะ
การพยาบาล
กรณียาฉีด ประเมินสัญญาณชีพก่อนให้ยา และหลังให้ยาทุก 15 นาทีติดต่อกัน 2 ครั้ง ต่อไปทุก 30 นาที ติดต่อกัน 3 ครั้ง ต่อไปทุก 1 ชั่วโมงจนครบ 6 ชั่วโมง
monitor EKG ขณะฉีดยา และหลังฉีดยา 1 ชั่วโมง
รายงานแพทย์เมื่อ HR < 60 ครั้ง/นาที หรือ >100 ครั้ง/นาที BP < 90/60 mmHg RR < 14 ครั้ง/นาที หรือพบ Arrhythmia
ยากระตุ้นความดันโลหิต (Vasopressor)
4.1 Dopamine (Inopin®)
ออกฤทธิ์กระตุ้น Adrenergic และ Dopaminergic receptors ตามขนาดยา
ขนาดต่ำ (0.5-3 mcg/kg/min) กระตุ้น dopaminergic receptors ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัวเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังไต
ขนาดปานกลาง (3-10 mcg/kg/min) ยาจับกับ beta 1 receptors กระตุ้นการปลดปล่อย norepinephrine ทำให้เพิ่มการบีบตัวของหัวใจ
ขนาดสูง (10-20 mcg/kg/min) มีผลต่อ alpha1adrenergic receptors ทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดเพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ
ข้อบ่งใช้ตามขนาดยา
ขนาดต่ำ ใช้ในผู้ป่วยที่ปัสสาวะออกน้อย เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่ไต (renal blood flow)และสมอง
ขนาดปานกลาง เพิ่มการบีบตัวของหัวใจ เพิ่ม Cardiac out put- ขนาดสูง ทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจใช้รักษาผู้ป่วยที่
มีภาวะ shock จากการติดเชื้อในกระแสเลือด
ยา 1 Amp บรรจุ 10 ml มีความเข้มข้นของยา 250 mg (25 mg/ml) แผนการรักษาของแพทย์นิยม
เขียนเป็น 1:1, 2:1, 4:1 สารละลายที่ใช้เจือจางยาคือ NSS หรือ D5W
ผลข้างเคียง
การรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตายได้
กระตุ้นระบบประสาท sympathetic ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว
เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ
การพยาบาล
เลือกตำแหน่งให้ยาบริเวณหลอดเลือดดำเส้นใหญ่และควบคุมอัตราการไหลของยาโดยใช(Infusion pump
ตรวจดู IV site ทุก 1 ชั่วโมงเพื่อเฝ้าระวังการเกิดยารั่วออกนอกหลอดเลือด
ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต monitor ECG urine out put อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ทุก 0.5 -1 ชม
สามารถปรับเพิ่มหรือลดยาได้ทีละ 2µd/min keep BP ≥ 90/60 และ ≤140/90 หรือตามแผนการรักษาของแพทย
4.2 Dobutamine
ออกฤทธิ์กระตุ้นที่ Beta-1 และAlpha-1 Adrenergic
receptors ที่หัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวแรงขึ้น และหลอดเลือดส่วนปลาย ขยายตัว
เพิ่ม cardiac output ในผู้ป่วยหัวใจวาย หรือ cardiogenic shock
Dobutamine 2-20 mcg/kg/min
ยา 1 Vial บรรจุ20 ml มีความเข้มข้นของยา 250 mg หรือ 12.5 mg/ml แผนการรักษาของแพทย์นิยมเขียนเป็น 1:1, 2:1, 4:1 ใช้สารละลาย D5W หรือ NSS ให้ขนาดตามแผนการรักษา
ผลข้างเคียง
ยาอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูงหัวใจเต้นเร็วและเต้นผิดจังหวะได้
บางรายอาจมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจตาย
การรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตายได้
4.3 Norepinephrine (Levophed®)
ออกฤทธิ์กระตุ้น beta1 และ alpha adrenergic receptors ส่งผลให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจมีการบีบตัวและคลายตัวเพิ่มขึ้น
รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะseptic shock และ cardiogenic shock ระดับรุนแรง หรือภาวะshock หลังจากได้รับสารน้ำเพียงพอแล้ว
เริ่มต้นที่ 0.01-3 mcg/kg/min หากขนาดยาเกิน 1 mcg/kg/min เฝ้าระวังการเกิดvasoconstriction อย่างใกล้ชิด
ยา 1 Amp บรรจุ 4 ml มีความเข้มข้นของยา 4 mg (1 mg/ml) แผนการรักษาของแพทย์นิยมเขียนเป็น 4:100, 8:100 สารละลายที่ใช้เจือจางยาคือ D5W เท่านั้น ห้ามผสมใน NSS
ผลข้างเคียง
หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง กระวนกระวาย หายใจลำบาก
การรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตายได
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและ monitor ECGทุก 0.5 -1 ชั่วโมง
ตรวจดู IV site ทุก 1 ชั่วโมงเพื่อเฝ้าระวังการเกิดยารั่วออกนอกหลอดเลือด
5.ยาขยายหลอดเลือด (Vasodilators)
5.1 Nicardipine
กลุ่ม Calcium channel blocker ออกฤทธิ์ยับยั้งแคลเซียมเข้าเซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของผนังหลอด
ใช้ ในผู้ป่วยที่มีภาวะ Hypertensive crisis
1) IV bolus คือ เจือจางยา Nicardipine 2 mg ด้วย NSS ให้เป็น 4 ml IV ครั้งละ 1-2 ml นาน 1-2นาทีให้ซ้ำได้ทุก 15 นาที จน BP ลดลงระดับที่ต้องการ
2) IV drip นิยมเขียนเป็น 1: 10 (สัดส่วน 1:10 คือยา Nicardipine 10 mg : สารละลาย 100 ml)เจือจางด้วย NSS หรือ D5W การเตรียมยา Nicardipine 20 mg + NSS 80 ml
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หน้าแดง
ใจสั่น หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ
การรั่วออกของยาออกนอกเส้นเลือด
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและ monitor ECG อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ทุก 0.5 -1 ชม.
กรณี Emergency ให้ยาทาง IV bolus ติดตามทุก 5 นาที จน BP, HR ได้ระดับที่ต้องการ- กรณีให้ IV drip ติดตามทุก 15 นาที ในชั่วโมงแรก จากนั้น ทุก 1 ชั่วโมงขณะให้ยา
รายงานแพทย์ทันทีถ้า BP < 90/60 mmHg หรือ HR< 60 ครั้ง/นาทีหรือ HR > 120 ครั้ง/นาที
5.2 Sodium Nitroprusside
ยาขยายหลอดเลือดแดงและดำ โดย free nitroso group (NO) จะไปยับยั้ง excitation-contraction
coupling ของผนังหลอดเลือด (vascular smooth muscle)
ใช้ในการลดความดันโลหิตในผู้ป่วย hypertensive emergency
ลด afterload ในภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
การเตรียมยาผสม 50 mg ใน D5W 250 ml เริ่มให้ 0.1 mcg/kg/mi
ปรับยาขึ้นครั้งละ 10 mcg/min
ผลข้างเคียง
หากลดความดันโลหิตเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ เหงื่อออกมาก
เกิดพิษจาก cyanide มักพบในผู้ป่วยที่ได้รับยาในขนาดสูง (10-15 mcg/kg/min) นานมากกว่า 1ชั่วโมง
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต ทุก 5 นาทีหลังให้ยา และติดตามทุก 1 ชั่วโมง
ป้องกันยาในขวดน้ำเกลือทำปฏิกิริยากับแสงด้วยกระดาษ ผ้า หรือ aluminum foil ให้สังเกตว่าสี
ของยาจะเปลี่ยนไปหากทำปฏิกิริยากับแสง
5.3 Nitroglycerin (NTG)
หลั่ง nitric oxide (NO) เข้าสู่กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด กระตุ้น
guanylate cyclase ใน cytoplasm ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดดำขยายตัวเลือดไหลกลับหัวใจลดลง
Acute coronary syndrome, Chest pain (angina pectoris)
Heart failure โดยช่วยในการลด preload
เริ่มขนาด 5-10 mcg/min เพิ่มทีละ 5-10 mcg/min ทุก 5-10 นาที ขนาดยา 30-40 mcg/min ทำให้เกิด Vasodilatation ขนาดยาที่มากกว่า 150 mcg/min ทำให้เกิด arteriolar dilation
NTG 1 vial มี 10 ml บรรจุยา 50 mg เจือจางใน 5%D/W หรือ 0.9%NSS โดยผสมNitroglycerin 500-1000 มก. ใน D5W หรือ NSS 250 ml
ผลข้างเคียง Hypotension, Tachycardia, Flushing, headache
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต ยามีผลทำให้ความดันโลหิตต่ำ
monitor EKG ยาทำให้เกิดหัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia)
การวัดค่าความดันในหลอดเลือดดำส่วนกลาง (Central venous pressures; CVP)
การวัดความดันของเลือดดำส่วนกลาง หรือแรงดันเลือด
ของหัวใจห้องบนขวา (right atrium pressure) เพื่อประเมินระดับของปริมาณน้ำและเลือดในร่างกาย
ตำแหน่งเส้นเลือดที่ใช้สำหรับ monitor CVP
subclavian vein เป็นตำแหน่งเหมาะสมที่สุด รองลงมาคือ internal jugular vein และตำแหน่ง Femoral vein หรือเส้นเลือดดำใหญ่บริเวณข้อพับ ได้แก่ Basilic vein, Brachial vein หรือ Cephalic vein
ข้อบ่งชี้ในการติดตามค่า CVP
ในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำเกิน
ในกรณีที่ต้องการประเมินการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด
ในผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดจากอุบัติเหตุหรือจากการผ่าตัด ภาวะ shock และกรณีอื่นที่ทำให้ปริมาณเลือดและน้ำในร่างกายลดลง
การแปลงค่า CVP
ปกติ อาจอยู่ในช่วง 6-12 cm H2O (2-12 mmHg)
ใช้ pressure transducer มีหน่วยเป็น millimeters of mercury (mmHg)
ใช้ water manometer หรือใช้ไม้บรรทัดที่มีสายยาง (extension tube) ซึ่งใช้บ่อยบนคลินิก จะมีหน่วยเป็น centimeters of water (cm H2O)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีสายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง (Central venous pressures; CVP)
ป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือด
ประเมินแผลบริเวณรอบ ๆที่คาสายสวนหลอดเลือดดำทุกเวรและทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าปิดแผล
ทำความสะอาดแผลด้วย 2% Chlorhexidine in 70% Alcohol และเปลี่ยน steriletransparent dressing ทุก 7 วันหรือทันทีที่ผ้าปิดแผลสกปรก
พิจารณาความจำเป็นในการคาสายสวนหลอดเลือดดำ และพิจารณาถอดออกให้เร็วที่สุด
สวมปิดบริเวณข้อต่อด้วย needleless connector หรือจุกปิด (stopcock)
เปลี่ยนชุดสารน้ำควรเปลี่ยนภายใน 72 ชั่วโมง และชุดให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำชนิดที่เป็นไขมันแบบ emulsions ภายใน 24 ชั่วโมง
เฝ้าระวังและดูแลระบบการให้สารน้ำต้องเป็นระบบปิดตลอดเวลา
ป้องกันการอุดตันของสายสวน ควรตรวจสอบตำแหน่งสายและทดสอบสายก่อนใช้งานทุกครั้ง ดูแลสายสวนทางหลอดเลือดดำ ไม่ให้หักพับงอ การให้ยาหรือสารละลาย ต่างชนิดควรใช้ NSS flush คั่นก่อน
ป้องกันการเลื่อนหลุดของสายสวน
ต้องไล่ฟองอากาศทุกครั้ง ฟองอากาศที่เข้าสู่หลอดเลือดอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการอุดตันที่ปอด pulmonary embolism
ความแม่นยำของการเปรียบเทียบค่า
Levelling the transducer จัดตำแหน่ง transducer ให้อยู่ในตำแหน่ง phlebostatic axis
Zero the transducer เป็นการปรับ transducer กับความดันบรรยากาศ (ให้อยู่ในระดับ 0)
รักษาประคับประคองผู้ป่วยที่มีภาวะระบบหายใจล้มเหลวหรือระบบไหลเวียนล้มเหลว
“positive mechanical ventilator”
การลดการช่วยหายใจในผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจจนสามารถหายใจเองและหยุดใช้เครื่องช่วยหายใจในที่สุด
นางสาวจิรประภา เจริญเจ้าสกุล 6001211061 เลขที่ 46 sec B