Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาพยนตร์สั้น A Beautiful Mind PBL ครั้งที่ 2, image, 968full-a-beautiful…
ภาพยนตร์สั้น
A Beautiful Mind
PBL ครั้งที่ 2
ประวัติทั่วไป
ข้อมูลส่วนบุคคล
อายุ 24 ปี
เชื้อชาติอเมริกัน สัญชาติอเมริกัน
ผู้ป่วยเพศชาย ชื่อ นายจอห์น ฟอบส์ จูเนียร์
ประวัติครอบครัว
มีน้องสาว 1 คน
ภรรยา ชื่อนางอลิเซีย มีบุตรร่วมกัน 1 คน
สัมพันธภาพในครอบครัว
ผู้ป่วยมีความคิดหมกมุ่นกับตัวเลขและมีพฤติกรรมที่แปลกๆ
ผู้ป่วยเกือบทำร้ายภรรยาและลูกจากการเห็นภาพหลอนของเขา
ผู้ป่วยเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง
สาเหตุ
อ้างอิง
: นิตยา ศรีจำนง.(2554).
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางการนึกการคิดและการรับรู้ :การพยาบาลผู้ป่วยจิตเพศ (Nursing intervention in Schizophrenia)
สืบค้นเมื่อ 25 มิถุนายน 2563 จาก
http://www.elnurse.ssru.ac.th/nitaya_si/pluginfile.php/32/block_html/content/
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
สภาพแวดล้อมรอบตัว
เป็นคนเก็บตัวไม่มีเพื่อนสนิท
ไม่มีสัมพันธภาพกับผู้อื่น
ด้านครอบครัว
ครอบครัวตำหนิ
สภาพครอบครัวไม่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น
ด้านจิตใจ
มีการรับรู้และไวต่อ
ความเครียดมากกว่าปกติ ทำให้มีปํญหาการปรับตัวการควบคุมพฤติกรรม และการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น
ด้านร่างกาย
ด้านพันธุกรรม
มีโอกาสเกิดได้สูงในฝาแดไข่ใบเดียวกัน
ญาติของผู้ป่วยมีโอกาสเป็นโรคจิตเภทสูงกว่าประชากรทั่วไป ยิ่งมีความใกล้ชิดทางสายเลือดมากยิ่งมีโอกาสมากขึ้น
สารชีวเคมีในสมอง
สารโดปามีนมากเกินไป
ความผิดปกติในส่วนอื่นๆ ของสมอง
มีช่องในสมอง (ventricle) โตกว่าปกติ ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่มีอาการด้านลบเป็นอาการเด่น
ผู้ป่วยบางรายอาจมีเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าลดลง และการทำงานของสมองส่วนหน้ามีไม่เต็มที่
พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551
มาตรา23
ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติทางจิต คือมีภาวะอันตรายหรือ มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือตำรวจโดยเร็ว
อ้างอิง
: พระราชบัญญัติ สุขภาพจิต พ.ศ.2551. (2551, 20 กุมภาพันธ์).
ราชกิจจานุเบกษา
. เล่ม 125 ตอนที่ 36 ก.
มาตรา18
การรักษาทางจิตด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive Therapy,ECT) ให้กระทำได้ในกรณีที่ผู้ป่วยยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องรับทราบถึงเหตุผลความจำเป็น ความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน ประโยชน์ของการบำบัด
มาตรา 27
การตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการเบื้องต้น ต้องให้แล้วเสร็จ ภายใน 48 ชั่วโมง นับตั้งแต่บุคคลนั้นมาถึงสถานพยาบาล
มาตรา 17
การบำบัดรักษาโดยการผูกมัดร่างกาย การกักบริเวณ หรือแยกผู้ป่วยจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่เป็นความจำเป็นเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยเอง บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น
มาตรา 24
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือตำรวจได้รับแจ้งหรือพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติทางจิต ให้ดำเนินการนำตัวผู้นั้นไปยังสถานพยาบาลเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย โดยไม่สามารถผูกมัดร่างกายของบุคคลนั้นเว้นแต่ความจำเป็น
มาตรา 25
ผู้รับผิดชอบดุูแลสถานคุมขัง สถานสงเคราะห์ พนักงานคุมพฤติกรรม ถ้าพบบุคคลที่อยู่ในความดุแลมีพฤติกรรมที่น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติทางจิต ให้ส่งตัวบุคคลผู้นั้นไปสถานพยาบาลโดยเร็ว
มาตาร 26
ในกรณีฉุกเฉิน เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้รับแจ้งตามมาตรา 23 ให้มีอำนาจนำตัวบุคคลนั้นหรือเข้าไปในสถานที่ใดๆ เพื่อนำตัวบุคคลนั้นส่งสถานพยาบาลของรัฐหรือสถานบำบัดรักษาซึ่งอยู่ใกล้โดยไม่ชักช้า
มาตรา 21
การบำบัดจะกระทำได้ต่อเมื่อผู้ป่วยได้รับการอธิบายความจำเป็นในการบำบัดรักษา รายละเอียดและประโยชน์ของการบำบัดรักษาและได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยจากผู้ป่วยในมาตรา 22
มาตรา 22
บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิต ในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นบุคคลที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา
มีภาวะอันตราย
มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา
มาตรา 29
สถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต มีหน้าที่ในการตรวจวินิจฉัยบุคคลที่พนักงานเจ้าหน้าที่นำส่ง หรือส่งต่อจากแพทย์ ให้ตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการบุคคลนั้นโดยละเอียด ภายใน 30 วัน และให้มีการพิจารณาว่าบุคลนั้นต้องเข้ารับการบำบัดรักษาหรือไม่
มาตรา 30
คณะกรรมการบำบัดรักษากำหนดวิธีการและระยะเวลาการบำบัดรักษาตามความรุนแรงของความผิดปกติทางจิต แต่ต้องไม่เกิน 90 วันนับแต่วันที่มีคำสั่ง ขยายระยะเวลาได้อีกครั้งละไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งครั้งแรกหรือครั้งถัดไป
มาตรา 34
เพื่อประโยชน์ในการบำบัดรักษาผู้ป่วย ให้คณะกรรมการสถานบำบัดรักษามีอำนาจสั่งย้ายผู้ป่วยไปรับการบำบัดรักษาในสถานบำบัดรักษาอื่นได้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
การวินิจฉัยโรคจิตเภทตามเกณฑ์ DSM-5
อ้างอิง :
มันฑนา กิตติพีรชล, ปัทมา ศิริเวช, บุรินทร์ สุรอรุณสัมฤทธิ์ และวีร์ เมฆวิลัย. (2560).
คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเภท สำหรับโรงพยาบาลในเขตสุขภาพ (ฉบับแพทย์)
. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : บริษัท วิคทอเรียอิมเมจ จำกัด
A. มี 2 อาการขึ้นไป นาน 1 เดือน (อย่างน้อยต้องมีอาการข้อ 1-3 หนึ่งอาการ)
2. อาการประสาทหลอน
หูแว่ว ภาพหลอน
3. พูดไม่ต่อเนื่องเป็นประโยค
5. พฤติกรรมไม่สมเหตุสมผล/ไม่มีจุดหมาย
เคลื่อนไหวร่างกายแปลกๆ (catatonic behavior)
4. อาการด้านลบ
สีหน้าทื่อ เฉยเมย แยกตัว
1. อาการหลงผิด
หลงผิดคิดว่าตนถูกปองร้ายกลั่นแกล้ง
B. ระดับความสามารถลดลงอย่างชัดเจน (อย่างน้อย 1 ด้าน)
การมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น
การดูแลตนเอง
ด้านการทำงาน
C. อาการต่อเนื่องนาน 6 เดือนขึ้นไป
มี
Active phase
(ตามข้อ A) อย่างน้อย
1 เดือน
ระยะ
Residual phase
พบ
อาการด้านลบ
หรือตาม
ข้อ A ตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไป
แต่แสดงออกเล็กน้อย เช่น คิดแปลกๆ หรืออาการรับรู้ผิดปกติ แต่ไม่ถึงขึ้นประสาทหลอน
D. แยกโรคจิตอารมณ์ โรคซึมเศร้า โรคอารมณ์สองขั้วออก
E. แยกอาการโรคจิตที่เกิดจาก โรคทางกายและสารเสพติดออก
Psychotic disorder
ภาวะสับสน สมองเสื่อม โรคติดเชื้อในระบบประสาท ลมชัก โรคหลอดเลือดสมอง SLE
Substance abuse
F. กรณีมีประวัติกลุ่มโรคออทิสติก หรือโรคเกี่ยวกับสารสื่อสารตั้งแต่เด็ก
วินิจฉัยโรคจิตเภท
เมื่อมีอาการหลงผิด
อาการประสาทหลอน ที่เด่นชัดอย่างน้อย
1 เดือน
อาการและอาการแสดง
ควบคุมตนเองไม่ได้
ทำร้ายคนรอบข้าง
เพื่อนร่วมงาน
จิตแพทย์
ครอบครัว
ทำร้ายตนเอง
ไม่ชอบเข้าสังคม
ชอบอยู่คนเดียว/เก็บตัว
ไม่มีเพื่อน
ไม่ชอบทำกิจกรรมนันทนาการร่วมกับผู้อื่น
หวาดระแวง
คิดว่ามีคนจะมาทำร้าย
คิดว่าตนเองถูกสะกดรอยตาม
ด้านพฤติกรรม
กระสับกระส่าย เดินไป-มา
พยายามโต้ตอบกับใครบางคน
มองซ้าย-ขวาตลอด ด้วยแววตาหวาดระแวง
เดินหลังค่อม ไม่ชอบสบตาใคร
พูดไม่ต่อเนื่อง
เกิดจากความผิดปกติทางความคิด
อาการหลงผิด
เชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริง
พูดศัพท์แปลก ๆ
พูดไม่ต่อเนื่อง
เกิดจากความผิดปกติของการรับรู้
ประสาทหลอน
คิดว่ามีคนจะมาทำร้ายตนเอง
คิดว่ามีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา
หูแว่ว ได้ยินคนสั่งให้ทำตาม
มองภาพจิตแพทย์เป็นทหารรัสเซีย
การแสดงอารมณ์ผิดปกติ
: ยิ้ม หัวเราะโดยไม่มีเหตุผล
เฉยเมยไม่แสดงอารมณ์
พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
กระสับกระส่าย เดินไป-มา
พยายามโต้ตอบกับใครบางคน
มองซ้าย-ขวาตลอด ด้วยแววตาหวาดระแวง
ไม่สนใจในการดูแลตนเอง
เดินหลังค่อม ไม่ชอบสบตาใคร
อ้างอิง
: นฤมล จินตพัฒนากิจ.(2554).
อาการผิดปกติทางจิตเวช
.สืบค้นเมื่อ 25 มิถุนายน 2563 จาก
http://www.srithanya.go.th/srithanya/files/ECT/ect4-610319.pdf
การรักษา
การรักษาทางชีวภาพ
ยารับประทาน
ฮาโลเพอริดอล (Haloperidol)
ผลข้างเคียง
เวียนศีรษะ ง่วงซึม ปากแห้ง กระสับกระส่าย เบื่ออาหาร ท้องเสีย
คลอซาปีน (Clozapine)
ผลข้างเคียง
น้ำหนักตัวเพิ่ม เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ง่วงซึม สั่น กระสับกระส่าย คลื่นไส้ ท้องผูก มีน้ำลายมาก มองเห็นไม่ชัด หัวใจเต้นเร็ว มีเหงื่อออกมาก
เพอเฟนนาซีน (Perphenazine)
ผลข้างเคียง
เวียนศีรษะ ปากแห้ง ท้องผูก ท้องเสีย ง่วงซึม เบื่ออาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน อาเจียน และคัดจมูก
ริสเพอริโดน (Risperidone)
ผลข้างเคียง
ปากแห้ง ปวดหัว เจ็บคอ ท้องเสีย น้ำหนักขึ้นหรือง่วงซึม
ไตรฟลูโอเพอราซีน (Trifluoperazine)
ผลข้างเคียง
อาการร้อนรน กล้ามเนื้ออ่อนแรง มองเห็นภาพซ้อน อาการนอนไม่หลับ น้ำหนักเพิ่มขึ้น ท้องผูก
ไซพราซิโดน (Ziprazidone)
ผลข้างเคียง
ง่วงนอน เวียนศีรษะ หน้ามืด น้ำลายไหล คลื่นไส้ น้ำหนักเพิ่ม หรืออ่อนเพลีย
ไทโอริดาซีน (Thioridazine)
ผลข้างเคียง
มีปฏิกิริยาของระบบประสาทที่รุนแรง กล้ามเนื้อแข็ง มีไข้สูง มีเหงื่อออก รู้สึกสับสน หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ ตัวสั่น รู้สึกคล้ายจะเป็นลม
โอลันซาปีน (Olanzapine)
ผลข้างเคียง
อ่อนเเรงมาก มีไข้ เป็นผื่น ต่อมในร่างกายบวม คล้ายเป็นหวัด ปวดกล้ามเนื้อ
เอริพิพราโซล (Aripiprazole)
ผลข้างเคียง
เครียด กระวนกระวาย ร่างกายกระตุกขณะเคลื่อนไหว
ยาฉีด
Zuclopenthixol acetate
ผลข้างเคียง
อาการบวมที่ใบหน้าริมฝีปากหรือลิ้น คันที่ผิวหนังรุนแรง
Zuclopenthixol decanoate
ผลข้างเคียง
อาการบวมที่ใบหน้าริมฝีปากหรือลิ้น
Fluphenazine decanoate
ผลข้างเคียง
เวียนศีรษะ ปากแห้ง ท้องผูก ท้องเสีย ง่วงซึม เบื่ออาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน อาเจียน และคัดจมูก
Flupenthixol decanoate
ผลข้างเคียง
ท้องผูก ท้องเสีย เวียนศีรษะ ง่วงซึม กระสับกระส่าย
Haloperidol decanoate
ผลข้างเคียง
เวียนศีรษะ ง่วงซึม ปากแห้ง กระสับกระส่าย ท้องเสีย เบื่ออาหาร
ไดอะซีแพม (Diazepam)
ผลข้างเคียง
ง่วงซึม นอนไม่หลับ ฝันร้าย ปวดศีรษะ ตามัว มองเห็นภาพซ้อน กลืนลำบาก เดินเซ หายใจลำบาก พูดลำบาก
Diazepam 10 mg IM q 4 hrs prn
คลอโปรมาซีน (Chlorpromazine)
ผลข้างเคียง
ง่วงซึม ปากแห้ง ปวดศีรษะ ผิวหนังไวต่อแสงแดด ตาสู้แสงไม่ได้ บางรายอาจมีอาการข้างเคียงทางระบบประสาท
ภายใต้ชื่อทางการค้า Thorazine
Thorazine 30 mg IM q 6 hrs
การรักษาด้วยไฟฟ้า
โดยทั่วไปจะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยจิตเภทไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา และมีอาการรุนแรง
โดยพิจารณาการรักษาด้วยไฟฟ้าร่วมกับการใช้ยา
ECT 1 course (5 times per week/ 10 weeks)
การรักษาด้านจิตสังคม
การบำบัดที่เน้นการฝึกทักษะ
ทักษะการใช้ชีวิตในชุมชน
ทักษะการดูแลตนเอง
ทักษะทางสังคม
ทักษะการทำงาน
ทักษะการอยู่ร่วมกันภายในบ้าน
ทักษะการพักผ่อน
การบำบัดที่เน้นอารมณ์
การส้รางสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด ( therapeautic relationship)
การทำจิตบำบัดแบบประคับประคอง ( supportive psychotherapy)
การบำบัดที่เน้นผู้ดูแล
การทำกลุ่มสุขภาพจิตศึกษา
การทำจิตบำบัดประคับประคอง
ให้กำลังใจ
การใช้สัมพันธภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด
เพื่อให้ผู้ป่วยโรคจิตเภทรับรู้การสื่อสารเชิงบำบัด เป็นการพัฒนาความสามารถในการปรับตัว
เน้นการสื่อสาร การใช้สัมพันธภาพ และการจัดสิ่งแวดล้อม เพื่อลดความเครียด
การบำบัดที่เน้นการฝึกแก้ปัญหา
เพื่อให้ผู้ป่วยโรคจิตเภทเพิ่มความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็น
ระบบและสามารถวางแผนการแก้ปัญหาและประเมินผลการแก้ปัญหาได้
การป้องกันการเกิดอาการกำเริบ
เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัว มีความรู้ความเข้าใจเรื่องโรค การปฏิบัติตามแผนการรักษา และการดูแล
เพื่อให้ผู้ป่วยทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ และมองอนาคต ความเข้าใจที่มีต่ออาการทางจิต จะช่วยให้ผู้ป่วยมาตรวจตามนัด และมีทัศนะที่ดีต่อการกินยา
การบำบัดที่เน้น Cognitive
สำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภทระยะเรื้อรัง
สำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภทระยะเรื้อรังที่มีอาการหูแว่ว
สำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภทระยะเฉียบพลัน
การบำบัดที่เน้นพฤติกรรม
ชื่นชมผู้ป่วยหรือให้รางวัล เมื่อผู้ป่วยทำพฤติกรรมที่เหมาะสม
เบี่ยงเบนความสนใจของผู้ป่วย เมื่อมีพฤติกรรมก้าวร้าว
สุขภาพจิตศึกษา
เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจเรื่องโรคจิตเภท การรักษา การสังเกตอาการเตือน กาดูแล และการจัดการความเครียด
เพื่อให้ครอบครัวปรับทัศนคติและความคาดหวัง การสื่อสาร และบทบาท ในการดูแลผู้ป่วย
การบำบัดที่เน้นเรื่องการกระตุ้น
ศิลปะบำบัด
ดนตรีบำบัด
การเล่นเกม/เกมคอมพิวเตอร์/เกมกระดาน เช่น หมากรุก
อ้างอิง
: วลักษณ์ สุวรรณไมตรี และคณะ.(2560). คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเภท สำหรับโรงพยาบาลในเขตสุขภาพ (ฉบับพยาบาล/นักวิชาการสาธารณสุข). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : บริษัท วิคทอเรียอิมเมจ จำกัด
อ้างอิง
: ชลธิดา สิมะวงศ์ และคณะ. (2551).
คู่มือการดูเเลผู้ป่วยจิตเภทสำหรับพยาบาล รพท./รพช
. สืบค้นเมื่อ 25 มิถุนายน 2563. จาก
http://www.suanprung.go.th/nurse_book/2.pdf
กุลพร วิสิทธิ์.(2555).
ตอบปัญหาเรื่องยาโดยเภสัชกรหน่วยคลังข้อมูลยา
.สืบค้นเมื่อ 25 มิถุนายน 2563.จาก
https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/QA_full.php
เทคนิคในการสนทนา
พยาบาล
Using General Lead
จากประโยค "
เล่าต่อสิคะ ดิฉันกำลังฟังอยู่
"
ใช้เพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยเปิดเผยเรื่องราว ความคิด ความรู้สึกตนเอง และเป็นการแสดงให้ผู้ป่วยทราบว่า พยาบาลกำลังสนใจ ติดตามเรื่องราว และเข้าใจในสิ่งที่ผู้ป่วยพูด และต้องการให้พูดต่อ
เพื่อช่วยให้มีความคิดอยู่ในความเป็นจริงและป้องกันไม่ให้ผลของความคิดหลงผิดเกิดเป็น
อันตรายต่อผู้ป่วยและผู้อื่น
1.พยาบาลต้องประเมินความคิดของผู้ป่วยว่า มีผลอย่างไรต่อพฤติกรรมและการกระทำของผู้ป่วยเช่นผู้ป่วยคิด ว่าเขาควรจะตายผู้ป่วยจะพยายามฆ่าตัวตาย พยาบาลจึงควรระมัดระวังในประเด็นนี้
2.พยาบาลต้องตระหนักว่า ความคิดของผู้ป่วยเป็นความคิดที่ยึดแน่นและผูู้ป่วยเชื่อว่าเป็นจริงตามนั้น
3.พยาบาลต้องยอมรับในความคิดหลงผิดของผู้ป่วย โดยพยาบาลไม่ควรโต้แย้งหรือท้าทายว่าที่ผู้ป่วยเล่าใหฟ้งนั้นไม่จริงและพยาบาลไม่ต้องปฏิบัติตามที่ผู้ป่วยเชื่อ และไม่ควรนำคำพูดของผู้ป่วยไปพูดล้อเล่น
4.การเข้าไปเปลี่ยนความคิดของผู้ป่วยกระทำได้ยากแต่ถ้ามีความไว้วางใจและเชื่อถือในตัวพยาบาลการแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน ด้วยการให้ความจริง(Present reality) ยังเป็นทียอมยอมรับได้
5.พยาบาลต้องให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธภาพ เพื่อการบำบัดอย่างสม่าเสมอเพื่อเป็นแนวทางให้ผ้ป่วยได้พูดถึงความคิดของเขาได้อย่างอิสระและเพื่อได้ร้บฟังความคิดของผู้ป่วย
6.สำหรับผู้ป่วยที่มีความคิดหลงผิดแบบระแวง พยาบาลควรปฏิบัติดังนี้
6.1 พยาบาลต้องไม่ทำใหผู้ป่วยสงสัยในพฤติกรรมของพยาบาลเพราะผู้ป่วยจะระมัดระวังตัว
6.2 การเข้าไปสนทนากับผู้ป่วยต้องแนะนำตัวและบอกวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
6.3 การปฏิบัติต่อผู้ป่วยต้องคงเส้นคงวา เมื่อมีข้อตกลงต่อกันแล้วจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลง
6.4 หลีกเลี่ยงการเข้าไปจับต้องตัวผู้ป่วยและไม่ควรใช้ภาษาหรือกิริยาที่ก่อใหเ้กิดความสงสัยหรือตีความไดไ้ม่ชัดเจน
Clarifying
จากประโยค "
พวกมันที่คุณพูดถึง หมายถึงใครหรือคะ
"
เป็นการขอคำอธิบายเพิ่มเติมให้เกิดความชัดเจน ในกรณีที่ผู้ป่วยพูดคลุมเครือ ความหมายไม่ชัดเจนเพื่อที่จะสามารถเข้าใจเรื่องราวของผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง
Presenting Reality
จากประโยค
"คุณแนช ในห้องนี้มีคุณกับดิฉันนะคะ ดิฉันไม่เห็นคนอื่นเลยค่ะและดิฉันยังไม่เห็นใครอื่นนอกจากคุณกับดิฉันนะคะ"
เป็นการให้ความจริงแก่ผู้รับบริการในกรณีที่ผู้รับบริการมีความคิดหรือการรับรู้ที่ผิดไปจากความเป็นจริง เช่น มีอาการหูแว่ว ประสาทหลอน แปลความหมายสิ่งเร้าผิดไปจากสภาพความเป็นจริงพยาบาลจะชี้ให้ผู้รับบริการเห็นถึงสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันขณะโดยที่ไม่โต้แย้ง/คัดค้าน/ตำหนิผู้ป่วย
อ้างอิง :
อัญชลี ช. ดูวอล และตติยา ทุมเสน. (2561).
ทักษะการสื่อสารเพื่อการบำบัดสำหรับพยาบาล
Therapeutic Communication Skills for Nurses
. วารสารพยาบาลทหารบก, ปีที่ 19 ฉบับพิเศษ. สืบค้นเมื่อ 25 มิถุนายน 2563.จาก
https://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:Alcjx2pwLC4J:https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JRTAN/article/download/164575/119288/+&cd=2&hl=th&ct=clnk&gl=th