Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เคสกรณีศึกษา การวินิจฉัยแยกโรคระบบทางเดินหายใจ : กลุ่มอาการเหนื่อย ไข้ -…
เคสกรณีศึกษา
การวินิจฉัยแยกโรคระบบทางเดินหายใจ
: กลุ่มอาการเหนื่อย ไข้
ประวัติการเจ็บป่วย
อาการสำคัญ
หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก 2 ชั่วโมงก่อนมารพ.
การเจ็บป่วยปัจจุบัน
2 เดือนที่แล้วมีอาการไอกลางคืน แต่ไม่เหนื่อยหอบ
มารดาบอกว่า ลูกแข็งแรง ไอมากๆ 2 เดือนที่ผ่านมา
2-3 วันก่อนมารพ. มีไข้ต่ำๆ ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ อยู่เฉยๆ ก็ไอ ไอมากเวลากลางคืน รู้สึกแน่นหน้าอกเวลาไอ
2 ชั่วโมงก่อนมารพ. รู้สึกหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก เหงื่อออก (นั่งรถเข็นมาเนื่องจากเดินไม่ไหว)
การเจ็บป่วยในอดีต
7 ปีที่แล้ว หายใจเหนื่อย ไปรพ.เป็นระยะๆ พ่นยาเป็นระยะๆ ปัจจุบันก็ยังพ่น มักพ่นตอนทำกิจกรรม ถ้าไม่พ่นก็จะหายใจไม่ออก มีอาการเจ็บหน้าอกร่วมด้วย เวลาที่ไอเยอะๆ ก็จะหายใจไม่ออก
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
อาการไข้
ส่งตรวจ chest x-ray เพื่อดูพยาธิสภาพที่ปอด จากการตรวจไม่พบ Infiltation ผล chest x-ray ไม่พบพยาธิสภาพของฝีในปอดและไม่พบ cardiomegaly
Acid fast bacilli (AFB) เพื่อดูการติดเชื้อวัณโรค ซึ่งพบว่าผล Negative
ส่งตรวจ CBC เพื่อดูการติดเชื้อในร่างกาย ซึ่งพบว่าผล normal
Electrocardiogram (EKG) เพื่อดูว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นที่หัวใจหรือไม่ ซึ่งพบว่าผล normal
ภาวะหัวใจล้มเหลว
ส่งตรวจ Renal function ซึ่งการทำงานของไตที่ลดลงอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกินและมีอาการ
และอาการแสดงเหมือนภาวะหัวใจล้มเหลว
ส่งตรวจ CXR เพื่อช่วยในการประเมินสภาพปอด จากที่ตรวจร่างกายพบความผิดปกติ
ส่งตรวจ CBC เพื่อประเมินภาวะโลหิตจาง ในประวัติผู้ป่วยที่มีประวัติหายใจเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้
ส่งตรวจ EKG จากการที่ผู้ป่วยมีภาวะ CHF พบ PR และ HR ไม่เท่ากัน มี Total irregularity
แสดงว่าผู้ป่วยมี Atrial Fibrillation การทำ EKG จึงช่วยประเมิน ภาวะหัวใจโตและหัวใจขาดเลือด
ส่งตรวจ Liver function test เนื่องจากมีการคั่งของเลือดในตับ (hepatic congestion) และ ผู้ป่วยตับแข็ง (cirrhosis) อาจมีอาการบวม และเหนื่อยง่าย
ส่งตรวจ echocardiography สำหรับในกลุ่มที่มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจสามารถแยกว่าเป็น กลุ่มที่กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวลดลง หรือกลุ่มที่กล้ามเนื้อหัวใจคลายตัวผิดปกติ
การวินิจฉัยโรคแยกโรคหอบหืดออกจากโรคทางเดินหายใจอย่างอื่น
Bronchitis
จากทฤษฎีโรค bronchitis ในระยะแรกจะไอแห้งๆ และไอมีเสมหะปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ไอจนกล้ามเนื้อเกร็งไปหมด (ไอถี่) จนเจ็บท้อง และอาจมีคอแดงร่วมด้วยแต่ผู้ป่วยรายนี้ก็ไม่พบคอแดง (Not injected) ไม่มีข้อมูลมาสนับสนุนเพียงพอ มีแต่ไอมากเวลากลางคืน ไอแห้งๆ และไม่มีเสมหะ ซึ่งจากทฤษฎีจะพบเสียงหายใจดังวี๊ด (Wheezing) มีอาการแน่นหน้าอก หอบเหนื่อย และในผู้ป่วยรายนี้ก็พบเหมือนกัน
และจากการสอบถามก็ไม่มีประวัติเป็นหวัดมาก่อนหน้าที่จะมีอาการนี้ จากทฤษฎีจะพบค่า CBC ที่สูง ซึ่งผลการตรวจ CBC ของผู้ป่วยรายนี้ก็ปกติ จากข้อมูลและอาการแสดงข้างต้นพบว่าผู้ป่วยรายนี้มีโอกาสเป็นโรค Bronchitis ได้มาก และเป็นชนิด chronic bronchitis เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการไอมาตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้วจนถึงวันที่มารพ.
Pulmonary TB
กรณีศึกษาไม่ได้เป็น pulmonary TB เนื่องจากผู้ป่วยไอ ไม่มีเสมหะ ซึ่งถ้าเป็นอาการของ pulmonary TB จะต้องเป็นอาการไอมีเสมหะเป็นสีเหลืองหรือเขียว ไอออกมาเป็นเลือดสีแดงๆ หรือดำๆ อาจมีเลือดออกมากจนซีด หรือเป็นลม หน้ามืด มือเท้าเย็น ต้องมีไข้ซึ่งมักเป็นตอนบ่าย เย็น หรือตอนกลางคืน
ซึ่งกรณีศึกษาไม่มีประวัติการสัมผัสกับผู้ป่วยวัณโรค ซึ่งจากผลการตรวจร่างกาย Chest X-ray ไม่พบ infiltration การฟังปอดถ้าเป็นpulmonary TB ฟังปอดต้องได้เสียง Crepitation แต่กรณีศึกษาฟังปอดได้ยินเสียง Wheezing ผลตรวจ lab Acid fast bacilli (AFB) ของกรณีศึกษาให้ผล Negative ซึ่งถ้าเป็น pulmonary TB การตรวจ AFB ต้องได้ผล Positive เนื่องการตรวจนี้ทำให้พบแบคทีเรียหลายชนิด แต่แบคทีเรียที่พบได้บ่อยมากที่สุดและมีความสำคัญทางการแพทย์ คือ Mycobacterium Tuberculosis หนึ่งในสปีชีส์ของ Mycobacterium ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันการวินิจฉัย pulmonary TB
COPD
จากกรณีศึกษาอาการของผู้ป่วยไม่สัมพันธ์กับ COPD เนื่องจากผู้ป่วยไอแห้งๆ ไอมากตอนกลางคืนหากเป็น COPD ต้องไอมีเสมหะสีขาวขุ่นเล็กน้อย ไอทุกช่วงเวลาในแต่ละวัน ส่วนอาการหอบเหนื่อย COPD จะต้องเป็นได้ทุกช่วงเวลา เพียงแค่ใช้แรง ก็สามารถอาการกำเริบได้แล้ว แต่ผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้เป็นตลอด จะมีอาการตอนที่ออกกำลังกายและมีการแพ้เกิดขึ้น
ที่สำคัญ คือ ผู้ป่วยอายุยังน้อยซึ่ง COPD มักจะเกิดกับผู้ที่อายุมาก เพราะจะต้องมีการเสื่อมโทรมของปอด และมีประวัติเป็นโรคระบบทางเดินหายใจมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้มีประวัติสูบบุหรี่ไม่ได้มีประวัติว่าเป็น COPD หรือได้รับการรักษาเกี่ยวกับ COP มาก่อน
การตรวจร่างกายไม่พบอกถังเบียร์ Chest X-ray ได้ no infiltrate แสดงว่าไม่พบฝ้าขาวหรือการโป่งพองของถุงลม ในปอด เพราะถ้าเป็น COPD จะมีฝ้าขาว มีจุดดำที่บ่งบอกว่ามีการโป่งพองของถุงลมภายในปอด
CHF
กรณีศึกษาไม่ได้เป็น CHF เนื่องจาก CHF มักพบในผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดมีความผิดปกติ หัวใจต้องทำงานหนักมาก เป็นระยะเวลานานจึงจะทำให้หัวใจวายได้ แต่ผู้ป่วยรายนี้ยังอายุน้อย หากจะเป็นโรค CHF ได้น่าจะต้องเป็นชนิด congenital heart failure แต่ผู้ป่วยก็มีอากาบวมเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และปัจจุบันก็ไม่พบอาการอีก อีกทั้งอาการไอของผู้ป่วยเป็นไอ แห้ง ไม่มีเสมหะ แต่ในผู้ป่วยที่เป็น CHF ลักษณะเสมหะจะเป็นฟองสีชมพู (pink frothy sputum)
อาการเหนื่อย ผู้ป่วยจะเหนื่อยเมื่อมีสิ่งกระตุ้น แต่ในผู้ป่วย CHF จะเหนื่อยมาก เมื่อนอนราบ จากการมีน้ำท่วมปอด นอกจากนี้ยังไม่พบอาการแสดงของโรคหัวใจ อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่มีเส้นเลือดดำที่คอโป่งพอง ฟังปอดได้ยินเสียง Wheezing both lung ไม่ได้ยินเสียง Crepitation และผู้ป่วยไม่มีภาวะบวม ไม่มีน้ำหนักขึ้นเร็ว เช่น มากกว่า1 Kg ต่อวันหรือ 2 Kg ต่อสัปดาห์ ผล Electrocardiogram (EKG) Normal ผล Chest X-RAY ไม่พบ Cardiomegaly
MI
ตัดโรคนี้ออก เนื่องจากอาการของผู้ป่วย ที่ไม่มีอาการเจ็บเค้นหน้าอก เหมือนมีอะไรมาทับไม่มี jugular vein ขึ้น ผลการตรวจ CXR พบว่า normal ไม่มีหัวใจโต ฟังเสียงปอดเป็นเสียง wheezing ไม่ใช่ crepitation
Anemia
จากกรณีศึกษานี้มีโอกาสเป็น Iron deficiency anemia เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการที่ตรงกับ Iron deficiency anemia คือ หายใจเหนื่อยเมื่อออกกำลังกาย มี mild conjunctiva pale จากอาการที่กล่าวมาข้างต้นเป็นอาการบางส่วนที่ตรงกับภาวะ Iron deficiency anemia แต่ยังไม่ได้ตรงกับภาวะ Iron deficiency anemia ทั้งหมด
เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้อธิบายสาเหตุของการเกิดภาวะดังกล่าวมาโดยละเอียด ร่วมกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ปกติ ซึ่งไม่สัมพันธ์กับผลตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ต้องมีค่า MCV, MCH ต่ำ เป็นต้น ทำให้ข้อสันนิษฐานที่ว่าผู้ป่วยเป็นภาวะ Iron deficiency anemia ถูกตัดออกไป
Pneumonia
แต่ผู้ป่วยมีอาการแสดงคือ มีไข้ต่ำๆ ไอแห้งๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับอาการของโรค Pneumonia มีผลตรวจที่ยังไม่บ่งบอกถึงโรค Pneumonia คือ ผลตรวจ CBC ผลเป็น normal แสดงว่าไม่มีการติดเชื้อ แต่โรค Pneumonia จะตรวจพบการติดเชื้อในร่างกาย ส่วนการตรวจร่างกายจะต้องพบเสียง Crepitation แต่กรณีศึกษาไม่พบ
จากกรณีศึกษาคาดว่าไม่ได้เป็น Pneumonia เนื่องจาก Pneumonia (โรคปอดอักเสบ) ติดเชื้อ Bacteria เกิดพยาธิสภาพที่ถุงลมปอด กลีบปอด กระจายเป็นหย่อมๆ จะทำให้มีไข้สูง หนาวสั่น เมื่อมีการอักเสบอาการแสดง คือการมีไข้สูง ไอมีเสมหะ
จากการซักประวัติการเจ็บป่วยไม่พบปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรค Pneumonia เช่นการได้รับยาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน การป่วยเป็นไข้หวัดทั้งตนเองและครอบครัว การทำงานหรือการสัมผัสกับมลพิษ ซึ่งอาการแสดง การตรวจร่างกาย ผลตรวจทางปฏิบัติการ และการซักประวัติของผู้ป่วยไม่สอดคล้องกับโรค Pneumonia
Cirrhosis
น้ำหนักลด 2 kg/wks. เมื่อเปรียบเทียบจากตำราวิชาการผู้ป่วยมีรูปร่างผอมแห้ง ซีด ท้องโตมาก หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง เกิดหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร (Esophageal varices) ซึ่งอาจจะแตกและทำให้ผู้ป่วยอาเจียนเป็นเลือดสดๆ เมื่อ 7 ปีที่แล้ว หายใจเหนื่อย เมื่อเปรียบเทียบจากตำราวิชาการผู้ป่วยจะต้องรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรงฟังปอดจะต้องได้ยินเสียงฟู่หรือ murmur แต่กรณีศึกษานี้ได้ยินเสียง Crepitation both lung
เนื่องจากผลตรวจ CBC normal ไม่สัมพันธ์กับโรค ร่วมกับอาการของผู้ป่วย สัมพันธ์กับโรคนี้น้อยที่สุด เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้มีประวัติการดื่มสุรา ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบจากตำราวิชาการสาเหตุที่จะทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคตับแข็งได้จะต้องมีสาเหตุส่วนหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับการดื่มสุราที่มากเกินไปติดต่อกันนานหลายปี
mild conjunctiva pale เมื่อเปรียบเทียบจากตำราวิชาการผู้ป่วยจะมีต้องมีภาวะซีด ตัว ตาเหลือง (ดีซ่าน) มีประวัติเมื่อ 5 ปีที่แล้ว บวมที่เท้าไม่แน่ใจว่าเกิดจากการเล่นกีฬา เมื่อเปรียบเทียบจากตำราวิชาการ ผู้ป่วยจะต้องมีการบวมที่เท้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เป็นการบวมในครั้งเดียวหรือเป็นครั้งคราวจากการที่เล่นกีฬา อาการบวมที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคตับ มักเกิดขึ้นในระยะท้ายของโรค ร่วม กับอาการบวมน้ำที่ท้อง หรือที่เรียกว่าท้องมาน สาเหตุสำคัญเกิดจากภาวะโปรตีนต่ำในเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีนชนิดอัลบูมิน ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการดึงน้ำกลับเข้าสู่หลอดเลือด โรคตับในระยะท้ายทุกชนิดทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้ และพบได้บ่อยที่สุดในโรคตับแข็ง และมะเร็งตับ
เมื่อตรวจร่างกายจะต้องคลำตับได้มีลักษณะค่อนข้างแข็ง ถ้าเป็นมากจะพบว่า ผู้ป่วยมีรูปร่างผอมแห้ง ซีด ตัว/ตาเหลืองอย่างชัดเจน ท้องโตมาก หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง มือสั่น ม้ามโต ภาวะนิ้วปุ้ม มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง ผลตรวจ lab ส่งตรวจ Liver function test เนื่องจากมีการคั่งของเลือดในตับ (hepatic congestion) และผู้ป่วยตับแข็ง (cirrhosis) อาจมีอาการบวม และเหนื่อยง่าย ทั้งนี้ในเรื่องของผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยังไม่ชัดเจนในเรื่องเลือดรวมถึงการทดสอบการทำงานของตับ (Bilirubin, Creatinine, Liver function tests) รวมไปถึงผลการตรวจชิ้นตับเพื่อยืนยันผล
ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม
การรับรู้ของเพื่อนต่อผู้ป่วย คือ เพื่อนไม่ได้รับรู้ว่าโรคหอบหืด หากผู้ป่วยไม่ได้รับยาพ่นขยายหลอดลมจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่เพื่อนของผู้ป่วยก็ไม่ได้เห็นความสำคัญ ยังมีการแกล้งผู้ป่วยด้วยการแย่งยาพ่นขยายหลอดลมไปขณะที่ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อย
เพื่อนไม่ให้การยอมรับผู้ป่วยในการให้ร่วมเล่นกีฬาบาสเก็ตบอลด้วยเพราะผู้ป่วยชอบการเล่นกีฬา
เพื่อนไม่ได้รับรู้ว่าควันไฟเป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้อาการของโรคหอบหืดกำเริบการไปตั้งแคมป์ในป่า ที่ต้องมีการจุดไฟ และควันไฟทำให้เกิดผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจในผู้ป่วย
เหตุผลที่เลือก โรค Asthma
เพราะจากข้อมูลกรณีศึกษา พบว่าผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงตรงกับตำราที่ค้นคว้ามา คือ ผู้ป่วยมีไข้ต่ำๆ 37.7 องศาเซลเซียส เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์ของผู้ป่วย พบว่ามี Eosinophil สูง
ผู้ป่วยไอเเห้งๆ ไอมากเวลากลางคืน รู้สึกแน่นหน้าอกเวลาไอ มา 2-3 วัน รู้สึกหายใจไม่ออก แน่นหน้าอกมากเวลากลางคืน เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ทำให้เยื่อบุและผนังหลอดลมตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น จากภายใน เช่น สารกระตุ้นต่างๆ ฝุ่นละออง และจากสิ่งแวดล้อมมากกว่าปกติ เช่น ควันไฟ การเล่นบาสของผู้ป่วย ส่งผลให้หายใจไม่สะดวก และมีเสียงหวีด เหนื่อยหอบ ไอเรื้อรัง แน่นหน้าอก โดยเฉพาะตอนกลางคืน
ผู้ป่วยมี crepitation both lung ซึ่งเกิดจากหลอดลมที่ปิดอยู่ในช่วงหายใจออกสุดมีการเปิดออกทันทีในช่วงที่มีการหายใจเข้าซึ่งการปิดของหลอดลมนี้อาจเกิดจากหลอดลม collapse เอง หรือมี fluid, mucous หรือ pus ในหลอดลม เสียงที่ได้ยินมักจะเกิดทุกครั้งของการหายใจ หรือเกิดจาก air bubbles ที่เกิดจากลมวิ่งผ่านน้ำ เสียงมีการเปลี่ยนแปลงไปในการหายใจแต่ละครั้ง quality ของเสียงมีลักษณะหยาบ (coarse) มักเกิดจาก secretion ในหลอดลม ซึ่งการไออาจทำให้เสียงน้อยลงไปได้
ประวัติตามระบบ
ไหลเวียน
เจ็บแน่นหน้าอก
10 ปีที่แล้วบวมที่เท้า
ปอดได้ยินเสียง wheezing
หายใจ
ไข้, ไอ
ปอดได้ยินเสียง wheezing
แน่นหน้าอก
เหนื่อยหอบ
การดูแลตนเองของผู้ป่วย Asthma
ควรกำจัดหรือลดปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ หรือสารกระตุ้นให้เกิดอาการ ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อม รอบตัวให้เหลือน้อยที่สุด
เช่น
ควรซักทำความสะอาด ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน มุ้ง ผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียง ผ้าม่าน อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง
ควรจัดห้องนอนให้โล่ง และมีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่สุด และไม่ควรใช้พรมปูพื้นห้อง พื้นควรเป็นไม้หรือกระเบื้องยาง
ควรนำที่นอน หมอน ผ้าห่ม มุ้ง ผ้าคลุมเตียง มาตากแดดจัดๆทุกสัปดาห์ อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที
ละอองเกสรดอกไม้ หรือของหญ้าและวัชพืช อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ถ้าบริเวณบ้านมีสนามหญ้า ควรให้ผู้อื่นตัดหญ้า และวัชพืชในสนามบ่อยๆ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทุกประเภท รวมทั้งผักและผลไม้
หลีกเลี่ยงหรือกำจัดสิ่งที่แพ้ หรือกระตุ้นทำให้เกิดอาการ โดยใช้วิธีสังเกตว่าสัมผัสกับอะไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมใดหรือรับประทานอะไรแล้วมีอาการ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
พยายามอยู่ห่างจากผู้ที่ไม่สบาย และเมื่อมีการติดเชื้อ เช่น หวัด ไซนัสอักเสบ คอหรือต่อมทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ
การพยาบาลผู้ป่วย asthma
ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพ ระดับความอิ่มตัวของออกซิเจน ทุก 2-4 ชั่วโมง เพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการในรายที่มีอาการรุนแรงควรติดตามระดับออกซิเจนในเลือดแดงร่วมด้วย และในกรณีที่ใช้ยาขยายหลอดลมกลุ่ม SABA ในขนาดสูง ติดต่อกันหลายครั้ง ควรติดตามระดับโพแทสเซียมในเลือด
ประเมินอาการโรคหอบหืดกำเริบเฉียบพลันโดยใช้ SCAS เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของโรค ทุก 2-4 ชั่วโมง
จัดท่านอนศีรษะสูงประมาณ 30 องศา เพื่อให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวก ควรจัดท่านอนกึ่งนั่งเพื่อให้ปอดขยายตัวได้ดีและมีการระบายอากาศที่ดี
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา รักษาระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนให้ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 95% ในกรณีที่เสมหะเหนียวข้น ควรใช้ออกซิเจนชนิดที่มีความชื้นสูง
สังเกตภาวะพร่องออกซิเจน เช่น หายใจ หอบมากขึ้น หายใจลำบาก หายใจหน้าอกบุ๋ม ระดับความรู้สึกตัวลดลง กระสับกระส่าย หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์
ดูแลให้ได้รับยาขยายหลอดลมตามแผนการรักษา ได้แก่ ยาขยายหลอดลมกลุ่ม SABA ซึ่งโดยทั่วไปนิยมให้ทางการสูดดมแบบฝอยละออง (aerosal therapy)