Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
4.3.การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะฉุกเฉินในระยะคลอด - Coggle Diagram
4.3.การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะฉุกเฉินในระยะคลอด
รกค้าง (Retained placenta)
ความหมาย
ภาวะที่รกไม่คลอดภายใน 30 นาทีหลังจากทารกคลอดโดยทั่วไปรกจะคลอดภายใน 10 นาที หลังจากที่ทารกคลอดแล้ว และไม่ควรเกิน 30 นาที ส่วนใหญ่ ร้อยละ 90 รกจะคลอดภายใน 15 นาที มีเพียงร้อยละ 2-3 เท่านั้นที่รกคลอดใช้เวลานานเกิน 30 นาที
ชนิดของรกติด
placenta accreta ชนิดที่ trophoblast ฝังตัวลงไปตลอดชั้นสปอนจิโอซา (spongiosa) ของเยื่อบุมดลูกอาจทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน แต่ไม่ผ่านลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อมดลูก
placenta increta ชนิดที่ trophoblast ฝังตัวลึกผ่านลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อมดลูก แต่ไม่ถึงชั้นซีโรซา (serosa)
placenta percreta ชนิดที่ trophoblast ฝังตัวลึกทะลุชั้นกล้ามเนื้อมดลูกจนถึง serosa
สาเหตุ
การขาดกลไกการลอกตัว
รกปกติ
แต่มดลูกไม่มีการหดรัดตัว รกจึงไม่ลอกตัวหรือลอกตัวได้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งสาเหตุที่พบได้บ่อยที่ทำให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดี มีปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะ (full bladder)มารดาอ่อนเพลีย ขาดอาหารและน้ำ (maternal exhaustion and dehydration)มีระยะการคลอดที่ยาวนาน (prolonged labor)รกเกาะที่บริเวณคอร์นู (cornu) หรือที่มดลูกส่วนล่าง
รกผิดปกติ
ถึงแม้มดลูกจะมีการหดรัดตัวได้ดีตามปกติ แต่รกไม่สามารถลอกออกมาได้ placenta adherens, placenta membranacea, placenta succenturiata
การขาดกลไกการขับดัน
รกลอกตัวแล้วแต่ไม่อาจผ่านออกมาจากโพรงมดลูกส่วนบนได้ เกิดขึ้นเนื่องจากการหดรัดตัวที่ผิดปกติของมดลูก เช่น การหดเกร็งของปากมดลูก (cervical cramp) และคอนสตริกชั่น ริง (constriction ring)
รกลอกตัวแล้ว และผ่านโพรงมดลูกออกมาอยู่ในช่องคลอด เนื่องจากมารดาไม่เบ่งผลักรกที่ลอกตัวแล้ว ให้คลอดออกมาเองตามธรรมชาติของการคลอดรก
สาเหตุส่งเสริม
การทำคลอดรกก่อนรกลอกตัวสมบูรณ์
เคยมีประวัติรกค้าง
เคยทำหัตถการที่ส่งเสริมให้เกิดรกค้าง เช่น ผ่าท้องคลอด ผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออกจากโพรงมดลูก (myomectomy ) หรือเคยขูดมดลูก
มดลูกมีลักษณะผิดปกติ เช่น มีผนังกั้นภายในโพรงมดลูก (bicornuate uterus)
ผลกระทบของภาวะรกค้างต่อมารดา
ตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากรกไม่ลอกตัว และมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
เกิดการติดเชื้อหลังคลอดได้ เนื่องจากชิ้นส่วนของรกตกค้างภายในโพรงมดลูก หรือจากการล้วงรก
มีภาวะเสี่ยงสูงต่อการถูกตัดมดลูกทิ้ง เนื่องจากรกฝังตัวลึกกว่าปกติ
กรณีถูกตัดมดลูก (hysterectomy) จะทำให้หมดโอกาสที่ตั้งครรภ์ต่อไป โดยเฉพาะมารดาที่อายุน้อยและยังต้องการมีบุตร
ผลกระทบของภาวะรกค้างต่อทารก
ทารกได้รับความอบอุ่นจากมารดาล่าช้า
การเสริมสร้างสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารกล่าช้า
การรักษาภาวะรกค้าง
ให้ยาช่วยกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อมดลูกมีการหดรัดตัวและคลายตัวเป็นระยะ ๆ ได้ดีขึ้น ช่วยส่งเสริมกลไกการลอกตัวของรก ทำให้รกลอกตัวออกมาได้
ให้ยาเพื่อให้เกิดการคลายตัวของปากมดลูก ได้แก่
ให้ยาอดรีนาลีน (adrenalin) 1:1,000 จำนวน 0.3-0.5 ซี.ซี. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อให้ยา 20% แมกนีเซี่ยม ซัลเฟต (20% magnesium sulphate) 20 ซี.ซี. ฉีดเข้าเส้นโลหิตช้า ๆ
ถ้าให้ยาแล้วไม่อาจช่วยให้รกลอกตัวสมบูรณ์ และรกไม่สามารถคลอดออกมาได้ แสดงว่ารกฝังตัวลึกต้องช่วยเหลือด้วยการล้วงรก (manual removal of the placenta)
ข้อวินิจฉัย
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะรกค้าง เนื่องจากมีประวัติรกค้าง หรือมีประวัติขูดมดลูก
เสี่ยงต่อภาวะตกเลือด เนื่องจากการหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี หรือรกเกาะบริเวณส่วนล่างของมดลูก
เสี่ยงต่อภาวะตกเลือดหลังคลอดและภาวะมดลูกปลิ้น เนื่องจากรกฝังตัวลึก และทำคลอดรกผิดวิธี
มารดาและครอบครัวมีความวิตกกังวล/กลัว เนื่องจากมีภาวะรกค้าง
การพยาบาล
ซักประวัติเกี่ยวกับสาเหตุส่งเสริมที่ทำให้เกิดภาวะรกค้าง เพื่อวางแผนป้องกันการเกิดภาวะรกค้าง และเตรียมการช่วยเหลือในระยะการคลอดรกอย่างเหมาะสม
ช่วยเหลือการคลอดรกที่ลอกแล้วแต่ค้างอยู่ในช่องคลอด โดยตรวจดูอาการแสดง (signs) ของรกที่ลอกตัวสมบูรณ์ ถ้ามี signs แสดงว่ารกลอกตัวแล้ว แต่ขาดกลไกธรรมชาติที่จะให้รกคลอดออกมาเอง
ช่วยเหลือการคลอดรกที่ยังค้างอยู่ในโพรงมดลูก เมื่อตรวจแล้วไม่มีอาการแสดงของรกลอกตัวสมบูรณ์ ให้ปฏิบัติตามลำดับดังนี้
ตรวจการหดรัดตัวของมดลูก ถ้าไม่มีการหดรัดตัว หรือมดลูกหดรัดตัวไม่แข็งเต็มที่ ควรปฏิบัติดังนี้
สวนปัสสาวะ เพราะการมีปัสสาวะเต็มในกระเพาะปัสสาวะทำให้มดลูกหดรัดตัวได้ไม่ดี เป็นเหตุให้รกไม่อาจลอกตัวได้สมบูรณ์
ถ้าสวนปัสสาวะแล้วมดลูกยังหดรัดตัวไม่ดีขึ้น ควรใช้ฝ่ามือคลึงเบาๆ ที่ยอดมดลูก เพื่อเป็นการกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวดีขึ้น แต่ห้ามคลึงด้วยความรุนแรงเพราะมดลูกอาจเกิดการหดรัดตัวผิดปกติ
ผู้ทำคลอดอาจสอดนิ้วมือเข้าไปในช่องคลอด เพื่อตรวจดูสภาพของปากมดลูกว่ามีการหดเกร็งของปากมดลูก (cervical cramp) จนขัดขวางการเคลื่อนต่ำของรก การสอดนิ้วมือเข้าไปในช่องคลอดต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และทำด้วยความนุ่มนวล เพราะอาจก่อให้เกิดความเจ็บปวดแก่มารดาได้
ลองทำคลอดรกโดยวิธีดึงสายสะดือ (control cord traction)
รายงานแพทย์ เพื่อพิจารณาช่วยคลอดรกโดยการล้วงรก
การคลอดเฉียบพลันและการตกเลือดหลังคลอด
การตกเลือดหลังคลอด (Postpartum Hemorrhage)
การเสียเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 500 มิลลิลิตรจากการคลอดทางช่องคลอดหรือการเสียเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 500 มิลลิลิตรจากการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง หรือร้อยละ 1 ของน้ำหนักตัวของมารดาหลังจากคลอดระยะที่สามสิ้นสุดลง หรือความเข้มข้นของเลือดลดลงร้อยละ 10 ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอดและการสูญเสียเลือดของมารดาจากการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องที่มีปริมาณมากกว่า 1,000 มิลลิลิตร
การจำแนกการตกเลือดหลังคลอด
การตกเลือดหลังคลอดทันที (Early or immediatePPH) หมายถึง การตกเลือดภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด เป็นสาเหตุของภาวะตกเลือดหลังคลอดที่พบได้มาก และบ่อยที่สุดประมาณ 4 6 % ของการตั้งครรภ์ทั้งหมดโดยประมาณ 80 %
การตกเลือดหลังคลอดภายหลัง (Late or delayedPPH) หมายถึง การตกเลือดภายหลัง 24 ชั่วโมงจนถึง6 สัปดาห์หลังคลอด
อาการแสดง
อาจจะไม่มีเลือดออกอย่างมากตั้งแต่ต้น แต่มักจะเป็นลักษณะเลือดออกพอสมควรแต่ไหลออกเรื่อย ๆ จนสามารถทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะขาดเลือดจนทำให้ช็อกได้
ผลของการตกเลือดที่จะเกิดแก่ผู้ป่วยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ ปริมาณเลือดของผู้ป่วยขณะยังไม่ตั้งครรภ์ปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ (ปกติจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 นับจากอายุครรภ์ 30 สัปดาห์ขึ้นไป) และภาวะโลหิตจางในขณะคลอด
ภาวะโลหิตจางในขณะคลอด ในรายที่มีโลหิตจางอย่างรุนแรงอยู่ก่อนการเสียเลือดเพียง 200 ถึง 250 มิลลิลิตรอาจทำให้เสียชีวิตได้
สาเหตุ
Tone คือ สาเหตุเกี่ยวกับความผิดปกติของการหดรัดตัวของมดลูก
-การตั้งครรภ์แฝด (Twins)
-การตั้งครรภ์แฝดน้ำ (Polyhydramnios)
-ทารกตัวโต (Fetal macrosomia)
-การตั้งครรภ์และการคลอดตั้งแต่ 4 ครั้งขึ้นไป (Multiparity)
-การได้รับยากระตุ้นการหดรัด ตัวของมดลูกเป็นเวลานาน (Prolonged oxytocin use)
-การคลอดล่าช้า (Prolonged of labor)
Trauma คือ สาเหตุเกี่ยวกับการฉีกขาดของช่องทางคลอด เช่น การฉีกขาดของปากมดลูก (Tear cervix) ช่องคลอด (Tear vaginal) แผลฝีเย็บ (Tear perineal) รวมถึงการมีเลือดออกใต้ชั้นกล้ามเนื้อ บริเวณช่องทางคลอด (Hematoma)
Tissue คือ สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับรก เยื่อหุ้มรก หรือชิ้นส่วนของรกตกค้างภายในโพรงมดลูก (Retained products of conception) ซึ่งเป็นสาเหตุของการตกเลือด หลังคลอด
Thrombin คือ สาเหตุเกี่ยวกับการแข็งตัว ของเลือดผิดปกติ (Defects in coagulation) พบได้ ประมาณร้อยละ 1 เกิดจากการมีเกล็ดเลือดต่ำทำให้การ แข็งตัวของเลือดผิดปกติ โดยมีปัจจัยส่งเสริมให้เกิดการ แข็งตัวของเลือดผิดปกติ ได้แก่ การมีเลือดออกในขณะ ตั้งครรภ์หรือมีประวัติตกเลือดหลังคลอด (Massive antepartum hemorrhage or PPH) การติดเชื้อ (Sepsis) ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Severe preeclampsia)
ผลกระทบต่อทารก
ศีรษะของทารกได้รับอันตรายจากการรับทารกไม่ทัน
ทารกเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกในสมอง
เสี่ยงต่อการเกิดสายสะดือขาด
แนวทางการป้องกัน4 Rs
1.Recognition and Prevention คือ การ รับรู้และการป้องกัน หมายถึง การ
รับรู้ถึงปัจจัยเสี่ยงของ การตกเลือดและทาการป้องกัน ซึ่งกิจกรรมสำคัญ ประกอบด้วย การประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการตกเลือด จากการซักประวัติ และป้องกันด้วย AMTSL ในระยะ คลอด โดยทำในสตรีตั้งครรภ์ทุกราย
2.Readiness คือ การเตรียมความพร้อม หมายถึง การเตรียมความพร้อมของ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ห้องปฏิบัติการ ธนาคารเลือด ห้องคลอด หน่วยหลังคลอด
3.Response คือ การตอบสนอง หมายถึง การปฏิบัติการดูแลรักษาเมื่อเกิดการตกเลือดหลังคลอด ได้อย่างรวดเร็ว (Rapid response team) และมีระบบ ที่ชัดเจน (Checklist) ซึ่งต้องฝึกปฏิบัติทักษะในการ ช่วยเหลือดูแลภาวะตกเลือดหลังคลอดอย่างสม่ำเสมอ
4.Reporting and Learning คือ การรายงาน และการเรียนรู้ หมายถึง การสร้าง
วัฒนธรรมของการ เห็นความสำคัญของข้อมูลปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยและมี การส่งเวรกัน ทาสรุปหลังเกิดเหตุการณ์ ทบทวน เหตุการณ์ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยไม่กล่าวโทษตัว บุคคล เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันในทีม และติดตาม กระบวนการและผลลัพธ์ของการทบทวน
ข้อวินิจฉัย
มารดามีภาวะตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากมีการคลอดเฉียบพลัน
มีโอกาสเกิดภาวะช็อกเนื่องจากมีภาวะตกเลือดหลังคลอด
ไม่สุขสบายปวดเนื่องจากมดลุกมีการหดรัดตัวถี่และรุนแรง
อ่อนเพลียเนื่องจากเสียพลังงานและสูญเสียเลือดจากการคลอด
การคลอดเฉียบพลัน (Precipitous Labor)
การคลอดที่เกิดขึ้นเร็วผิดปกติ ใช้เวลาตั้งแต่เจ็บครรภ์จนถึงคลอด น้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 ชั่วโมง หรือระยะที่ 2 ของการคลอดใช้เวลาน้อยกว่า 10 นาที หรือมีการเปิดขยายของปากมดลูกในระยะปากมดลูกเปิดขยายเร็ว ๕ เซนติเมตร/ชั่วโมง ในครรภ์แรก และมากกว่า 10 เซนติเมตร/ชั่วโมงในครรภ์หลัง
สาเหตุและปัจจัยส่งเสริม
แรงต้านทานของเนื้อเยื่อช่องทางคลอดไม่ดี
การหัดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกและกล้ามเนื้อหน้าท้องแรงผิดปกติ
ผู้คลอดครรภ์หลัง
ผู้คลอดที่มีเชิงกรานกว้าง
เคยมีประวัติคลอดเฉียบพลันหรือคลอดเร็ว
ผู้คลอดไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดจากการคลอดหรือไม่รู้สึกอยากเบ่งซึ่งพบได้น้อยมาก
ทารกตัวเล็ก
ผู้คลอดไวต่อการใช้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
อาการและอาการแสดง
มีอาการเจ็บครรภ์อย่างมาก มดลูกมีการหดรัดตัวอย่างรุนแรงและถี่มากกว่า 5 ครั้ง ในเวลา 10 นาที ตรวจภายในพบปากมดลูกเปิดขยายเร็ว ครรภ์แรกปากมดลูกเปิดขยายมากกว่าหรือเท่ากับ 5 เซนติเมตร/ชั่วโมง ครรภ์หลัง ปากมดลูกเปิดมากกว่าหรือเท่ากับ 10 เซนติเมตร/ชั่วโมง
ภาวะแทรกซ้อนต่อมารดา
เนื้อเยื่อบริเวณช่องทางคลอดฉีกขาด มดลูกมีการเปลี่ยนแปลงจากขนาดใหญ่มาเป็นขนาดเล็กเร็วเกินไป
ติดเชื้อที่แผลฝีเย็บ
ตกเลือดหลังคลอด เสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอดในระยะ 24 ชั่วโมงแรก จากการสูญเสียเลือดปริมาณมาก เนื่องจากมีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อช่องทางคลอด และมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
อาจเกิดภาวะน้ำคร่ำอุดตันในหลอดเลือด
มดลูกแตกจากการหดรัดตัวของมดลูกอย่างรุนแรง
มีการคั่งของเลือดภายใต้ชั้นผิวหนังที่ฉีกขาด
ภาวะแทรกซ้อนต่อทารก
เลือดออกในสมอง
อาจเกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อแขนถูกดึงมากเกินไป
อาจเกิดภาวะขาดออกซิเจน
ทารกได้รับบาดเจ็บเนื่องจากการกระทบกระแทกเพราะช่วยคลอดไม่ทัน
การรักษา
ให้การดูแลตามอาการ ถ้าประสบกับการคลอดเฉียบพลันให้ช่วยคลอด
การให้ยา รายที่ให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกควรหยุดให้ยาและดูแลอย่างใกล้ชิด อาจให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก รายที่มีการคลอดเฉียบพลันภายหลังคลอดแพทย์มักจะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และให้ยา Methergin หลังคลอดเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
การผ่าตัด ทำในรายที่มีการคลอดเฉียบพลันแต่การขยายของปากมดลูกไม่ดี ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะมดลูกแตก หรือน้ำคร่ำอุดกั้นในกระแสเลือด
ข้อวินิจฉัย
ช่องทางคลอดมีโอกาสเกิดการฉีกขาดมากผิดปกติเนื่องจากการคลอดเฉียบพลัน
ไม่สุขสบายเจ็บครรภ์คลอด เนื่องจากมดลูกมีการหดรัดตัวถี่และรุนแรง
ทารกอาจเกิดอันตรายจากการคลอดเฉียบพลัน
อาจเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดจากการคลอดเฉียบพลันการตกเลือดหลังคลอด