Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
4.3.การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะฉุกเฉินในระยะคลอด - Coggle Diagram
4.3.การพยาบาลมารดาและทารกที่มีภาวะฉุกเฉินในระยะคลอด
ภาวะช๊อคทางสูติศาสตร์
(Shock In Obstetrics)
ความหมาย
ภาวะที่ระบบไหลเวียนเลือดไม่สามารถนาออกซิเจนและไม่สามารถนาของเสียที่เกิดจากการแปรสภาพในเซลล์ (Cellular metabolism) กลับออกมาได้ตามปกติ ทาให้เกิดความผิดปกติในการแปรสภาพ และเยื่อหุ้มเซลล์ เป็นผลให้การทางานของอวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลว ถ้าแก้ไขไม่ทันผู้ป่วยจะถึงแก่ความตายในที่สุด
ชนิดของภาวะช็อค
ภาวะช็อคจากปริมาตรเลือดลดน้อยลง (Hypovolemic shock) แบ่งออกเป็น
1.1 ภาวะช็อคจากการเสียเลือด (Haemorrhagic shock) เกิดเนื่องจากการเสียเลือดมาก มักเกิดร่วมกับการตั้งครรภ์นอกมดลูก การตกเลือดหลังคลอด หรือแท้ง รกเกาะต่า รกลอกตัวก่อนกาหนด มดลูกแตก เป็นต้น
1.2 ภาวะช็อคจากการเสียน้า (Fluid loss shock) เป็นภาวะที่เกิดจากอาเจียนมาก เหลื่อออกมาก ท้องเดิน เป็นต้น
1.3 กลุ่มอาการความดันเลือดต่าในท่านอนหงาย (Supine hypotensive syndrome) เกิดจากมดลูกที่โตจากการตั้งครรภ์ไปกดเบียดหลอดเลือดดา Inferior vena cave
1.4 ภาวะช็อคที่เกิดร่วมกับ Disseminated Intravascular Coagulation เช่น ภาวะน้าคร่าอุดกั้นหลอดเลือด (Amniotic fluid embolism) เด็กตายค้างในมดลูก หรือรกลอกตัวก่อนกาหนด เป็นต้น
ภาวะช็อคจากการติดเชื้อ (Septic shock, Endotoxin shock) เป็นภาวะช็อคที่อาจเกิดร่วมกับการแท้งติดเชื้อ Chorioamnionitis กรวยไตและไตอักเสบ และการติดเชื้อหลังคลอด เป็นต้น
ภาวะช็อคจากการทางานของกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลว (Cardiogenic shock) แบ่งออกเป็น
3.1 การสูญเสียหน้าที่ของเวนตริเคิลซ้ายในการฉีดเลือด เพราะหัวใจหยุดทางาน (Ventricular fibrillation), กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
3.2 การสูญเสียหน้าที่ของเวนตริเคิลในการรับเลือด (Ventricular filling) เช่น ภาวะหัวใจถูกบีบอัด (Cardiac tamponade), Embolism ในปอด (Pulmonary embolism)
ภาวะช็อคจากระบบประสาท (Neurogenic shock) ได้แก่
4.1 จากสารเคมี (Chcmical injury) มักเกิดจากการสูดสาลักเอาสารจากกระเพาะอาหารเข้าปอด
4.2 จากยา เช่น การฉีดยาชาเฉพาะที่เข้าไขสันหลัง
4.3 ภาวะมดลูกปลิ้น ทาให้เกิด Vasomotor collapse
4.4 ภาวะเสียดุลย์เกลือแร่ในร่างกาย มักเกิดจากการขาดโซเดียม
สาเหตุ
การลดลงของปริมาตรในหลอดเลือด (Intravascular volume) พบบ่อยที่สุด
การลดลงของปริมาณเลือดจากหัวใจต่อนาที (Cardiac output)
ความผิดปกติในระบบไหลเวียนฝอย (Micro circulation)
ความผิดปกติของเยื่อหุ้มเซลล์
อาการและอาการแสดง
ภาวะช็อคปฐมภูมิ (Primary shock)
ช่วงแรก
ภาวะการรู้สึกตัว กระวนกระวาย ผิวหนังปกติอบอุ่น ชีพจรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยความดันโลหิตต่าลงเล็กน้อยการหายใจหอบเล็กน้อยความดันโลหิตเมื่อได้รับสารน้าแล้วเพิ่มขึ้นจานวนปัสสาวะออกมากขึ้น
ช่วงหลัง
ไม่ค่อยรู้เรื่อง ซีด เย็น ชีพจร100 – 120 /นาที ความดันโลหิตต่าปานกลางการหายใจหอบความดันโลหิตเมื่อได้รับสารน้าแล้วเพิ่มเล็กน้อยจานวนปัสสาวะออกมากขึ้นเล็กน้อย
ภาวะช็อคทุติยภูมิ
(Secondary shock)
ภาวะการรู้สึกตัวไม่รู้สติผิวหนังเขียว เย็นชีพจรเบาเร็ว > 120/นาทีความดันโลหิตต่ามากการหายใจหอบและเขียวความดันโลหิตเมื่อได้รับสารน้าแล้วไม่เปลี่ยนแปลงจานวนปัสสาวะไม่เปลี่ยนแปลง
การรักษา
เจาะเลือดจากหลอดเลือดแดงเพื่อตรวจ pH ของเลือด ออกซิเจนในเลือดและ CO2 ในเลือด
ให้สารน้า หรือให้เลือด
ให้ยาเพื่อให้หลอดเลือดตีบตัว
ให้ออกซิเจน
รีบผ่าตัดหรือช่วยห้ามเลือด
การพยาบาล
วัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที
ขอความช่วยเหลือจากบุคลากรอื่นในทีมสุขภาพ
จัดให้มารดาอยู่ในท่านอนหงายราบและดูแลไม่ให้ทางเดินหายใจถูกปิดกั้น
ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมาสู่อวัยวะส่วนปลายแขน ปลายขา
ยกปลายเท้าให้สูงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดมาสู่หัวใจ
ให้สารน้าทางหลอดเลือดดา
สวนคาและบันทึกจานวนปัสสาวะ
ให้ออกซิเจน 6 – 8 ลิตร/นาที
ให้ความช่วยเหลือตามสาเหตุที่ทาให้เกิดภาวะช็อค
ภาวะสายสะดือพลัดต่าหรือสายสะดือโผล่
(Prolapse of Cord)
ความหมาย
ภาวะที่สายสะดือเคลื่อนลงมาอยู่ต่ากว่าส่วนนาของทารกอาจอยู่ในช่องคลอด หรือโผล่ออกมานอกปากช่องคลอด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังจากมีการแตกของถุงน้าคร่า
ชนิด
Occult (Hidden) prolapse of cord หมายถึง สายสะดือเคลื่อนต่าลงมาพอที่จะถูกส่วนนาของทารกกดได้
Forelying cord หมายถึง สายสะดือเคลื่อนต่าลงมาจนถึงปากมดลูก ถ้าตรวจภายในจะสามารถคลาพบสายสะดือได้
Complete prolapse of cord หมายถึง สายสะดือพลัดออกมาจนพ้นปากมดลูก ในกรณีที่ถุงน้าแตกแล้วจะสามารถมองเห็นสายสะดือโผล่พ้นออกมาจากปากช่องคลอด
สาเหตุ
ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าก้น (Breech presentation) ท่าขวาง (Transverse lie)
ตั้งครรภ์แฝดเด็กหรือแฝดน้า
ทารกมีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ (Small for gestational age)
ส่วนนาไม่กระชับกับช่องทางคลอด
ถุงน้าแตกก่อนกาหนด
การคลอดก่อนกาหนด
สายสะดือยาวกว่าปกติ โดยเฉพาะถ้ายาวเกิน 75 ชม. จะทาให้พลัดต่าได้ง่าย
รกเกาะต่าทาให้สายสะดืออยู่ใกล้กับปากมดลูก
ผลกระทบต่อมารดา
ผลกระทบต่อมารดาส่วนใหญ่มักเกิดจากการได้รับยาสลบจากการช่วยคลอด เช่น การผ่าตัดทารกออกทางหน้าท้อง หรือการใช้คีม (Forceps extraction) นอกจากนี้หากทารกเสียชีวิตมารดาจะประสบกับภาวะเศร้าโศก เสียใจ ได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจ จากการเกิดความสูญเสีย
ผลกระทบต่อทารก
ภาวะสายสะดือพลัดต่าจะคุกคามต่อชีวิตทารก เนื่องจากการกดสายสะดือจะเป็นการตัดการไหลเวียนของเลือดจากรกมาสู่ทารก ซึ่งเป็นสาเหตุทาให้ทารกขาดออกซิเจนและถึงแก่ชีวิตได้
อาการและอาการแสดง
ถ้าเป็นชนิด Complete prolapse cord จะพบว่าสายสะดือโผล่ออกมาจากช่องคลอด หรือมารดามีความรู้สึกขัดตุงบริเวณช่องคลอดภายหลังจากถุงน้าแตก
ตรวจภายในพบสายสะดือพลัดต่ากว่าส่วนนาของทารก โดยอาจตรวจพบการเต้นของหัวใจทารกบริเวณสายสะดือ
ถ้าสายสะดือพลัดต่าเป็นชนิด Occult prolapse cord จะไม่พบส่วนของสายสะดือโผล่ออกมาหรือคลาไม่ได้ แต่จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจทารก ซึ่งอ่านผลจากเครื่อง Monitor พบ Variable deceleration หรือมี Bradycardia ถ้าหากสายสะดือถูกกดอยู่นาน
การวินิจฉัย
จากอาการและอาการแสดง
จากการประเมินพบการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจทารกเป็นชนิด Variable deceleration
การรักษา
สวมถุงมือ Sterile แล้วดันส่วนนาไม่ให้กดทับบริเวณสายสะดือจนกว่าการคลอดจะสิ้นสุดลง
ห้ามดันสายสะดือที่โผล่พ้นออกจากช่องคลอดกลับเข้าไปใหม่ ควรใช้ผ้า Sterile นุ่ม ๆ ชุบน้าเกลือที่อุ่น ๆ คลุมบริเวณสายสะดือที่โผล่ออกมา
พยายามช่วยให้ทารกคลอดออกมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทาได้ ถ้าปากมดลูกยังเปิดไม่เต็มที่ แพทย์จะผ่าตัดทารกออกทางหน้าท้อง แต่ถ้าปากมดลูกเปิดเต็มที่แล้ว และทารกอยู่ในท่า Vertex presentation หรือปากมดลูกเปิดเกือบหมด ส่วนใหญ่แพทย์จะช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ หรือใช้คีม (Vacuum or Forceps extraction) เพื่อให้มารดาได้รับความบอบช้าน้อยที่สุด
ให้ออกซิเจนแก่มารดา 8 – 10 ลิตร/นาที
ถ้าหากทารกเสียชีวิตแล้ว แพทย์จะช่วยให้การคลอดเป็นไปตามธรรมชาติ หรืออาจช่วยคลอดโดยการใช้คีม
พยายามลดการกดทับของส่วนนาบนสายสะดืออย่างทันทีทันใด โดยจัดให้มารดานอนในท่ายกก้นสูง อาจเป็นท่า Trendelenburg หรือ Knee – chest หรือใช้หมอนหนุนบริเวณสะโพกให้สูงขึ้น (Sim’s position)
ภาวะมดลูกแตก (Uterine Rupture)
ความหมาย
การฉีกขาด การแยก การแตก หรือการทะลุของมดลูกขณะตั้งครรภ์ ขณะเจ็บครรภ์คลอด หรือขณะคลอด หลังจากที่ทารกโตพอที่จะมีชีวิตอยู่ได้ หรือหลังจากอายุครรภ์ ๒๘ สัปดาห์ ซึ่งไม่นับการแตกของมดลูกที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ มดลูกแตกส่วนมากมักเกิดในระหว่างการเจ็บครรภ์คลอด มีจานวนน้อยที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์หรือในระยะใกล้กาหนดคลอด
สาเหตุของมดลูกแตก
มดลูกแตกเอง (spontaneous rupture of the intact uterus)
มดลูกแตกจากการได้รับการกระทบกระเทือน (Traumatic rupture of the intact uterus)
มดลูกแตกจากรอยแผลเดิม (Rupture previous uterus scar)
ชนิดของมดลูกแตก
มดลูกแตกตลอดหมดหรือแตกชนิดสมบูรณ์ (complete uterine ruptured)
การฉีกขาดของมดลูกทั้ง ๓ ชั้นของผนังมดลูก ได้แก่ เยื่อบุมดลูก (endometrium), กล้ามเนื้อมดลูก (myometrium) และเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของมดลูก (perimetrium หรือ serosa) และแตกทะลุชั้นเยื่อบุช่องท้อง (peritoneum) ทาให้เปิดต่อต่อกับช่องท้อง ทารกจึงหลุดออกไปอยู่ในช่องท้องบางส่วนหรือทั้งหมด ส่วนใหญ่จะพบว่าทารกมีสภาพเสียชีวิต
มดลูกแตกบางส่วน (incomplete uterine ruptured)
การฉีกขาดของมดลูกชั้นเยื่อบุมดลูก (endometrium), กล้ามเนื้อมดลูก (myometrium) แต่ไม่ทะลุชั้นเยื่อบุช่องท้อง peritoneum ทารกยังคงอยู่ภายในโพรงมดลูก และส่วนมากมักมีชีวิตอยู่ มักเกิดกับรอยแผลเก่าบนผนังมดลูก อาจไม่พบเลือดออก แต่จะพบเมื่อทาการผ่าตัดคลอด
อาการและอาการแสดง
ก่อนมดลูกแตก
๑. เจ็บปวดบริเวณท้องน้อยอย่างรุนแรง
๒. กระสับกระส่าย PR เบาเร็ว RR ไม่สม่าเสมอ
๓. การคลอดไม่ก้าวหน้า ปากมดลูกไม่เปิดขยายต่อและส่วนนาของทารกไม่เคลื่อนต่าลงมา PV พบปากมดลูกอยู่สูงขั้นจากการถูกดึงรั้งขึ้นไป ปากมดลูกบวม หัวทารกเป็น caput succedaneum
๔. มองเห็นหน้าท้องเป็นสองลอนสูงขึ้นเกือบถึงระดับสะดือ (Bandl’s ring) เนื่องจากมดลูกส่วนบนหดรัดตัวดึงมดลูกส่วนล่างให้ตามขึ้นไป มดลูกส่วนล่างจึงยืดขยายออกและบางลงมาก มารดาจะเจ็บปวดมากจนแตะต้องบริเวณนี้ไม่ได้
๕. มีการหดรัดตัวถี่และรุนแรงของมดลูก (tetanic contraction)
๖. ทารกในครรภ์เกิด fetal distress อาจพบ FHS ไม่สม่าเสมอ
๗. อาจมีเลือดออกทางช่องคลอด
เมื่อมดลูกแตกแล้ว
๑.เจ็บปวดบริเวณมดลูกส่วนล่างอย่างรุนแรงและมารดารู้สึกว่ามีการฉีกขาดของอวัยวะภายใน
๒. คลำพบส่วนของทารกชัดเจนขึ้น
๓. ถ้ามดลูกแตกขณะเจ็บครรภ์ อาการเจ็บครรภ์จะหายไปทันที
๔.อาจพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดจานวนเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่เลือดจะออกไปอยู่ในช่องท้อง
๕.ท้องโป่งตึงและปวดท้องอย่างรุนแรงจากเลือด น้าคร่า และบางส่วนของทารกระคายเยื่อบุช่องท้อง
๖.FHS เปลี่ยนแปลงโดยอาจช้าหรือเร็ว หรือหายไป
๗.PV พบส่วนนาลอยอยู่สูงขึ้นจากเดิม
๘.มีภาวะ Hypovolemic shock ได้แก่ กระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่าลง ตัวเย็น เหงื่อออก หายใจไม่ออก และหมดสติ เนื่องจากเสียเลือดมาก
๙.ผู้คลอดจะเจ็บบริเวณหน้าอก
ผลกระทบต่อผู้คลอด
ผู้คลอดอาจมีอาการแสดงของการเสียเลือดจนช็อก หรือเจ็บบริเวณท้องมาก อาจเกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบได้ รวมทั้งผู้คลอดจะมีความวิตกกังวลมาก เนื่องจากห่วงทารกในครรภ์และอาการของตนเอง
ผลกระทบต่อทารก
ทารกจะมีการขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง หรือได้รับบาดเจ็บจากการคลอดฉุกเฉินทั้งจากการผ่าตัดคลอดหรือใช้หัตถการช่วยคลอด และอาจเสียชีวิตได้ ถ้าการช่วยเหลือไม่เป็นไปอย่างรีบด่วน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
หญิงตั้งครรภ์เสี่ยงต่อภาวะมดลูกแตก เนื่องจากเคยผ่าตัดคลอดทารกออกทางหน้าท้อง
เตรียมมารดาผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง เนื่องจากมารดาและทารกเสี่ยงต่อการได้อันตรายจากภาวะมดลูกแตก
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะช็อกเนื่องจากเสียเลือดมากจากภาวะมดลูกแตก
การพยาบาลเมื่อเกิดภาวะมดลูกแตก
๑. งดน้าและอาหารทางปาก ดูแลให้สารน้าทางหลอดเลือดดาตามแผนการรักษาอย่างเพียงพอ ติดตามและรายงานสูติแพทย์ทราบ
๒. ประเมินสัญญาณชีพและเสียงหัวใจทารกทุก ๕ นาที
๓. ดูแลให้ได้รับออกซิเจนร้อยละ ๑๐๐
๔. ประเมินเลือดที่ออกทางช่องคลอด
๕. ประเมินอาการและอาการแสดงของการตกเลือดและอาการแสดงของภาวะช็อก
๖. ดูแลให้ได้รับเลือดทดแทนตามแผนการรักษา
๗. เตรียมผู้คลอดให้พร้อมสาหรับการผ่าตัดคลอด เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพทั้งของผู้คลอดและทารก รวมทั้งรายงานกุมารแพทย์
๘. ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อภายในช่องท้องตามแผนการรักษา
๙. เฝ้าระวังภาวะตกเลือด เช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดปกติ
๑๐. ปลอบโยนให้กาลังใจผู้คลอดและครอบครัวและเปิดโอกาสให้พูดแสดงความรู้สึกหรือซักถามในกรณีที่สูญเสียบุตร
การรักษา
๑. ถ้ามีภาวะช็อค ให้ Ringer’s lactate solution เตรียมเลือดให้พร้อมและให้ออกซิเจน
๒. เตรียมผู้คลอดเพื่อทาผ่าตัดและตามกุมารแพทย์เพื่อช่วยฟื้นคืนชีพทารก
๓. การผ่าตัด ในรายที่รอยแตกไม่มาก ไม่กระรุ่งกระริ่งและผู้คลอดต้องการมีบุตรอีกจะเย็บซ่อมแซมมดลูก และถ้าเย็บซ่อมแซมได้และไม่ต้องการมีบุตรให้ทาหมัน กรณีที่เย็บซ่อมแซมไม่ได้ตัดมดลูกทิ้ง กรณีที่เลือดไม่ยอมหยุดอาจจะต้องทา bilateral hypogastrics arteries ligation
๔. ให้เลือดและยาปฏิชีวนะ
๕. ในกรณีที่ทารกเสียชีวิต ต้องให้การดูแลสุขภาพจิตของผู้คลอดและครอบครัว