Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 9 การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิด ที่มีภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพ -…
บทที่ 9 การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิด
ที่มีภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพ
การบาดเจ็บจากการคลอด
(Birth Injury)
การบาดเจ็บที่ศีรษะทารก (Skull injuries)
ภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดออกกดศูนย์หายใจทำให้ทารกหายใจลำบาก
ทารกอาจเกิดปัญญาอ่อน (mental retardation)
อาการและอาการแสดง
ูดนมไม่ดี หรือไม่ยอมดูดนม
ร้องเสียงแหลม
ซึม ไม่ร้อง
การหายใจผิดปกติ มีหายใจเร็ว ตื้น ช้า ไม่สม่ำเสมอ หรือหยุดหายใจ
มีภาวะซีด หรือมีอาการเขียว (cyanosis)
กระหม่อมโป่งตึง
กำลังกล้ามเนื้อไม่ดี มีอาการอ่อนแรง
ชัก
Reflex ลดน้อยลงหรือไม่มี โดยเฉพาะ moro reflex จะเสียไป
สาเหตุ
ภาวะขาดออกซิเจนเป็นเวลานานในขณะคลอดหรือเกิดภายหลังคลอด
การได้รับอันตรายรุนแรงจาการคลอด
ทารกคลอดก่อนกำหนด
แนวทางการรักษา
ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายทารกถ้าตัวเย็น
ดูแลให้ได้รับยาระงับการชัก และให้วิตามินเค
ถ้ามีความดันในกะโหลกศีรษะสูง อาจได้รับการรักษาโดยเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อบรรเทาอาการความดันในสมอง
ดูแลให้ออกซิเจนถ้าทารกมีภาวะพร่องออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับนมและน้ำอย่างเพียงพอ
บทบาทการพยาบาล
ดูแลให้ได้รับนมและน้ำที่เพียงพอ
ให้ทารกอยู่ในตู้อบ (incubator)
กรณีที่ให้ออกซิเจน ควรสำรวจปริมาณออกซิเจนที่ทารกได้รับความไม่ควรเกิน 40% หรือตามแผนการรักษา และให้ออกซิเจนที่มีความชื้นปนเพื่อช่วยละลายเสมหะ
เตรียมเครื่องมือในการให้ความช่วยเหลือทารกไว้ให้พร้อม ได้แก่ เครื่องดูดเสมหะ ลูกยางแดง ออกซิเจน laryngoscope endotracheal tube และเครื่องช่วยหายใจ
ดูแลให้ทารกหายใจสะดวกและได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
จัดให้นอนราบ ศีรษะตะแคงไปด้านใดหน้าหนึ่ง
ดูดสิ่งคัดหลั่งจากปากและจมูกให้หมด
ตรวจสอบสัญญาณชีพ และบันทึกไว้ทุก 2- 4 ชั่วโมง
ป้องกันและไม่ให้ทารกได้รับอันตรายจากการชัก จัดวางเตียงของทารกไว้บริเวณที่พยาบาลสังเกตอาการทารกได้ง่าย
ดูแลให้ทารกได้พักผ่อน รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
ดูแลฉีดวิตามินเค จำนวน 1 มิลลิกรัม เข้ากล้ามเนื้อเพื่อป้องกันเลือดที่จะออกเพิ่ม
ประคับประคองจิตใจมารดาและบิดาเพื่อลดความวิตกกังวล
ให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การให้ความรู้แก่มารดาในการดูแลทารกให้เหมาะสมกับเศรษฐานะของครอบครัว การให้ยา การดูแลเมื่อเจ็บป่วย
ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อน
ในรายที่มีอาการรุนแรง ก้อนโนเลือดมีขนาดใหญ่ จะเกิดภาวะระดับบิลลิรูบินในเลือดสูง (hyperbilirubinemia)
อาการและอาการแสดง
จะปรากฏให้เห็นชัดเจนหลัง 24 ชั่วโมงไปแล้ว
ลักษณะการบวมจะมีขอบเขตชัดเจนบนบริเวณกระดูกกะโหลกศีรษะชิ้นใดชิ้นหนึ่ง
ในรายที่เป็นรุนแรงอาจพบอาการแสดงทันทีหลังเกิดและพบว่า
ก้อนโนเลือดมีสีผิดปกติ คือ เป็นสีดำหรือน้ำเงินคล้ำ
อาจพบว่าทารกมีภาวะซีดได้จากการสูญเสียเลือดมาก
สาเหตุ
เกิดจากมารดามีระยะเวลาการคลอดยาวนาน
ศีรษะทารกถูกกดจากช่องทางคลอดหรือ
การใช้เครื่องดูดสูญญากาศช่วยคลอด
แนวทางการรักษา
ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก้อนโนเลือดจะค่อยๆหายไปเองได้ แต่อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน โดยปกติจะค่อยๆหายเองภายใน 2 เดือน
แต่ถ้ามีภาวะตัวเหลืองร่วมด้วยและมีระดับบิลลิรูบินในเลือดสูงจำเป็นต้องได้รับการส่องไฟ (phototherapy)
บทบาทการพยาบาล
ให้ทารกนอนตะแคงด้านตรงข้ามกับก้อนโนเลือด
สังเกตอาการซีด การเจาะหาค่า Hct และดูแลให้เลือดตามแผนการรักษาของแพทย์
สังเกต ลักษณะ ขนาด และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เกี่ยวกับภาวะเลือดออกในสมอง
ดูแลเกี่ยวกับการหาค่า microbilirubin ถ้ามีภาวะตัวเหลือง ให้การพยาบาลทารกที่ได้รับการส่องไฟ
อธิบายมารดาและบิดาให้เข้าใจถึงอาการที่เกิดขึ้นของทารกเพื่อลดความวิตกกังวล และแนะนำไม่ใช้ใช้ยาทา ยานวด ประคบหรือเจาะเอาเลือดออกเอง
ภาวะก้อนบวมน้ำใต้หนังศีรษะ
อาการและอาการแสดง
สังเกตพบได้ด้านข้างของศีรษะ ลักษณะการบวมของก้อนโนนี้จะมี
ความกว้างและมีขนาดโตประมาณไข่ห่าน ทำให้ศีรษะมีความยาวมากกว่าปกต
บทบาทการพยาบาล
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทของทารก
อธิบายให้มารดาและบิดาเข้าใจถึงอาการที่เกิดขึ้นเพื่อคลายความวิตกกังวล
สังเกตลักษณะ ขนาด การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ของก้อนบวมโนที่ศีรษะ
บันทึกอาการและการพยาบาล
สาเหตุ
เกิดจากแรงดันที่กดลงบนศีรษะทารกระหว่างการคลอดท่าศีรษะ ทำให้มีของเหลวไหลซึมออกมานอกหลอดเลือดในชั้นใต้เยื่อหุ้มหนังศีรษะ หรือมีสาเหตุมาจาการใช้เครื่องดูดสุญญากาศช่วยคลอด
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงจากทารก
ทารกมีขนาดตัวโตมากทำให้เกิดการคลอดยาก
อายุครรภ์ของทารกไม่ครบกำหนด หรือเกินกำหนด
ทารกมีส่วนนำผิดปกติ
การคลอดไหล่ยาก
ทารกมีความพิการแต่กำเนิด
ปัจจัยเสี่ยงจากการคลอด
การคลอดด้วยคีม หรือเครื่องดูดสุญญากาศ
การใช้แรงดึงมากเกินไปในการช่วยคลอดทารก
ปัจจัยเสี่ยงจากมารดา
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์
ระยะเวลาของการคลอด
ความผิดปกติที่มีมาก่อนการตั้งครรภ์
ปัจจัยเสี่ยงจากผู้ทำคลอด
ขาดความชำนาญหรือขาดการเอาใจใส่อย่างเพียงพอ
การบาดเจ็บของกระดูก (Bone injuries)
กระดูกต้นแขนหัก
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าทารกจะไม่งอแขน เมื่อจับแขนขยับทารกจะร้องไห้เนื่องจากรู้สึกเจ็บ
อาการและอาการแสดง
ในรายที่มีกระดูกหักสมบูรณ์ (complete) อาจได้ยินเสียงกระดูกหักขณะคลอด แขนข้างที่หักจะมีอาการบวมและทารกไม่เคลื่อนไหวแขนข้างที่หักเนื่องจากรู้สึกเจ็บ
สาเหตุ
การคลอดท่าก้น ผู้ทำคลอดดึงทารกออกมา แขนเหยียดหรือการคลอดท่าศีรษะที่ไหล่คลอดยาก
แนวทางการรักษา
ถ้าอาการไม่รุนแรงเป็นเพียงกระดูกแขนเดาะ จะรักษาโดยการตรึงแขนให้
แนบกับลำตัวเพื่อไม่ให้แขนเคลื่อนไหว 1-2 สัปดาห์
แต่ถ้าหากกระดูกแขนหักสมบูรณ์ จะรักษาโดยการจับแขนตรึงกับผนังทรวงอก ศอกงอ 90 องศา แขนส่วนล่างและมือทาบขวางลำตัวใช้ผ้าพันรอบแขนและลำตัวหรือใส่เฝือกอ่อนจากหัวไหล่ถึงสันหมัด
กระดูกไหปลาร้าหัก
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าแขนทั้งสองข้างของทารก
เคลื่อนไหวไม่เท่ากัน โดยทารกจะยกแขนข้างที่ดีได้เท่านั้น
อาการและอาการแสดง
ทารกจะมีอาการหงุดหงิดหรือร้องไห้เมื่อสัมผัสบริเวณที่กระดูกหัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจับใต้แขนยกตัวทารกขึ้น
อาจพบว่ามีอาการบวมห้อเลือด (ecchymosis) ตรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
ทารกเคลื่อนไหวแขนข้างที่กระดูกไหปลาร้าหักน้อยหรือไม่เคลื่อนไหวเลย
ปมประสาทใต้ไหปลาร้า (brachial plexus) ของทารกอาจได้รับอันตรายร่วมด้วย
บางรายหลังจากจำหน่ายทารกกลับบ้านไปแล้วหลายสัปดาห์ พบว่าอาจมีก้อนนูนที่ไหปลาร้าหรือคลำได้ก้อนแข็ง ซึ่งแสดงถึงการมีกระดูกเกิดขึ้นใหม่แทนที่กระดูกที่หัก
สาเหตุ
การคลอดทารกท่าศีรษะที่ไหล่คลอดยาก ทารกตัวโตหรือคลอดท่าก้นที่แขนเหยียดซึ่งผู้ทำคลอดดึงแขนออกมา
แนวทางการรักษา
ส่วนใหญ่หายได้เองค่อนข้างเร็ว มักเกิดกระดูกงอกใหม่ภายใน 1 สัปดาห์
รักษาโดยให้แขนและไหล่ด้านที่กระดูกไหลปลาร้าหักอยู่นิ่ง ๆ โดยการกลัดแขนเสื้อติดกับตัวเสื้อประมาณ 10 – 14 วัน
กระดูกต้นขาหัก
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าทารกไม่ยกขา และสังเกตว่าทารกจะไม่เคลื่อนไหวขาข้างที่หัก
อาการและอาการแสดง
อาจได้ยินเสียงกระดูกหักขณะทารกคลอด
อาจไม่ทราบว่ากระดูกหักจนเวลาผ่านไปหลายวันจะพบว่าขาทารกมีอาการบวมเนื่องจากเลือดเข้าไปในกล้ามเนื้อใกล้เคียงบริเวณที่หัก
เมื่อจับทารกเคลื่อนไหวหรือถูกบริเวณที่กระดูกต้นขาหักทารกจะร้องไห้เพราะรู้สึกเจ็บ
สาเหตุ
การคลอดท่าก้น ผู้ทำคลอดดึงขาทารกขณะที่ติดอยู่ที่ทางเข้าเชิงกราน
แนวทางการรักษา
ถ้ากระดูกไม่หักแยกจากกัน (incomplete) รักษาโดยการใส่เฝือกขายาว ประมาณ 3 -4สัปดาห์
ถ้ากระดูกหักแยกจากกัน (complete) รักษาโดยการห้อยขาทั้งสองข้างไว้กับราวที่ขวางปลายเตียง ขาเหยียดตรง ให้ก้นและสะโพกลอยจากพื้นเตียง ดึงขาไว้นาน 2-3 สัปดาห์
บทบาทการพยาบาลทารกที่มีอาการบาดเจ็บของกระดูก
ดูแลให้ทารกได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ
ดูแลความสุขสบายจากการขับถ่าย ป้องกันการระคายเคืองจากอุจจาระและปัสสาวะ
ดูแลให้ได้รับความสุขสบาย และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเพิ่ม
ดูแลให้ความอบอุ่นทางด้านจิตใจแก่ทารก
จัดกิจกรรมการพยาบาลไม่ให้เคลื่อนไหวร่างกายทารกบ่อย ๆ
ดูแลบรรเทาความวิตกกังวลของมารดาและบิดา
ดูแลไม่ให้กระดูกส่วนที่หักเคลื่อนไหว และจัดให้บริเวณที่หักอยู่ในท่าที่ถูกต้องตามแผนการรักษา
การบาดเจ็บของเส้นประสาท
การบาดเจ็บของเส้นประสาท
การตรวจร่างกาย
ในรายที่เป็น Erb Duchen Paralysis ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex)พบว่า แขนข้างที่เป็นยกขึ้นไม่ได้หรือยกได้น้อย การเคลื่อนไหวและการงอของแขนลดลง การตอบสนองต่อการกำมือ (grasp reflex) ปกติ
ส่วนในรายที่เป็น Klumpke’ s paralysis ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (mororeflex) พบว่า ไหล่และแขนส่วนบนเหยียดกางออกเป็นปกติ แต่ข้อมือ นิ้วมือตกไม่มีแรง ทดสอบการตอบสนองต่อการกำมือจะไม่ตอบสนองต่อการกำมือ
แนวทางการรักษา
ทำกายภาพบำบัด
ถ้าไม่หายอาจต้องทำศัลยกรรมซ่อมประสาท
ให้แขนไม่เคลื่อนไหว ในท่ากางหมุนแขนออก ข้อศอกตั้งฉากกับลำตัว
อาการและอาหารแสดง
กล้ามเนื้อแขนข้างที่เป็นจะอ่อนแรง วางแนบลำตัว ศอกเหยียด แขนช่วงล่างหมุนเข้าด้านใน มือคว่ำ ทารกไม่สามารถวางแขนเหยียดออกจากไหล่หรือหมุนแขนออกด้านนอกกและหงายแขนส่วนล่างได
ข้อมือตก นิ้วคลายกำมือไม่ได้ เรียกว่า Klumpke’ s paralysis
การพยาบาล
ดูแลความสุขสบายและการผ่อนคลายให้ทารกที่ต้องตรึงแขน
ดูแลตอบสนองความต้องการทั้งด้านร่างกายและจิตใจจากการที่ทารกถูกจำกัดการเคลื่อนไหว
ดูแลให้แขนที่ได้รับอันตรายได้ออกกำลัง หลังจากการรักษาพยาบาลในช่วงแรกดีขึ้นและส่งกายภาพบำบัด
ช่วยให้มารดาและบิดามั่นใจในการดูแลทารก
ดูแลให้ส่วนที่ได้รับอันตรายไม่เคลื่อนไหว โดยจัดแขนให้อยู่ในท่าตามแผนการรักษา ในท่าที่ผ่อนคลายที่สุด และให้มืออยู่ในท่าหงาย
สาเหตุ
เกิดจากข่ายประสาท Brachial ถูกดึงหรือกด จะพบในทารกที่คลอดโดยมีส่วนนำเป็นก้นหรือคลอดยากบริเวณแขนหรือไหล่จากการที่ดึงไหล่ออกไปจากศีรษะในระหว่างการคลอด
การบาดเจ็บของเส้นประสาทที่มาเลี้ยงใบหน้า
การตรวจร่างกาย
จากการสังเกตสีหน้าของทารกเวลานอน เวลาร้องไห้หรือแสดงสีหน้าท่าทาง
อาการและอาหารแสดง
มีอาการอัมพาตชั่วคราวของกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้ใบหน้าด้านที่เป็นไม่มีการเคลื่อนไหว ทารกจะลืมตาได้เพียงครึ่งเดียว ตาปิดไม่สนิท
ปากข้างที่เป็นจะถูกดึงลงมาทำให้มุม ริมฝีปากล่างตก ไม่มีรอยย่นที่หน้าผาก รูปหน้าทั้ง 2 ด้านจะไม่เท่ากัน
สาเหตุ
การคลอดยาก การใช้คีมช่วยคลอดทำให้กดเยื่อประสาทสมองคู่ที่ 7
แนวทางการรักษา
ถ้าประสาทที่เลี้ยงใบหน้าเพียงถูกกดอาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน ถึง
สัปดาห์ แต่ถ้าเส้นประสาทขาดต้องได้รับการทำศัลยกรรมซ่อมประสาท
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกได้รับอาหารเหมาะสมตามความต้องการของทารก
ดูแลให้ทารกได้รับการตอบสนองด้านจิตใจ
ดูแลไม่ให้ดวงตาของทารกได้รับอันตราย
ล้างตาทารกให้สะอาดเนื่องจากเปลือกตาปิดไม่สนิท
หยอดตาทารกด้วยน้ำตาเทียมตามแผนการรักษา
ดูแลบรรเทาความวิตกกังวลของมารดาและบิดา
ทารกน้ำหนักตัวผิดปกติ ความผิดปกติเกี่ยวกับอายุครรภ์ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
ทารกแรกเกิดน้ำหนักมากกว่าอายุครรภ์ (Large for gestational age)
ผลกระทบต่อทารก
ภาวะเลือดข้น
ภาวะแคลเซียม แมกนีเซียมในเลือดต่ำ
ภาวะบิลิรูบินในเลือดสูง
ความพิการแต่กำเนิด ส่วนใหญ่เป็นความพิการของหัวใจ
น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ภายหลังคลอด
ผนังกั้นหัวใจห้องล่างมีรูรั่ว หลอดเลือดแดงใหญ่ตีบตัน
ทารกพวกนี้มักจะคลอดยาก
สาเหตุ
มักพบในมารดาที่มีระดับน้ำตาลในเลือดที่มีระดับสูงจากภาวะเบาหวาน
ทารกคลอดก่อนกำหนด (Preterm baby)
และน้ำหนักตัวน้อย (Low birth weight infant)
ปัญหาที่พบบ่อยของทารกคลอดก่อนกำหนด
ระบบหัวใจและระบบเลือด ที่พบบ่อย ได้แก่ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดหลอดเลือดที่เชื่อมระหว่างหลอดเลือดดำเข้าสู่ปอดและหลอดเลือดแดงออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย และภาวะบิลิรูบินในกระแสเลือดสูง
ระบบทางเดินอาหารและภาวะโภชนาการที่พบบ่อยได้แก่ ภาวะลำไส้ขาดเลือดมาเลี้ยง และภาวะขาดสารอาหาร
ระบบประสาท ที่พบบ่อยได้แก่ ภาวะอุณหภูมิกายต่ำหรือสูงเกินไป ภาวะพิษของออกซิเจนต่อตาในทารกคลอดก่อนกำหนด และภาวะเลือดออกในโพรงสมอง
ระบบภูมิต้านทาน ที่พบบ่อยได้แก่ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
ระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ทำให้ถุงลมขยายตัวได้น้อยและช้า ทำให้ทารกหายใจลำบาก
ระบบเมตาบอลิซึมและต่อมไร้ท่อ ที่พบบ่อย ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ และภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยผิดปกติแต่กำเนิด
บทบาทการพยาบาล
ดูแลให้ได้รับนมมารดาหรือนมผสมตามแผนการรักษาที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ดูแลและแนะนำมารดาบิดาในการป้องกันการติดเชื้อ
ดูแลทางเดินหายใจ โดยทำทางเดินหายใจให้โล่ง จัดให้นอนตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งหรือนอนศีรษะสูง
ดูแลให้วิตามินเค 1 มิลลิกรัมฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพื่อป้องกันภาวะเลือดออกง่าย
ดูแลควบคุมอุณหภูมิร่างกายโดยการห่อตัวและให้อยู่ใต้ radiant warmer 36.5-37 องศาเซลเซียส
ลักษณะของทารกคลอดก่อนกำหนด
ลายฝ่ามือฝ่าเท้ามีน้อยและเรียบ เล็บมือเล็บเท้าอ่อนนิ่มและสั้น
กล้ามเนื้อมีกำลังน้อย เมื่อขยับแขนขาคล้ายอาการกระตุก ขณะนอนหงาย มีการเคลื่อนไหวน้อย
พบขนอ่อน (Lanugo hair) ได้ที่บริเวณใบหน้า หลังและแขน ส่วนผมมีน้อย
กล้ามเนื้อระหว่างกระดูกซี่โครง ยังเจริญไม่ดี กระดูกซี่โครงค่อนข้างอ่อนนิ่ม
ไขเคลือบตัว (vernix caseosa) มีน้อยหรือไม่มีเลย
หัวนมมีขนาดเล็ก หรือมองไม่เห็นหัวนม
ผิวหนังบางสีแดงและเหี่ยวย่น มองเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังได้ชัดเจน มักบวมตามมือและเท้า
เสียงร้องเบา และร้องน้อยกว่าทารกแรกเกิดคลอดครบกำหนด
เปลือกตาบวมและนูนออกมา ตามักปิดตลอดเวลา
reflex ต่างๆ มีน้อยหรือไม่ม
ศีรษะจะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว กะโหลกศีรษะนุ่ม รอยต่อกะโหลกศีรษะและขม่อมกว้าง
การเจริญของกระดูกหูมีน้อย ใบหูอ่อนนิ่ม เป็นแผ่นเรียบ และงอพับได้ง่าย
ูปร่างรวมทั้งแขนขามีขนาดเล็ก
หายใจไม่สม่ำเสมอ มีการกลั้นหายใจเป็นระยะ (Periodic breathing) เขียวและหยุดหายใจ (Apnea) ได้ง่าย
น้ำหนักตัวน้อย
ทารกคลอดเกินกำหนด (Postterm baby)
ลักษณะของทารกคลอดเกินกำหนด
ผิวหนังแห้งแตก เหี่ยวย่น และหลุดลอก
มีขี้เทาเคลือบติดตามตัว
ผมและเล็บจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ
รูปร่างผอม มีลักษณะขาดสารอาหาร แต่ตื่นตัว
มีการสะสมไขมันใต้ผิวหนังลดลง มีการหลุดลอกของไข ทำให้ผิวหนังทารกสัมผัสกับน้ำคร่ำทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น
หน้าตาดูแก่กว่าเด็กทั่วไป
มีภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
บทบาทการพยาบาล
ในระยะคลอด ดูแลป้องกันการได้รับบาดเจ็บจากการคลอด
ในระยะหลังคลอด ดูแลดูดสิ่งคัดหลั่งจากปากและจมูก เพื่อป้องกันการสูดสำลักขี้เทาในน้ำคร่ำ
ในระยะรอคลอดให้ติดตามผลการตรวจ EFM ทุก 1-2 ชั่วโมง และติดตามผลการประเมินปริมาณน้ำคร่ำด้วยคลื่นความถี่สูงเพื่อประเมินภาวะน้ำคร่ำน้อย
ทารกที่มี APGAR score ปกติให้ดูแลเหมือนทารกแรกเกิดทั่วไป แต่ทารกที่มี APGAR score ต่ำกว่าปกติให้ดูแลให้เหมาะสมตามระดับของภาวะพร่องออกซิเจนแรกคลอด
ทารกแรกเกิดติดเชื้อ
โรคสุกใส (Chickenpox)
มารดาเป็นโรคสุกใสในระยะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ทำให้ทารกมีความผิดปกติในหลาย ๆ ระบบ ได้แก่ ผิวหนัง ตาแขนขา ทางเดินอาหาร และระบบประสาท โดยในช่วงอายุครรภ์6-12 สัปดาห์เกิดความผิดปกติของแขน ขา มากที่สุด เช่น แขนขาลีบ สำหรับช่วง อายุครรภ์16-20 สัปดาห์จะมีผลต่อการพัฒนาการทางสมอง และตา
แนวทางการรักษา
ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อสุกใสภายใน 5 วันก่อนคลอดหรือ 2 วันหลังคลอด ควรได้รับ varicella-zoster immunoglobulin (VZIG) ทันทีที่คลอด
มารดาและทารกควรได้รับการแยกกันดูแลจนกระทั่งมารดามีการตกสะเก็ดของตุ่มสุกใสจนหมด และทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อควรได้รับการแยกจากทารกที่คลอดจากมารดาปกติด้วย
โรคหนองในแท้ (Gonorrhea)
ทารกจะได้รับเชื้อโดยตรงหลังจากมีถุงน้ำคร่ำแตก หรือผ่านช่องทางคลอดที่ติดเชื้อ เชื้อจะเข้าสู่ตาทารกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เยื่อบุตาอักเสบ มีอาการจะพบว่ามีขี้ตามาก บางครั้งมีลักษณะคล้ายหนอง หนังตาบวม ทำให้ทารกมีอาการตาบอดได้
แนวทางการรักษา
การติดเชื้อหนองในที่ตา นอกจากการป้ายตาด้วยยาปฏิชีวนะ หลังจากนั้นทารกต้องได้รับยา Cefixin 1 mg/kg ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อของทารกวันละ 1 ครั้งติดต่อกัน 7 วัน
ต้องเช็ดตาของทารกด้วย NSS หรือล้างตาทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าหนองจะแห้ง
โรคหัดเยอรมัน (Rubella)
นหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับเชื้อหัดเยอรมัน ในช่วง 4 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ แม้จะมีผื่นหรือไม่มีผื่นขึ้นก็ตาม เชื้อจะเข้าไปยับยังการแบ่งตัวของ cell ทารกในครรภ์ และทำให้โครโมโซมของทารกแตก ทำให้ทารกแท้ง ตายคลอด หรือพิการแต่กำเนิดได้
อาการแสดง ได้แก่ ความผิดปกติทางตา (ต้อกระจก ต้อหิน) ความผิดปกติของหัวใจ ความบกพร่องทางการได้ยิน สมองพิการและปัญญาอ่อน ภาวะเจริญเติบโตช้าในครรภ์, เกร็ดเลือดต่ำ ซีด ตับม้ามโต รวมทั้งความ
ผิดปกติของโครโมโซม
แนวทางการรักษา
ควรได้รับการแยกจากทารกปกติ
เก็บเลือดทารกส่งตรวจเพื่อยืนยันการติดเชื้อและตรวจร่างกายทารกอย่างละเอียด
โรคเริม (Herpes)
ทารกหลังคลอดอาจมีการติดเชื้อจากมารดา โดยจะมีไข้อ่อนเพลีย การดูดนมไม่ดีตัวเหลือง ตับ ม้ามโต ชัก หรือบางรายพบมีตุ่มน้ำพองใสเล็ก ๆ ที่ผิวหนังตามร่างกาย
แนวทางการรักษา
ทารกที่คลอดจากมารดาที่เป็นโรคเริม จะต้องถูกแยกจากทารกคนอื่น ๆ และดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม อย่างน้อย 7-10 วัน
การติดเชื้อเริมจากการคลอดทางช่องคลอด ดูแลให้ได้รับยา Acyclovir ตามแผนการรักษา
โรคซิฟิลิส (Syphilis)
ถ้ารักษาในมารดาก่อนอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ สามารถ
ป้องกันทารกจากภาวะ congenital syphilis ได้ ถ้าติดเชื้อรุนแรงทารกจะเสียชีวิตจากภาวะ Hydrop fetalis
แนวทางการรักษา
แยกทารกออกจากทารกคนอื่น ๆ
ดูแลให้ยาตามแผนการรักษา ดังนี้
ให้ยา Aqueous penicillin G 50,000 ยูนิต/กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำทุก ๑๒ ชม.ในทารกที่อายุน้อยกว่า ๗ วัน และทุก ๘ ชม. ในทารกที่อายุมากกว่า ๗ วัน เป็นเวลา ๑๐ วัน
ให้ยา Benzathine penicillin G 50,000 ยูนิต/กก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ๑ ครั้ง ในทารกที่เกิดจากมารดาติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษาหรือได้รับการรักษาไม่ครบถ้วนก่อนคลอด
ทารกที่คลอดจากมารดาที่เป็นโรคซิฟิลิส พยาบาลจะต้องสังเกตภาวะ congenital syphilis และส่ง cord blood for VDRL ติดตามผลเลือด
โรคเอดส์(AIDS)
ติดต่อได้โดยผ่านทางรก การสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งจากมารดาขณะคลอด และหลังคลอด และการเลี้ยงบุตรด้วยนม
มารดา
แนวทางการรักษา
การรักษาด้วยยา ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ จะต้องได้รับยา NVP ชนิดน้ำขนาด 6 มิลลิกรัมทันทีหรือภายใน 8 -12 ชั่วโมงหลังคลอดร่วมกับ AZT 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หลังจากนั้นจะให้ยาAZT ต่อทุก 2 ชั่วโมง
ทารกจะต้องได้รับการตรวจหาการติดเชื้อ HIV โดยการตรวจ เพื่อหา viral load ด้วยวิธี real time PCR assay
ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV ให้หลีกเลี่ยงการใส่สายยางสวนอาหารในกระเพาะอาหารทารกโดยไม่จำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดบาดแผล
โรคตับอักเสบบี
แนวทางการรักษา
ทารกสามารถดูดนมมารดาได้ทันทีหลังคลอดโดยไม่จำเป็นต้องรอให้ทารกได้รับวัคซีนก่อน แต่หากมารดามีหัวนมแตกให้งดให้บุตรดูดนมเพราะอาจแพร่การกระจายเชื้อสู่ทารกได
ดูแลให้ทารกแรกเกิดได้รับ Hepatitis B immune globulin (HBIG) เข้ากล้ามเนื้อโดยเร็วที่สุด ร่วมกับ HBV เข็มที่ 1 เข้ากล้ามเนื้อโดยเร็วที่สุด ภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด
ทารกแรกคลอดต้องดูดมูกและเลือดออกจากปากและจมูกของทารกออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำความสะอาดทารกทันทีที่คลอด
แนะนำให้มารดาพาทารกมาตรวจเลือดตามนัดเมื่ออายุ ๙ – ๑๒ เดือน เพื่อตรวจหาHBsAg และ Anti-HBs
การถ่ายทอดเชื้อจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่งผ่านทางเลือด น้ำลาย อสุจิ สิ่งคัดหลั่งทางช่องคลอด น้ำนม และผ่านทางรก ทารกสามารถติดเชื้อจากมารดาได้ตั้งแต่ในระยะตั้งครรภ์ คลอด จนถึงหลังคลอด
บทบาทการพยาบาล
ดูแลและแนะนำเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดของร่างกายทารก
แยกของใช้ของมารดากับทารกและมีการทำลายเชื้ออย่างเหมาะสม
สังเกตอาการผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจและให้การช่วยเหลือเมื่อทารกมีภาวะหายใจลำบากหรือขาดออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
ูดูแลให้ได้รับนมมารดาและน้ำอย่างเพียงพอ
แจ้งอาการและแนวทางการรักษาที่ทารกได้รับแก่มารดาบิดา
ประเมินสัญญาณชีพ
ทารกแรกเกิดจากมารดาติดสารเสพติด
ผลกระทบของสารเสพติดแต่ละชนิด
แอมเฟตามีนและอนุพันธ
จะส่งผลให้มีน้ำหนักแรกเกิดน้อย มีความผิดปกติของหัวใจแต่ก้าเนิด ภาวะเลือดออกในสมอง ภาวะสมองตาย ทำให้มีการท้าลายเซลล์ประสาท เส้นรอบศีรษะมีขนาดเล็ก ซึ่งมีผลต่อสมาธิความจำ และมีผลท้าให้เด็กมีปัญหาพฤติกรรมในระยะยาว
สุรา
Fetal Alcohol Syndrome (FAS)
มีลักษณะผิดรูปของใบหน้าชัดเจน ศีรษะเล็ก
เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด กระดูกสันหลังโป่งมีเยื่อหุ้มไขสันหลังโผล่ออกมา
ระดับสติปัญญาต่ำกว่าปกติ
การเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและระบบประสาททำงานไม่ดี การกลืนมีปัญญา หลังดูดนมจะอาเจียน
มีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ น้ำหนักตัวน้อย
ริมฝีปากบางลักษณะคล้ายปากของปลา
มีความผิดปกติของข้อต่าง ๆ ไม่สามารถเหยียดแขนได้เต็มที่ นิ้วมือหรือนิ้วเท้างออย่างถาวร นิ้วเท้าโก่งไม่สามารถงอได้เต็มท
เฮโรอีน
เมื่อทารกได้รับสารเสพติดติดต่อกันตลอดระยะของการตั้งครรภ์ ก็จะ
เกิดการติดสารเสพติดขึ้นและเกิดภาวะแทรกซ้อน fetal distress , preterm , PPROM,พิการแต่ก้าเนิด, IUGR ทารกแรกเกิดอาจมีอาการที่แสดงถึงการขาดสารเสพติดหรือที่เรียกว่า อาการถอนยา neonatal abstinence syndrome, (NAS) ร้องเสียงแหลมร้องกวนมากกล้ามเนื้อเกร็ง เหงื่อออกตัวเย็น ไวต่อการ
กระตุ้น แขนขาสั่นทั้งตัว ชัก เสียชีวิต
บุหรี่
การเจริญเติบโตช้า มีน้ำหนักน้อย
คลอดก่อนกำหนด และเกิดภาวะหายใจลำบาก
การขนส่งออกซิเจน
มีสติปัญญาต่ำ
เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนเรื้อรัง
การดูแลทารกแรกคลอด
ถ้าทารกคลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักแรกคลอดต่ำให้ระวัง เรื่อง RDS, hypoglycemia, hypocalcaemia, hyperbilirubinemia และ intraventricular hemorrhage
ผลกระทบ ของสารเสพติดต่อทารกในการตั้งครรภ์
ทารกพิการแต่ก้าเนิด
น้ำหนักแรกคลอดต่ำ
ทารกติดเชื้อในครรภ์ หรือติดเชื้อตั้งแต่ก้าเนิด
ทารกแรกคลอดมีอาการของการขาดยา
ทารกเสียชีวิตในครรภ์
โอกาสเกิด sudden infant death syndrome (SIDS) สูง
ทารกเจริญเติบโตช้า
กลุ่มอาการถอนยาในทารกแรกเกิดneonatal abstinence syndrome (NAS)
อาการทางระบบประสาทส่วนกลาง
มารดาที่เสพสารแอมเฟตามีนอย่างต่อเนื่อง จะมีอาการ withdrawal ได้แต่ไม่รุนแรง ที่พบได้คือ ทารกจะมีอาการซึม กินนมน้อย ร้องกวน จาม พบใน 48 ชม.แรกหลังคลอด
มารดาที่เสพเฮโรอีน จะท้าให้ทารกเกิดอาการขาดยารุนแรงมาก กระสับกระส่าย moro reflex ไวกว่าปกติ าวบ่อย ร้องกวนผิดปกติ เสียงร้องผิดปกติ ร้องเสียงแหลมมาก การกระตุกไวกว่าปกติ ในรายที่เป็นมากจะชัก หมดสติ และตายได้
อาการทางระบบทางเดินอาหาร
อาเจียน กินน้าและนมได้น้อย ถ่ายเป็นน้า และถ่ายบ่อย
การรักษาทารกติดยา
ทารกที่คลอดจากสตรีเสพยา แม้ไม่มีอาการ ก็ควรให้การดูแลในโรงพยาบาลอย่างน้อย 4 วัน และนัดมาติดตามช่วงสั้นๆ อีกระยะหนึ่ง หรือที่ดีที่สุดคือ แยกจากมารดาไปรับการดูแลในสถานพยาบาลเฉพาะทาง
ในรายที่ทารกมีอาการไม่รุนแรง รักษาโดยไม่ต้องใช้ยา โดยแยกเด็กไปอยู่ในห้องที่มีบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมสงบเงียบปราศจากสิ่งกระตุ้น
ในกรณีที่ขาดยารุนแรง อาจต้องใช้ยาในกลุ่ม sedative เพื่อให้อาการบรรเทาลง
ภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด (Birth Asphyxia)
การประเมินสภาพช่วยวินิจฉัย
อาการและอาการแสดง
ทารกมีลักษณะเขียวแรกคลอด ไม่หายใจเอง ตัวนิ่ม อ่อนปวกเปียกปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นลดลง หัวใจเต้นช้า
อาการระยะหลังคลอด
ระบบประสาท ทารกจะซึม หยุดหายใจบ่อย หัวใจเต้นช้า ม่านตาขยายกว้างไม่ตอบสนองต่อแสง กล้ามเนื้อไม่มีแรง
ระบบทางเดินอาหาร มีการท้องอืด และมีการท้าลายของเยื่อบุล้าไส้ท้าให้เกิดล้าไส้เน่าอักเสบชนิด NEC
ะบบการไหลเวียนโลหิต ทารกจะมีหัวใจเต้นเร็ว ซีด หายใจแบบ gasping มีmetabolicacidosis และอุณหภูมิของร่างกายต่ำ ความดันโลหิตต่ำ
ระบบทางเดินปัสสาวะ ทารกจะมีปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายปัสสาวะ
การเปลี่ยนแปลงในปอด ทารกจะมีอาการหายใจหอบ เขียว
การเปลี่ยนแปลงทาง metabolic ทารกอาจมีอาการชักจากการเกิด hypoglycemia,hypocalcemiaและ hyperkalemia
ระยะแรกคลอด แรกคลอดทันทีทารกมีApgar score ต่ำกว่า 8 ในคะแนนที่ 1 นาที
ขณะคลอดพบขี้เทาในน้ำคร่ำ
ทารกมีการเคลื่อนไหวมากกว่าปกติ และต่อมาจะมีการเคลื่อนไหว
น้อยลงกว่าปกติ อัตราการเต้นของหัวใจในระยะแรกจะเร็วมากกว่า 160 ครั้งต่อนาที ต่อมาจึงช้าลง
ประวัติการตั้งครรภ์
ประวัติการลดลงของการไหลเวียนเลือดของมารดาหรือรก
ประวัติการพร่องของการแลกเปลี่ยนเลือดและออกซิเจนระหว่างทารกและรกทันที
ประวัติการลดลงของออกซิเจนในมารดา ได้แก่ โรคหัวใจและปอด ภาวะหายใจช้าและเบาภาวะพร่องออกซิเจน
ประวัติการได้รับยาระงับความเจ็บปวดระหว่างคลอด
ประวัติการตั้งครรภ์ที่ท้าให้เกิดการลดลงเรื้อรังของการแลกเปลี่ยนสารระหว่างทารกและรก ได้แก่การตั้งครรภ์เกินกำหนด ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
การกู้ชีพทารกแรกเกิด
B = ( Breathing)
ช่วยการหายใจด้วยแรงดันบวก positive pressure ventilation (PPV)
โดยใช้bag และ mask เป็นเวลา 30 วินาที
C = (circulation)
ทำการนวดทรวงอกเพื่อช่วยการไหลเวียนโลหิตพร้อมกับช่วยหายใจ
แรงดันบวก (PPV) หลังจาก 30 วินาทีประเมินการเต้นของหัวใจอีกครั้ง
A = (Airway)
จัดท่าและดูดเสมหะ ควรดูดในปากก่อนจมูกเพื่อป้องกันการสำลักเสมหะในปากขณะดูดในจมูก
เช็ดตัวให้แห้งกระตุ้นทารกทารกหายใจ
ให้ความอบอุ่น
D = (drug)
ให้ยา epinephrine ขณะที่ช่วยหายใจด้วยแรงดันบวก กดนวดทรวงอกไปด้วยถ้าอัตราการเต้นของหัวใจยังน้อยกว่า60 ครั้ง/นาทีจะต้องทำขั้นตอน C และ D ซ้ำ
ปัจจัย
ปัจจัยขณะตั้งครรภ์
PIH /chronic hypertension
Oligohydramnios /Polyhydramnios
มีประวัติการตายในระยะเดือนแรกของชีวิต
Post term gestation
ติดยาเสพติดหรือสุรา
ตั้งครรภ์มากกว่า 1 คน
มารดาได้รับยารักษาในการรักษาโรคบางอย่าง
มารดาป่วยด้วยโรคบางอย่างเช่น โรคหัวใจ
เลือดออกในระยะตั้งครรภ์
ทารกในครรภ์มีความพิการ
โรคเบาหวาน
คลอดก่อนก้าหนดหรือถุงน้ำคร่ำแตกก่อนก้าหนด
อายุมากกว่า 35 ปี หรือน้อยกว่า 16 ปี
ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง
ปัจจัยขณะคลอด
สายสะดือย้อย
มารดาได้รับ sedative หรือยาแก้ปวด
การเจ็บครรภ์คลอดยาวนาน
การคลอดโดยการผ่าตัดทางหน้าท้อง
การติดเชื้อ
Meconium stain amniotic fluid
ท่าก้นหรือส่วนน้าผิดปกติ
จังหวะหรืออัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ผิดปกติ
การช่วยเหลือพื้นฐานหรือขั้นต้น (Basic step)
การดูดเสมหะ (Suctioning)
Clearing the airway of meconium ในกรณีที่น้ำคร่ำของมารดามีขี้เทาปนเปื้อน
เปิดทางเดินหายใจให้โล่ง (Clearing the airway)
Tactile stimulation การกระตุ้นทารกควรกระตุ้นโดยการตีหรือดีดฝ่าเท้า หรือใช้ฝ่ามือลูบที่หลังทารก ทั้งนี้ไม่ควรใช้เวลานานเกิน 15 – 20 วินาที
การดูแลเรื่องความอบอุ่นและป้องกันการสูญเสียความร้อนให้แก่ทารก (Warmth) โดยการเช็ดตัวทารกให้แห้ง วางทารกใต้เครื่องรังสีความร้อน
Oxygen administration ข้อบ่งชี้ในการให้ออกซิเจนแก่ทารกแรกเกิด คือ ให้100%ออกซิเจนในรายที่มีภาวะ cyanosis
Ventilation การกระตุ้นการหายใจ ควรให้ออกซิเจนทางสายเข้า face mask แต่ถ้าทารกยังหายใจไม่ดีขึ้นควรให้positive pressure ventilation (PPV) ด้วยออกซิเจน 100%
ข้อบ่งชี้ในการให้PPV คือ
ในรายที่ทารกมีapnea หรือ gasping respirations
ทารกหายใจ แต่มีอัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 100 ครั้งต่อนาที
ทารกที่ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นการหายใจ
ทารกที่มีภาวะ cyanosis
ทารกที่ไม่หายใจ
ข้อบ่งชี้ในการใส่ท่อหลอดลมคอ endotracheal tube (ET tube)
ทารกที่ต้องช่วยเหลือโดยการท้า Chest compression
ทารกที่สงสัยว่ามีDiaphragmatic hernia
ทารกได้ทำ PPV ด้วย bag และ mask แล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น
ทารกที่มีน้าหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัมและไม่มีการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 100 ครั้งต่อนาที
ทารกที่มีน้ำคร่ำและขี้เทาใน trachea และต้องดูดออก
Chest compression
จะทำก็ต่อเมื่อทารกมีอัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 60 ครั้ง/นาที แม้ว่าได้ช่วยเหลือด้วยการให้ออกซิเจน 100 % โดย bag และ mask แล้วประมาณ 30 วินาที
ภาวะสูดสำลักขี้เทาเข้าปอด (Meconium aspiration syndrome)
ปัญหาจากการสูดสาลักขี้เทา
ขี้เทาทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุในปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ
ขี้เทายับยั้งการทำงานของสารลดแรงตึงผิว ทำให้ปอดแฟบ
ขี้เทาเข้าไปอุดในท่อทางเดินหายใจและถุงลม ทำให้ทารกขาดออกซิเจนและอาจมีถุงลมฉีกขาดเกิดลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดได้ และทำให้ถุงลมโป่งและแตก
การดูแลทารกที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสูดสำลักขึ้เทา
ระยะคลอด
เมื่อพบขี้เทาปนเปื้อนในน้ำคร่ำ ทำการดูดน้ำคร่ำและขี้เทาด้วยลูกยางแดง ในปากและจมูกตามลำดับทันทีที่ศีรษะพ้นช่องคลอด ก่อนที่จะคลอดไหล่หน้า
พิจารณาใส่ETT
เตรียมเครื่องมือ ประสานกุมารแพทย์
ภายหลังการดูดขี้เทาในหลอดลม ควรใส่สายยางดูดขี้เทาจากกระเพาะอาหารด้วย
ระยะหลังคลอด
รักษาระดับของ oxygen ให้อยู่ในระดับ 80-100 มม.ปรอท
พิจารณาใช้เครื่องช่วยหายใจ
ดูแลให้ได้รับ oxygen
ระยะก่อนคลอด
ติดตาม FHS อย่างใกล้ชิด
ในรายที่ทารกมีความผิดปกติของ FHS แพทย์พิจารณาการคลอด
เฝ้าระวังการตั้งครรภ์ที่มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะขี้เทาปนเปื้อนในน้ำคร่ำ
สาเหตุ
เมื่อทารกได้รับออกซิเจนระหว่างที่อยู่ในครรภ์ไม่พอ จะทำให้ทารกถ่ายขี้เทาออกมา ซึ่งการถ่ายขี้เทาออกมาเป็นเพราะว่ากล้ามเนื้อหูรูดที่ทวารหนักมีการคลายออก ร่วมกับมีการหายใจเข้า และการหายใจเข้า
ระหว่างที่อยู่ในครรภ์ (ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำคร่ำ) ะทำให้ทารกหายใจเอาน้ำคร่ำเข้าสู่ปอด แล้วอุดกั้นทางเดินหายใจ