บทที่ 9 การพยาบาลทารกแรกเกิด
ที่มีภาวะแทรกซ้อน (ต่อ)
3. การบาดเจ็บจากการคลอด
(Birth Injury)
⭐ ความหมาย
- การบาดเจ็บที่เกิดกับทารกระหว่างคลอด
จากแรงที่กระทำกับทารกโดยตรง
⭐ สาเหตุ
- มารดา
- ทารก
- การคลอด
- ผู้ทำคลอด
- มารดามีภาวะเบาหวาน, CPD, PIH, รกลอกตัว
ก่อนกำหนด, ภาวะน้ำคร่ำน้อย, การคลอfเฉียบพลัน
- ทารกมีส่วนนำผิดปกติ
- ทารกมีขนาดตัวโตมากทำให้เกิดการคลอดยาก
- อายุครรภ์ของทารกไม่ครบกำหนด หรือเกินกำหนด
- การคลอดไหล่ยาก
- ทารกมีความพิการแต่กำเนิด
- การคลอดด้วยคีม หรือเครื่องดูดสุญญากาศ
- การใช้แรงดึงมากเกินไปในการช่วยคลอดทารก
- ขาดความชำนาญหรือขาดการเอาใจใส่อย่างเพียงพอ
⭐ ชนิดของการบาดเจ็บ
1) การบาดเจ็บที่ศีรษะทารก
(Skull injuries)
2) การบาดเจ็บของกระดูก
(Bone injuries)
3) การบาดเจ็บของเส้นประสาท
1.2) ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ
(Cephalhematoma)
1.3) ภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ
(Intracranial hemorrhage)
1.1) ภาวะก้อนบวมน้ำใต้หนังศีรษะ
(caput succedaneum)
สาเหตุ
ความหมาย
ภาวะแทรกซ้อน
- เป็นภาวะที่เลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ อาจเกิดขึ้นที่ตำแหน่ง
เหนือเยื่อหุ้มสมองชั้น epidural, subdural, subarachnoid, intracerebral
- ทารกคลอดก่อนกำหนด
- ภาวะขาดออกซิเจนเป็นเวลานานใน
ขณะคลอดหรือเกิดภายหลังคลอด
- การได้รับอันตรายรุนแรงจาการคลอด
- เลือดออกกดศูนย์หายใจทำให้ทารกหายใจลำบาก
- ทารกอาจเกิดปัญญาอ่อน (mental retardation)
อาการและอาการแสดง
- Reflex ลดน้อยลงหรือไม่มี โดยเฉพาะ moro reflex จะเสียไป
- กำลังกล้ามเนื้อไม่ดี มีอาการอ่อนแรง
- มีภาวะซีด หรือมีอาการเขียว (cyanosis)
- ซึม ไม่ร้อง
- ดูดนมไม่ดี หรือไม่ยอมดูดนม
- ร้องเสียงแหลม
- การหายใจผิดปกติ มีหายใจเร็ว ตื้น ช้า ไม่สม่ำเสมอ หรือหยุดหายใจ
บทบาทการพยาบาล
- ดูแลให้ทารกหายใจสะดวกและได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
จัดให้นอนราบ ศีรษะตะแคงไปด้านใดหน้าหนึ่ง ดูดสิ่งคัดหลั่งจากปากและจมูกให้หมด
- กรณีที่ให้ออกซิเจน ควรสำรวจปริมาณออกซิเจนที่ทารกได้รับ ไม่ควรเกิน 40% หรือตามแผนการรักษา
- ดูแลให้ได้รับนมและน้ำที่เพียงพอ ทดสอบปฏิกิริยาสะท้อนของการดูดกลืน
ระมัดระวังเกี่ยวกับการสำลัก อาเจียน บันทึกจำนวนนมและน้ำที่ป้อนทุกครั้ง
- ให้ทารกอยู่ในตู้อบ (incubator)
- เตรียมเครื่องมือในการให้ความช่วยเหลือทารกไว้ให้พร้อม
- ตรวจสอบสัญญาณชีพ และบันทึกไว้ทุก 2- 4 ชั่วโมง
- ดูแลให้ทารกได้พักผ่อน รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
- ดูแลฉีดวิตามินเค จำนวน 1 มิลลิกรัม เข้ากล้ามเนื้อเพื่อป้องกันเลือดที่จะออกเพิ่ม
ความหมาย
ความหมาย
- การคั่งของของเหลวในระหว่างชั้นของหนังศีรษะ
กับชั้นเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ ก้อนบวมโนนี้
จะข้ามรอยต่อ ของกระดูกกะโหลกศีรษะ
มีขอบเขตไม่แน่นอน
สาเหตุ
- เกิดจากแรงดันที่กดลงบนศีรษะทารกระหว่างการคลอดท่าศีรษะ ทำให้มีของเหลวไหลซึม
ออกมานอกหลอดเลือดในชั้นใต้เยื่อหุ้มหนังศีรษะ หรือมีสาเหตุมาจาการใช้เครื่องดูดสุญญากาศช่วยคลอด
อาการและอาการแสดง
- สังเกตพบได้ด้านข้างของศีรษะ ลักษณะการบวมของก้อนโนนี้จะมีความกว้าง
และมีขนาดโตประมาณไข่ห่าน ทำให้ศีรษะมีความยาวมากกว่าปกติ
แนวทางการรักษา
- ไม่จำเป็นต้องรักษาแบบเฉพาะทาง จะหายไปได้เองภายหลังคลอด ประมาณ 2 -3 วันหลังคลอด
บทบาทการพยาบาล
- สังเกตลักษณะ ขนาด การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ของก้อนบวมโนที่ศีรษะ
- สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทของทารก
- อธิบายให้มารดาและบิดาเข้าใจถึงอาการที่เกิดขึ้นเพื่อคลายความวิตกกังวล
- บันทึกอาการและการพยาบาล
- ก้อนโนเลือดที่ศีรษะ เป็นการคั่งของเลือดบริเวณใต้เยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ มีขอบเขตชัดเจน
สาเหตุ
- เกิดจากมารดามีระยะเวลาการคลอดยาวนาน ศีรษะทารกถูกกดจากช่องทางคลอดหรือ
การใช้เครื่องดูดสูญญากาศช่วยคลอด เป็นผลทำให้หลอดเลือดฝอยบริเวณเยื่อหุ้มกระดูก
กะโหลกศีรษะของทารกฉีกขาด เลือดจึงซึมออกมานอกหลอดเลือดใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อน
- ในรายที่มีอาการรุนแรง ก้อนโนเลือดมีขนาดใหญ่ จะเกิดภาวะระดับบิลลิรูบินในเลือดสูง (hyperbilirubinemia)
ภายหลังเกิดหรืออาจเกิดการติดเชื้อจากการดูดเลือดออกจากก้อนโนเลือดในกรณีมีแผนการรักษา
อาการและอาการแสดง
- จะปรากฏให้เห็นชัดเจนหลัง 24 ชั่วโมงไปแล้ว เนื่องจากเลือดจะค่อย ๆ ซึมออกมา
นอกหลอดเลือด ลักษณะการบวมจะมีขอบเขตชัดเจนบน บริเวณกระดูกกะโหลกศีรษะ
ชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ในรายที่เป็นรุนแรงอาจพบอาการแสดงทันทีหลังเกิดและพบว่า
แนวทางการรักษา
- ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก้อนโนเลือดจะค่อยๆหายไปเองได้ แต่อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน โดยปกติจะค่อยๆหายเองภายใน 2 เดือน
บทบาทการพยาบาล
- สังเกต ลักษณะ ขนาด และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เกี่ยวกับภาวะเลือดออกในสมอง
- ให้ทารกนอนตะแคงด้านตรงข้ามกับก้อนโนเลือด
เพื่อป้องกันการกดทับที่จะกระตุ้นให้เลือดออกมากขึ้น
- สังเกตอาการซีด การเจาะหาค่า Hct
และดูแลให้เลือดตามแผนการรักษาของแพทย์
- ดูแลเกี่ยวกับการหาค่า microbilirubin ถ้ามีภาวะตัวเหลือง
ให้การพยาบาลทารกที่ได้รับการส่องไฟตามแผนการรักษาของแพทย์
- อธิบายมารดาและบิดาให้เข้าใจถึงอาการที่เกิดขึ้นของทารก เพื่อลดความวิตกกังวล
และแนะนำไม่ใช้ใช้ยาทา ยานวด ประคบหรือเจาะเอาเลือดออกเอง
2.1) กระดูกต้นแขนหัก
2.2) กระดูกต้นขาหัก
2.3) กระดูกไหปลาร้าหัก
สาเหตุ
- การคลอดท่าก้น ผู้ทำคลอดดึงทารกออกมา แขนเหยียด
- การคลอดท่าศีรษะที่ไหล่คลอดยาก
การตรวจร่างกาย
- ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าทารกจะไม่
งอแขน เมื่อจับแขนขยับทารกจะร้องไห้เนื่องจากรู้สึกเจ็บ
อาการและ
อาการแสดง
- ในรายที่มีกระดูกหักสมบูรณ์ (complete) อาจได้ยินเสียงกระดูหัก
ขณะคลอด แขนข้างที่หักจะมีอาการบวมและทารกไม่เคลื่อนไหว
แขนข้างที่หักเนื่องจากรู้สึกเจ็บ
แนวทางการรักษา
-
- ถ้าอาการไม่รุนแรงเป็นเพียงกระดูกแขนเดาะ จะรักษาโดยการตรึงแขน
ให้แนบกับลำตัวเพื่อไม่ให้แขนเคลื่อนไหว 1-2 สัปดาห์
- ถ้าหากกระดูกแขนหักสมบูรณ์ จะรักษาโดยการจับแขนตรึงกับผนัง
ทรวงอก ศอกงอ 90 องศา แขนส่วนล่างและมือทาบขวางลำตัวใช้ผ้า
พันรอบแขนและลำตัวหรือใส่เฝือกอ่อนจากหัวไหล่ถึงสันหมัด
สาเหตุ
- การคลอดท่าก้น ผู้ทำคลอดดึงขาทารกขณะที่
ติดอยู่ที่ทางเข้าเชิงกราน (pelvic inlet)
การตรวจร่างกาย
- ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าทารกไม่ยกขา
และสังเกตว่าทารกจะไม่เคลื่อนไหวขาข้างที่หัก
อาการและ
อาการแสดง
- อาจได้ยินเสียงกระดูกหักขณะทารกคลอด
- อาจไม่ทราบว่ากระดูกหักจนเวลาผ่านไปหลายวันจะพบว่าขาทารก
มีอาการบวมเนื่องจากเลือดเข้าไปในกล้ามเนื้อใกล้เคียงบริเวณที่หัก
แนวทางการรักษา
- เมื่อจับทารกเคลื่อนไหวหรือถูกบริเวณที่กระดูกต้นขาหัก
ทารกจะร้องไห้เพราะรู้สึกเจ็บ
- ถ้ากระดูกไม่หักแยกจากกัน (incomplete) รักษาโดยการใส่เฝือกขายาว ประมาณ 3 -4 wks
- ถ้ากระดูกหักแยกจากกัน (complete) รักษาโดยการห้อยขาทั้งสองข้าง
ไว้กับราวที่ขวางปลายเตียง ขาเหยียดตรง ให้ก้นและสะโพกลอยจากพื้นเตียง
ดึงขาไว้นาน 2-3 สัปดาห
สาเหตุ
- การคลอดทารกท่าศีรษะที่ไหล่คลอดยาก ทารกตัวโตหรือ
คลอดท่าก้นที่แขนเหยียดซึ่งผู้ทำคลอดดึงแขนออกมา
การตรวจร่างกาย
- ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าแขนทั้งสองข้างของทารกเคลื่อนไหว
ไม่เท่ากัน โดยทารกจะยกแขนข้างที่ดีได้เท่านั้น หรือในกรณีที่กระดูกเดาะทารก
อาจยกแขนได้ก็ได้แต่ถ้าคลำตรงบริเวณที่หักอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบ
อาการและ
อาการแสดง
- ทารกเคลื่อนไหวแขนข้างที่กระดูกไหปลาร้าหักน้อยหรือไม่เคลื่อนไหวเลย
- ทารกจะมีอาการหงุดหงิดหรือร้องไห้เมื่อสัมผัสบริเวณที่กระดูกหัก
- อาจพบว่ามีอาการบวมห้อเลือด (ecchymosis) ตรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
- ปมประสาทใต้ไหปลาร้า (brachial plexus) ของทารกอาจได้รับอันตรายร่วมด้วย
แนวทางการรักษา
- ส่วนใหญ่หายได้เองค่อนข้างเร็ว มักเกิดกระดูกงอกใหม่ภายใน 1 สัปดาห์
- รักษาโดยให้แขนและไหล่ด้านที่กระดูกไหลปลาร้าหักอยู่นิ่ง ๆ
โดยการกลัดแขนเสื้อติดกับตัวเสื้อประมาณ 10 – 14 วัน
บทบาทการพยาบาล
- ดูแลไม่ให้กระดูกส่วนที่หักเคลื่อนไหว และจัดให้บริเวณที่หักอยู่ในท่าที่ถูกต้องตามแผนการรักษา
- จัดกิจกรรมการพยาบาลไม่ให้เคลื่อนไหวร่างกายทารกบ่อย ๆ เพื่อให้ส่วนที่เจ็บอยู่นิ่งส่งเสริมการหายและบรรเทาความเจ็บปวด
- ดูแลให้ได้รับความสุขสบาย และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเพิ่ม
- ดูแลให้ทารกได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ
- ดูแลความสุขสบายจากการขับถ่าย ป้องกันการระคายเคืองจากอุจจาระและปัสสาวะ
- ดูแลบรรเทาความวิตกกังวลของมารดาและบิดา
3.1) การบาดเจ็บของเส้นประสาทที่มาเลี้ยงใบหน้า (facial nerve injury)
3.2) การบาดเจ็บของเส้นประสาท Brachial
สาเหตุ
- การคลอดยาก การใช้คีมช่วยคลอดทำให้กดเยื่อประสาท
สมองคู่ที่ 7 (facial nerve injury) ที่ไปเลี้ยงใบหน้า
การตรวจร่างกาย
- จากการสังเกตสีหน้าของทารกเวลานอน
เวลาร้องไห้หรือแสดงสีหน้าท่าทาง
อาการและอาการแสดง
- มีอาการอัมพาตชั่วคราวของกล้ามเนื้อใบหน้า
โดยทั่วไปมักเป็นด้านเดียว ทำให้
ใบหน้าด้านที่เป็นไม่มีการเคลื่อนไหว
ทารกจะลืมตาได้เพียงครึ่งเดียว ตาปิดไม่สนิท
แนวทางการรักษา
- ถ้าประสาทที่เลี้ยงใบหน้าเพียงถูกกด
อาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน
ถึงสัปดาห์ แต่ถ้าเส้นประสาทขาด
ต้องได้รับการทำศัลยกรรมซ่อมประสาท
การพยาบาล
- ดูแลไม่ให้ดวงตาของทารกได้รับอันตราย โดยล้างตาทารก
ให้สะอาด หยอดตาทารกด้วยน้ำตาเทียมตามแผนการรักษา
2.ดูแลให้ทารกได้รับอาหารเหมาะสมตามความต้องการของทารก
3.ดูแลให้ทารกได้รับการตอบสนองด้านจิตใจ
4.ดูแลบรรเทาความวิตกกังวลของมารดาและบิดา
สาเหตุ
- เกิดจากข่ายประสาท Brachial ถูกดึงหรือกด
- พบในทารกที่คลอด โดยมีส่วนนำเป็นก้นหรือคลอดยาก
บริเวณแขนหรือไหล่จากการที่ดึงไหล่ออกไปจากศีรษะ
ในระหว่างการคลอด จำแนกอันตรายเป็น 2 ส่วน คือ อันตราย
ต่อส่วนบน (C5-C6) และอันตรายต่อส่วนล่าง (C7-C8และ T1)
อาการและอาการแสดง
❖ Erb-Duchenne paralysis
❖ Klumpke’ s paralysis
▪ แขนข้างนั้นส่วนบนไม่ขยับ
▪ แขนจะอยู่ในท่าชิดตัวและหมุนเข้าข้างใน
▪ บริเวณข้อมือยังขยับ
▪ กำมือได้ตามปกติ
▪ เป็นการบาดเจ็บที่เส้นประสาทจากกระดูกสันหลังส่วนคอ (C5-C6)
▪ แขนข้างนั้นส่วนล่างไม่ขยับ
▪ แขนอยู่ในท่าชิดตัวและหมุนเข้าข้างใน
▪ บริเวณข้อมือไม่ขยับ
▪ กำมือไม่ได้
▪ เป็นการบาดเจ็บที่เส้นประสาทจากกระดูกสันหลังส่วนคอ
(C7-C8)และเส้นประสาทเลี้ยงทรวงอกคู่ที่ 1
การตรวจร่างกาย
Erb Duchen Paralysis ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่า แขนข้างที่เป็น
ยกขึ้นไม่ได้หรือยกได้น้อย การเคลื่อนไหวและการงอของแขนลดลง การตอบสนอง
ต่อการกำมือ (grasp reflex) ปกติ
Klumpke’ s paralysis ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่า ไหล่และแขน
ส่วนบนเหยียดกางออกเป็นปกติ แต่ข้อมือ นิ้วมือตกไม่มีแรง ทดสอบการตอบสนอง
ต่อการกำมือจะไม่ตอบสนองต่อการกำมือ
แนวทางการรักษา
- ให้แขนไม่เคลื่อนไหว ในท่ากางหมุนแขนออก ข้อศอกตั้งฉากกับลำตัว
- ทำกายภาพบำบัด
- ถ้าไม่หายอาจต้องทำศัลยกรรมซ่อมประสาท
การพยาบาล
- ดูแลให้ส่วนที่ได้รับอันตรายไม่เคลื่อนไหว
โดยจัดแขนให้อยู่ในท่าตามแผนการรักษา
ในท่าที่ผ่อนคลายที่สุด และให้มืออยู่ในท่าหงาย
- ดูแลให้แขนที่ได้รับอันตรายได้ออกกำลัง
หลังจากการรักษาพยาบาลในช่วงแรกดีขึ้นและ
ส่งกายภาพบำบัด
- ดูแลความสุขสบายและการผ่อนคลายให้ทารกที่ต้องตรึงแขน
- ดูแลตอบสนองความต้องการทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
จากการที่ทารกถูกจำกัดการเคลื่อนไหว
- ช่วยให้มารดาและบิดามั่นใจในการดูแลทารก