Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะสูดสำลักขี้เทาเข้าปอด (Meconium aspiration syndrome) - Coggle Diagram
ภาวะสูดสำลักขี้เทาเข้าปอด (Meconium aspiration syndrome)
สาเหตุ
เมื่อทารกได้รับออกซิเจนระหว่างที่อยู่ในครรภ์ไม่พอ จะทำให้ทารกถ่ายขี้เทาออกมา ซึ่งการถ่ายขี้เทาออกมาเป็นเพราะว่ากล้ามเนื้อหูรูดที่ทวารหนักมีการคลายออก ร่วมกับมีการหายใจเข้า และการหายใจเข้าระหว่างที่อยู่ในครรภ์ (ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำคร่ำ) จะทำให้ทารกหายใจเอาน้ำคร่ำเข้าสู่ปอด แล้วอุดกั้นทางเดินหายใจ
ปัญหาจากการสูดสำลักขี้เทา
ขี้เทาเข้าไปอุดในท่อทางเดินหายใจและถุงลม ทำให้ทารกขาดออกซิเจนและอาจมีถุงลมฉีกขาดเกิดลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดได้ (air leak syndrome) และทำให้ถุงลมโป่งและแตก (pneumothorax)
ขี้เทาทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุในปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ (chemical inflammation)
ขี้เทายับยั้งการทำงานของสารลดแรงตึงผิว ทำให้ปอดแฟบ (Atelectasis)
การดูแลทารกที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสูดสำลักขึ้เทา
ระยะก่อนคลอด
๑. เฝ้าระวังการตั้งครรภ์ที่มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะขี้เทาปนเปื้อนในน้ำคร่ำ เช่น ครรภ์เกินกำหนด ทารกน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์
๒. ติดตาม FHS อย่างใกล้ชิด
๓. ในรายที่ทารกมีความผิดปกติของ FHS แพทย์พิจารณาการคลอด
ระยะคลอด
๒. เมื่อพบขี้เทาปนเปื้อนในน้ำคร่ำ ทำการดูดน้ำคร่ำและขี้เทาด้วยลูกยางแดง ในปากและจมูกตามลำดับทันทีที่ศีรษะพ้นช่องคลอด ก่อนที่จะคลอดไหล่หน้า เพื่อลดการสูดสำลักขี้เทาเมื่อทารกเริ่มหายใจครั้งแรก
๓. พิจารณาใส่ ETT เพื่อดูดขี้เทาในรายที่มี asphyxia โดยทำการดูดก่อนช่วยด้วยแรงดันบวก และดูดออกให้มากที่สุด
๔. ภายหลังการดูดขี้เทาในหลอดลม ควรใส่สายยางดูดขี้เทาจากกระเพาะอาหารด้วย
๑. เตรียมเครื่องมือ ประสานกุมารแพทย์
ระยะหลังคลอด
๑. ดูแลให้ได้รับ oxygen
๒. รักษาระดับของ oxygen ให้อยู่ในระดับ 80-100 มม.ปรอท
๓. พิจารณาใช้เครื่องช่วยหายใจ
ข้อวินิจฉัยและการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอดเนื่องจากมีภาวะหายใจลำบากจากการสูดสำลักขี้เทา
การพยาบาล
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง โดยการดูดเสมหะด้วยเทคนิคปราศจากเชื้อ ดูดเสมหะเท่าที่จำเป็น
จัดท่านอนทารกให้ปอดขยายตัวได้มากที่สุดโดย ใช้ม้วนผ้าเล็กๆหนุนใต้ไหล่ให้คอไม่งอหรือแหงนเกินไป หรือ ให้นอนศีรษะสูงเล็กน้อย 30 องศา และพลิกตะแคงตัวอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอตามแผนการรักษา เมื่อเกิดอาการแสดงการแลกเปลี่ยนก๊าซไม่ดี รีบรายงานแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วน
สังเกต ประเมิน ติดตามอาการแสดงของการแลกเปลี่ยนก๊าซไม่ดี ได้แก่ หายใจเร็ว อกบุ๋ม ปีกจมูกบาน ใช้กล้ามเนื้อในการช่วยหายใจมากขึ้นหรือหายใจออกมีเสียงคราง เขียว ชีพจรเต้นเร็ว โดยประเมินทุก 2 ชั่วโมงหรือตามสภาพทารก
ประเมินค่าออกซิเจนในเลือดอย่างต่อเนื่องโดยเจาะค่าแก๊สในหลอดเลือดแดงตามแผนการรักษาและรายงานเมื่อค่าผิดปกติ
ประเมิน ติดตามและบันทึกอัตราการหายใจ การเต้นของหัวใจ ฟังเสียงลมที่เข้าปอดทั้ง 2 ข้างทุก 2 ชั่วโมงเพราะการมีลมเข้าปอดลดลงอาจเกิดจากทางเดินหายใจอุดกั้นจากเสมหะ
ดูแลให้มีอุณหภูมิกายปกติ เพื่อลดการใช้ออกซิเจนของโดยควบคุมอุณหภูมิตู้อบให้เหมาะสมกับทารกและควบคุมอุณหภูมิห้องที่ 26-28 องศาเซลเซียส วัดอุณหภูมิกายทุก 4 ชั่วโมง
ลดการรบกวนทารกโดยไม่จำเป็น พยายามจัดกิจกรรมการรักษาพยาบาลให้อยู่ในเวลาเดียวกัน เพื่อลดการใช้ออกซิเจนของร่างกาย
ความหมาย
ภาวะหายใจลำบากที่เกิดจากการที่ทารกสูดสำลักขี้เทาซึ่งปนในน้ำคร่ำเข้าทางเดินหายใจ ปอด มีความสัมพันธ์กับการขาดออกซิเจนของทารกขณะอยู่ในมดลูก หรือขณะคลอด พบบ่อยในทารกคลอดเกินกำหนดที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 42 สัปดาห์ขึ้นไป หรือทารกที่ได้รับออกซิเจนระหว่างอยู่ในครรภ์ไม่เพียงพอ เช่น GDM, PIH และทารกมีปัญหาสายสะดือถูกกด การคลอดท่าก้น ทารกน้ำหนักน้อย
อาการ
มักปรากฏใน 2-3 ชั่วโมง เกิดจากขี้เทาเข้าไปอุดหลอดลม ทำให้การแลกเปลี่ยนกาซผิดปกติ มีอาการหายใจเร็ว หอบเหนื่อย หายใจลำบาก มีการดึงรั้งของช่องซี่โครง (retraction) อาการเขียว อกโป่ง (barrel chest) เสียงปอดผิดปกติจะได้ยินเสียง crepitation และ rhonchi อาจพบมีขี้เทาติดตามเล็บ ผิวหนังและสายสะดือ ทำให้สายสะดือมีสีเหลือง (yellowish staining)
พยาธิสรีรวิทยา
เมื่อทารกสำลักขี้เทาเข้าปอด จะเกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ (airway obstruction) เกิด ball-valve effect ในปอด ลมเข้าปอดได้แต่ระบายออกไม่ได้ ทำให้ถุงลมโป่งและแตก (pneumothorax)