Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาพยนตร์สั้น “A Beautiful Mind” - Coggle Diagram
ภาพยนตร์สั้น “A Beautiful Mind”
ข้อมูลส่วนบุคคล
ชื่อผู้ป่วย นายจอห์น ฟอบส์ แนช จูเนียร์ (Mr. John Forbes Nash, Jr.)
อายุ 24 ปี เชื้อชาติอเมริกัน สัญชาติอเมริกัน
ประวัติครอบครัว
ผู้ป่วยเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง
ภรรยาสังเกตว่าผู้ป่วยมีความคิดหมกมุ่นเกี่ยวกับเรื่องตัวเลขอย่างมากจนเกือบทำร้ายภรรยาและลูก
ภรรยาเพิ่งทราบเรื่องที่ผู้ป่วยเข้าใจว่าตนเองทำงานเป็นสายลับหลังจากที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอาการทางจิตแล้ว
ภรรยาของผู้ป่วยปฏิเสธว่าไม่เคยพบหรือรู้จักเพื่อนของผู้ป่วยที่ชื่อนายชาร์ลส์มาก่อนเลย
ภรรยาชื่อ นางอลิเซีย (Mrs.Alicia) เล่าว่า ผู้ป่วยเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว มีน้องสาว 1 คน บิดาเป็นวิศวกร มารดาเป็นครูสอนภาษา
ประวัติการเจ็บป่วย
2 ปีก่อนมาโรงพยาบาล หลังจบปริญญาเอกทางด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และเข้าทำงานเป็นนักคณิตศาสตร์ที่วีลเลอร์แลปส์เขาถูกเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกาเรียกตัวไปช่วยถอดรหัสทางการทหาร
จากนั้นนายวิลเลียม แพชเชอร์ มาติดต่อให้เขาทำงานเป็นสายลับคอยถอดรหัสทางการทหารจากนิตยสาร เขาทำงานให้นายวิลเลียมอย่างลับๆ จนพบว่ามีคนสะกดรอยตามเขาอยู่ตลอดและพยายามจะทำร้ายเขา ผู้ป่วยกลัวถูกทำร้ายมาก แต่พยายามเก็บเป็นความลับไม่ให้ใครรู้ แม้กระทั่งภรรยา
จนกระทั่ง 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล เขาเห็นกลุ่มคนสะกดรอยตามเขาไปถึงที่ทำงาน เขารู้สึกกลัวมากจึงวิ่งหนีจนกระทั่งถูกนำส่งโรงพยาบาล
ผู้ป่วยปฏิเสธการเจ็บป่วยในอดีต ปฏิเสธการแพ้ยา/อาหาร และการใช้สารเสพติด
อาการสำคัญ
1 วันก่อนมาโรงพยาบาล หวาดระแวงว่ามีคนสะกดรอยตามจะมาทำร้าย วิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวออกจาก ที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานจึงนำส่งโรงพยาบาลจิตเวช
พัฒนาการตามช่วงวัย
วัยเด็ก
ผู้ป่วยเป็นเด็กเรียนเก่ง ชอบทำอะไรด้วยตนเอง แต่เป็นคนเก็บตัว ไม่มีเพื่อนสนิทและมักมีปัญหา ในการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน
ผู้ป่วยชอบอยู่คนเดียว เนื่องจากรู้สึกว่าเพื่อนชอบแกล้งเขาเพราะเห็นว่าเขาเก่งกว่า ฉลาดกว่า
ผู้ป่วยไม่ชอบกิจกรรมนันทนาการแต่มีความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และทำการทดลองด้วยตนเองตั้งแต่ อายุ 12 ปี
วัยรุ่น
เริ่มมีความคิดว่านักคณิตศาสตร์มีความสำคัญต่ออนาคตของอเมริกา และในช่วงเดียวกันนั้น มีเพื่อนชื่อนายชาร์ลส์ เข้ามาทักทายและเป็นเพื่อนร่วมห้องพัก
นายชาร์ลส์มักมาชวนพูดคุยในสถานการณ์ต่างๆ ให้กำลังใจและคอยอยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วยเสมอ แม้ว่าผู้ป่วยจะเริ่มมีความคิดหมกมุ่นและมีพฤติกรรมแปลกๆเพิ่มมากขึ้นก็ตาม
จากนั้นเข้าเรียนปริญญาเอก เขามีความโดดเด่นทางด้านการเรียนในระดับอัจฉริยะ
สนใจด้านคณิตศาสตร์และเรียนต่อปริญญาโท ด้วยอายุ 20 ปี ผู้ป่วยเริ่มมีบุคลิกที่ดูแตกต่างจากผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด ยังเป็นคนเก็บตัวและไม่มีเพื่อนสนิท
วัยผู้ใหญ่
ผู้ป่วยพบว่านายชาร์ลส์ยังมาปรากฏตัว อยู่กับเขาในหลายสถานการณ์ บางครั้งยังมีหลานสาวตามมาด้วย โดยนายชาร์ลส์เป็นเพียงคนเดียวที่ผู้ป่วยสามารถพูดคุยเรื่องราวต่างๆให้ “เพื่อน” คนนี้ฟังได้
ผู้ป่วยเริ่มสร้างห้องทำงานลับที่ใช้ทำงานสายลับถอดรหัสจากนิตยสารต่างๆ
หลังจบปริญญาเอกและทำงานทั้งงานที่วีลเลอร์แลปส์และงานสายลับ
ต่อมาผู้ป่วยมีแฟน และตัดสินใจแต่งงานกันในที่สุด
การตรวจสภาพจิต
8.ความตั้งใจและสมาธิ
ผู้ป่วยมีความตั้งใจและสมาธิดี ถึงขั้นหมกมุ่นกับบางเรื่องที่มีความสนใจเป็นพิเศษ
9.การตัดสินใจ
เมื่อให้ผู้ป่วยตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ ผู้ป่วยตัดสินใจได้ค่อนข้างเหมาะสม แต่คิดช้า และมีท่าทีหวาดระแวงเกือบตลอดเวลา
7.ระดับสติปัญญา
ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ตอนต้น จบการศึกษาระดับปริญญาเอก มีความรู้ ความเข้าใจและมีสติปัญญาในระดับอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์
6.ความจำ
ผู้ป่วยมีความจำเฉพาะหน้า ความจำระยะสั้น และความจำระยะยาว เป็นปกติ สามารถจำกลุ่มตัวเลขยากๆยาวๆได้เป็นอย่างดี
10.การคิด
ผู้ป่วยยังคงมีความเชื่อว่าตนเองเป็นสายลับของกระทรวงกลาโหม ถูกเรียกตัวให้ไปทำหน้าที่อย่างลับๆหลังเรียนจบปริญญาเอก และกำลังถูกปองร้ายจากกลุ่มคนที่เป็นสายลับรัสเซีย
5.การรับรู้
ผู้ป่วยรับรู้วัน เวลา และสถานที่ได้ แต่บอกว่าจิตแพทย์ที่รักษาเขาเป็นสายลับรัสเซีย ผู้ป่วยจึงไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาเท่าที่ควร
11.ลักษณะการพูด
ผู้ป่วยถามตอบรู้เรื่อง โดยจะพูดตะกุกตะกักในบางครั้ง แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการเป็นสายลับ การถูกสะกดรอยตามจะพูดรัว เร็ว
4.ระดับของการรู้สึกตัว
ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ตอบสนองต่อการเรียกชื่อ มีเหม่อลอยบ้างเล็กน้อย
12.พื้นฐานอารมณ์
ผู้ป่วยบอกว่าเขาเป็นคนใจเย็น ไม่ชอบยุ่งกับใคร แต่การมีคนมาสะกดรอยตามทำให้เขากลัวและกังวลอย่างมาก
3.ความสามารถในการรับสัมผัส
ผู้ป่วยรับสัมผัสได้ตามปกติ แต่บางครั้งผู้ป่วยพูดคนเดียวเหมือนกำลังสนทนากับใคร
สอบถามทราบว่าผู้ป่วยกำลังสนทนากับเพื่อนชื่อชาร์ลส์
13.การแสดงอารมณ์
ผู้ป่วยมักมีสีหน้าเรียบเฉย แต่จะแสดงสีหน้า แววตา และท่าทีหวาดกลัวเมื่อพบจิตแพทย์
2.การเคลื่อนไหว
ผู้ป่วยเดินหลังค่อม มองซ้ายขวาเกือบตลอดเวลา
14.การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
ผู้ป่วยยอมรับว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น แต่ไม่คิดว่าตนเองเจ็บป่วยทางจิต
ที่ตนเองแสดงพฤติกรรมแปลกๆเพราะต้องรักษาความลับทางการทหารเพื่อความมั่นคงของชาติ
และที่วิ่งหนีออกมาจาก ที่ทำงานเพราะมีคนสะกดรอยตามและกำลังจะทำร้ายเขา
1.ลักษณะทั่วไป
ผู้ป่วยเป็นชายชาวตะวันตก วัยผู้ใหญ่ตอนต้น รูปร่างสันทัด ผมสีน้ำตาลเข้ม ไม่มัน ไม่มีรังแค ผิวขาว ปากแห้งเล็กน้อย เล็บมือและเท้าตัดสั้นสะอาด
นั่งกุมมือและบีบมือตัวเองเกือบตลอดเวลา แต่งตัวสะอาด สีหน้าวิตกกังวล แววตาหวาดระแวง ก้มหน้าเป็นส่วนใหญ่
15.อัตมโนทัศนื
ผู้ป่วยภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง ที่เรียนจบปริญญาเอกทางด้านคณิตศาสตร์และได้รับรางวัลจากผลงานชื่อ “Nash Equilibrium”
ภูมิใจที่มีภรรยาที่สวย เก่ง และเป็นคนดี
ผู้ป่วยเชื่อว่าเพราะเขา มีความสามารถในการถอดรหัสตัวเลขจึงต้องมาทำงานเป็นสายลับซึ่งเป็นภารกิจในการช่วยเหลือประเทศชาติ
คาดการณ์โรคที่เกี่ยวข้อง
โรคจิตเภท (Schyzophrenia)
กลุ่มอาการด้านบวก
อาการหลงผิด (Delusion)
ชนิดที่พบบ่อย ได้แก่ persecutory delusion, delusion of
reference รวมทั้งอาการหลงผิดที่จัดอยู่ในกลุ่มอาการหลักของ Schneider
อาการหลงผิดที่มีลักษณะแปลก ฟังไม่เข้าใจ หรือเป็นไปไม่ได้เลย อาการหลงผิดที่จัดอยู่ใน
กลุ่มอาการหลักของ Schneider จัดว่าเป็น bizarre delusion
อาการประสาทหลอน (Hallucination)
พบบ่อยเป็น auditory hallucination
อาจเป็นเสียงคนพูดกันเรื่องของผู้ป่วย เสียงคอยวิจารณ์ตัวผู้ป่วยหรือสั่งให้ทำตามนอกจากนี้อาจเป็นเสียงอื่นๆ ที่ไม่มีความหมาย
Disorganized speech
ผู้ป่วยไม่สามารถรวบรวมความคิดให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันได้ตลอด
แสดงออกมาให้เห็นโดยผ่านทางการพูดสนทนา อาการที่แสดงออกนี้ต้องเป็นมากจนไม่สามารถส ื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เชน่ loose associations, incoherent speech, หรือ tangentiality เป็นต้น
Disorganized behavior
เป็นพฤติกรรมที่ผิดไปจากปกติอย่างมาก ผู้ป่วยแต่งตัวสกปรก แปลก
สวมเสื้อหลายตัวทั้งที่อากาศร้อนจัด บางคนปัสสาวะกลางที่สาธารณะ บางคนจู่ๆก็ร้องตะโกนโดยที่ไม่มีเรื่องอะไรมากระตุ้น
กลุ่มอาการด้านลบ
Affective flattening
Avolition
Alogia
Asociality
โรคกลัวสังคม (Social anxiety disorder)
อาการทางอารมณ์
หวาดกลัวสุดขีดเมื่ออยู่กับคนแปลกหน้า
กลัวสถานการณ์สังคมที่ทำให้้ถูกวิจารณ์
กังวลว่าจะทำให้ต้องอับอายหรือทำให้ทุกคนมอง
กลัวที่จะทำให้คนอื่นรู้ว่ารู้สึกวิตกกังวล
อารมณ์วิตกกังวลดังกล่าวมีผลกระทบต่อชีวิตและงานประจำวัน
กลัวที่จะคุยหรือทำงานกับคนอื่น เพราะกังวลว่าจะทำให้ตัวเองอับอาย
หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะเป็นจุดสนใจ
อาการทางกายภาพ
หน้าแดง
เหลื่อไหลจำนวนมาก
ตัวสั่นเทาและเสียงสั่น
คลื่นไส้
ลำบากในการพูด
ท้องไส้ปั่นป่วน
มือและเท้าเย็น
ใจสั่น
โรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง (Schyzophrenia paranoid)
Paranoid type ลักษณะสำคัญคือ มีความหมกมุ่นอยู่กับอาการหลงผิด หรือหูแว่ว ทั้งนี้
ผู้ป่วยต้องไม่ม ีอาการของ catatonic หรือ disorganized type
Catatonic type เป็นกลุ่มที่มีความผิดปกติเด่นด้านการเคลื่อนไหวได้แก่ stupor,negativism, rigidity, excitement หรือ posturing
Disorganized type ลักษณะสำคัญคือ ความคิดกระจัดกระจายไม่เป็นไปในแนวเดียวกันแสดงออกมาทางคำพูดหรือท่าทาง เช่น incoherence, loosening of association มาก, หรือแสดงออกมาทางคำพูดหรือท่าทาง เชน่ incoherence, loosening of association มาก,
หรือไม่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องไม่มีอาการที่เข้ากันได้กับ catatonic typeส่วนใหญ่เริ่มมีอาการระหว่างอายุ 15-25 ปี การพยากรณ์โรคมักไม่ดีเนื่องจากมีอาการด้านลบเกิดขึ้นเร็ว
โรคจิตหลงผิด (Delusional disorder)
อาการหลงผิดว่าถูกปองร้าย
อาการหลงผิดว่าตนมีความสามารถเกินความเป็นจริง
อาการหลงผิดคิดว่าตนเองป่วย
อาการหลงผิดว่าคู่ของตนนอกใจ
อาการหลงผิดถึงความไม่ยุติธรรมจึงชอบยื่นฟ้องร้องตามกฎหมาย
อาการหลงผิดว่าบุคคลอื่นหลงรักตน หรือเป็นคู่รักของตน
อาการหลงผิดคิดว่าผู้อื่นพูด ว่าร้าย นินทาเกี่ยวกับตน
สาเหตุ
ด้านครอบครัว
ครอบครัวตำหนิ
สาพครอบครัวไม่เหมาะสมในการแก้ไขให้ดีขึ้น
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
สภาพแวดล้อมรอบตัว
เป็นคนเก็บตัว ไม่มีเพื่อนสนิท
ไม่มีสัมพันธภาพกับผู้อื่น
ด้านพันธุกรรม
สารสื่อประสาทในสมอง
Dopamine
Neropinephine
Serotonin
ด้านจิตใจ
ความขัดแย้งภายในจิตใจ
ความเครียด
ความสามารถในการปรับตัว
ประสบการณ์ในอดีต
โดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ
อาการและอาการแสดง
ด้านพฤติกรรม
เดินหลังค่อม
มองซ้ายมองขวาตลอดเวลา
กระสับกระส่าย เดินไปเดินมา
พยายามโต้ตอบกับใครบางคน
เฉยเมย ไร้ความรู้สึก
ประสาทหลอน
หูแว่ว ได้ยินเสียงคนสั่งให้ทำตาม
คิดว่ามีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา
คิดว่าจะมีคนมาทำร้าย
ควบคุมตนเองไม่ได้
ทำร้ายตนเอง
ทำร้ายคนรอบตัว
หวาดระแวง
คิดว่าจะมีคนมาทำร้าย
มีคนสะกดรอยตาม
ไม่ชอบเข้าสังคม
ไม่มีเพื่อน
เก็บตัว อยู่คนเดียว
การรักษา
การรักษาด้วยยา
ระยะควบคุมอาการ
สว่ นฤทธ์ ิในการรักษาอาการโรคจิตของยานั้นต้องใช้
เวลาเป็นสัปดาห์จึงจะเห็นผลขนาดของยาที่ใ ช้โดยทั ่วไป คือ chlorpromazine 300-500มก./วัน หรือ haloperidol 6-10 มก./วัน
การควบคุมอาการให้สงบลงโดย
เร็ว การที่อาการวุ่นวายหรือพฤติกรรมของผู้ป่วยโดยทั่วไปดีขึ้นตั้งแต่ระยะแรกนั้น เป็นมาจากฤทธิ์ทำให้สงบของยา (sedating effect)
ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการวุ่นวายมากอาจให้
benzodiazepine ขนาดสูงร่วมไปด้วยหากหลั งจาก 2 สัปดาห์แล้วอาการโรคจิตยั งไม่ดีขึ้น จึงพิจารณาเพิ่มขนาดยา
ระยะให้ยาต่อเนื่อง
ขนาดของยาจะต่ำกว่าที่ใ ช้ในระยะแรก โดยทั ่วไปจะค่อ ย ๆ ลดยาลงจนถึงขนาดต่ำสุดที่คุมอาการได้
ซึ่งขึ ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคน ขนาดยาที่ใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 100-
300 มก. ของ chlorpromazine ต่อวันในผู้ป่วยที่ไม่ยอมรับประทานยาอาจใช้ยาฉดี ประเภทlong acting
หลังจากที่อาการสงบลงแล้ว ผู้ป่วยยั งจำเป็นต้องได้รับยาต่อเนื่อง เพื่อ
ป้องกันมิให้กลับมามีอาการกำเริบซ้ำยิ่งผู้ป่วยที่ม ีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี การควบคุมด้วยยายิ่งเป็นสิ่งสำคัญ
การรักษายาด้วยไฟฟ้า
ใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นต่ำผ่านสมองเป็นระยะเวลาสั้นๆ
เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดอาการชัก
กระตุ้นให้สารสื่อนำประสาทภายในสมองที่หลั่งผิดปกติได้กลับมาทำงานโดยสม่ำเสมอ เมื่อสารสื่อนำประสาทหลั่งอย่างต่อเนื่องดีแล้วกระบวนการทำงานทางจิต รวมถึงสภาวะทางอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมต่างๆ ก็จะกลับสู่ภาวะปกติ
ระยะเวลาการรักษานาน 10 สัปดาห์ สัปห์ดาล่ะ5ครั้ง