Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลื่ยนเเปลงสรีรวิทยาในขณะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
การเปลื่ยนเเปลงสรีรวิทยาในขณะตั้งครรภ์
ระบบไหลเวียนเลือดเเละหัวใจ
การเปลื่ยนแปลงทางกายภาพ : เมื่อมดลูกโตขึ้นกระบังลมถูกยกขึ้น ทำให้หัวใจถูกยกขึ้นเเละหมุนไปทางซ้าย
Cardiac output
ไตรมาสเเรกจนถึงกระทั่งครบกำหนดคลอด cardiac output จะเพิ่มขึ้น
เเต่เมื่อช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ cardiac output อาจจะลดลง
ฺBlood pressure
ความดันโลหิตขณะตั้งครรภ์จะลดลงกว่าก่อนการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะความดันไดเเอสโตลิคจะลดลงต่ำจากนั้นจะเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับก่อนตั้งครรภ์ในระยะไตรมาสที่ 3
ความดันโลหิตในท่านั่งจะสูงกว่าท่านอน
Heart sound เเละ EKG
S3 ได้ยินชัดเจนขึ้น
S2 จะไม่เปลื่ยนแปลง
S1 อาจพบเสียงดังขึ้นเเละมี Splittting
Blood circulation
การไหลเวียนเลือดที่ขาทั้งสองข้างจะช้าลงขณะตั้งครรภ์ ทำให้เกิดเป็น Varicose vein ที่ขา
การที่มดลูกโตขึ้นกดเส้นเลือดดำใหญ่ ในท่านอนหงายนั้น จะทำให้ cardiac output ลดลง ส่งผลให้ความดันลดลงชั่วขณะ
เรียกว่า Supine hypotensive syndromeมีอาการหน้ามืด วิงเวียน เป็นลม
ระบบภูมิคุ้มกัน
ภาวะตั้งครรภ์ จะกดภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาคุ้มกันกับตัวทารก
การทำงานเม็ดเลือดขาวจะลดลง ทำให้การดำเนินโรคที่เกี่ยวกับ autoimmune disease อาจจะเพิ่มขึ้น
ระบบหายใจ
หลอดเลือดฝอย บริเวณทางเดินหายใจจะขยายตัวใหญ่ขึ้น จากผลของเอสโตรเจน ให้มีการคั่งของน้ำเเละเลือด
เกิดเป็นเลือดกำเดาไหลง่าย
มดลูกที่โตขึ้นเบียดกระบังลมให้สูงขึ้น ปริมาตรอากาศหายใจเข้าออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากโปรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้นเเละร่างกายต้องการเผาผลาญอาหารมากขึ้น
ทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อยได้
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ
กรวยไตเเละท่อไต : จะขยายขึ้น จากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เเละจะพบว่ากรวยไตข้างขวาจะขยายใหญ่มากกว่าซ้าย เเละท่อไตขวาถูกกดเบียด
ทำให้เกิดภาวะคั่งในกรวยไตเเละท่อไต (hydronephrosis)ได้
กระเพาะปัสสาวะ
กล้ามเนื้อเรียบของกระเพาะปัสสาวะจะมีความตึงตัวลดลง ทำให้มีปัสสาวะค้างมากขึ้น จึงเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่ายในระยะเเรก
จะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย เนื่องจากมดลูกเบียดกระเพาะปัสสาวะ
ไต : จะมีขนาดใหญ่ขึ้น อัตราการกรองของโกลเมอรูลัส จะเพิ่มขึ้น เเต่การดูดกลับของไตลดลง จึงอาจพบน้ำตาล ครีตินิน เเละยูริค
ระบบทางเดินอาหาร
Pica คือ ความรู้สึกอยากรับประทานอาหารที่เเตกต่างจากเดิม
เช่น ดิน ผงซักฟอก
Equlis คือ การเปลื่ยนเเปลงที่พบบริเวณเหงือก
อาจเป็นก้อนบวม นูนเเดง
Heart burn
เป็นอาการที่เกิดจากกรดไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหารเข้าไปในหลอดอาหาร
สาเหตุุมาจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น
ริดสีดวง
มีอาการท้องผูกมากขึ้น
มดลูกโตขึ้นกดทับการไหลเวียนในอุ้งเชิงกราน จึงทำให้ความดันบริเวณหลอดเลือดนั้นสูงขึ้น
Morming sickness
คือ อาการคลื่นไส้เเละอาเจียน พบในอายุครรภ์ 4-8 สัปดาห์ จนกระทั่งเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 จึงหายไป
ซึ่งสาเหตุยังไม่ทราบเเน่ขัด เเต่สัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ฮอร์โมน hCG เเละการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร
ระบบต่อมไร้ท่อ
ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland) จะขยายใหญ่ขึ้น
รกจะผลิตสารที่ออกฤทธิ์คล้าย thyroid stmulating factor เพิ่มมากขึ้น
ในภาวะตั้งครรภ์ปริมาณธาตุไอโอดีนจะไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดภาวะขาดธาตุไอโอดีนขึ้น (relative iodine-deficiency state)
มีการเพิ่มขึ้น thyroxine-binding globulin จาการกระตุ้นของออร์โมนเอสโตรเจน
ต่อมพาราไทรอยด์
ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ มีผลต่อส่วนกระดูก ทำให้เกิด bone resorption ดึงเเคลเซียมเข้าไปในพลาสมาเเละมีผลต่อการดูดกลับเเคลเซียมเเละเเมกนีเซียมเพิ่มมากขึ้น
ต่อมพาราไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนเเคลซิโตนินเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยควบคุมปริมาณเเคลเซียม
ต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) จะขยายขึ้น
ฮอร์โมน human placental lactogen
จะมีระดับเพิ่มขึ้นมากมายในระยะตั้งครรภ์ เเละลดลงอย่างรวดเร็วหลังคลอด
ฮอร์โมน hPL มีฤทธิ์ในการกระตุ้นฮอร์โมนอินซูลิน จึงทำให้หลังคลอดไม่เกิดภาวะ diabetogenin effect
โปรเเลคติน (Prolactin)
จะมีระดับเพิ่มขึ้นมากมายในระยะตั้งครรภ์ เเละลดลงอย่างรวดเร็วหลังคลอด
มีหน้าที่กระตุ้น receptor ของฮอร์โมนเอสโตรเจนเเละโปรเจสเตอโรนที่เต้านมมารดาเเละกระตุ้นการหลั่งน้ำนม
ระบบผิวหนังเเละกล้ามเนื้อหน้าท้อง
การที่ท้องลาย (Striae gravidarum) จะมีสีเเดงเป็นขีด พบที่ท้องเต้านมเเละขา
Diastasis recti เป็นภาวะกล้ามเนื้อ rectus หน้าท้องเเยกออกในกลางลำตัว ถ้าเป็นมาก ผนังหน้าท้องบริเวณนั้นจะบางเหลือเเต่ชั้นผิวหนัง
มีการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนเเละโปรเจสเตอโรน ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของ melanin ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำขึ้นเเละจะหายไปหลังคลอด
ระบบโลหิต
ในระหว่างตั้งครรภ์เเละระยะหลังคลอด จะมีอัตราเสี่ยงต่อภาวะ Venous thromboemboli สูงขึ้น จากภาวะ hypertcoagulable stage
ซึ่งเกิดจากองค์ประกอบการเเข็งตัวของเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้ ESR สูงขึ้น
ความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น เเละปริมาณเลือดเพิ่มขึ้นร่วมกับภาวะ hypercoagulation ที่เปลื่ยนเเปลงระหว่างตั้งครรภ์
เพื่อเตรียมชดเชยการที่ต้องสูญเสียเลือดระหว่างการคลอด เเละหลังคลอด
ปริมาณเม็ดเลือดขาวจะเพิ่มขึ้น เมื่อตั้งครรภ์ถึงในไตรมาสที่ 3 เเละจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังคลอด
ปริมาณพลาสมาเพิ่มขึ้นมากกว่า ภาวะไม่ตั้งคครภ์ เเต่ปรืมาณเม็ดเลือดเเดงเพิ่มประมาณ 450 มล.เท่า
จึงเกิดภาวะ physiologic anemia จาก dilutionat effect อาจพบว่าโลหิตจาง
ระบบกล้ามเนื้อเเละกระดูก
เมื่อมดลูกโต ทำให้จุดศุนย์ถ่วงของร่างกายเลื่อนมาข้างหน้า ร่างกายจึงพยายามเเอ่นหลัง เพื่อรักษาสมดุล
ทำให้ปวดหลัง
ข้อต่อของกระดูกในอุ้งเชิงกรานเเละกระดูกหัวเหน่าจะยืดออก จากการเปลื่ยนแปลงของสเตรอยด์ เเละรีเเลกซินฮอร์ดโมน
ทำให้ปวดหลังช่วงล่างเเละก้นกบ
ระบบสืบพันธุ์
เอ็นยึดข้อต่อของกระดูกเเละอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
เอ็นยึดข้อต่อต่างๆ จะยืดขยายเเละนุ่มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมีผลทำให้ปวดเมื่อยเเละเดินไม่ถนัด
รังไข่
ในระหว่างการตั้งครรภ์จะไม่เกิดการตกไข่ เนื่องจากการเพิ่มของระดับออร์โมนเอสโดตรเจนเเละโปรเจสเตอโรนจากรก
ซึ่งมีผลกดการทำงานของ FSH เเละ LH จากต่อมพิตูอิตารี
มดลูก
จะมีการขยายอย่างรวดเร็ว มีความจุเพิ่มขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น
มดลูกจะมีการขยายตัว รูปร่างของมดลูกจะเปลื่ยนเเปลงไป โดยมีลักษณะคล้ายลูกชมพูหรือลูกเเพร์ เเละเปลื่ยนเป็นลักษณะกลมเเละเป็นรูปรี ลอยพ้นขอบเชิงกราน
ท่อนำไข่
มีการขยายตัวใหญ่เเละยาวขึ้น ส่วนกล้ามเนื้อท่อนำรังไข่จะไม่ใหญ่ขึ้น
ปากมดลูก
จะมีความนุ่มเพิ่มขึ้น เรียกว่า Goodell's sing
จะเปลื่ยนเป็นสีเเดงคล้ำ จากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเเละเอสโตรเจน
เต้านม
บริเวณหัวนม จะมีสีคล้ำ เรียกว่า Primary areola มีลักษณะชุ่มชื้นเเละใหญ่ขึ้น
จะขยายใหญ่ขึ้นจากการกระตุ้นของเอสโตรเจนเเละโปรเจสเตอโรนเเละโปรเจสเตอโรน
โปรเจสเตอโรน จะกระตุ้น secretory function ของเต้านม ทำให้รู้สึกตึงเเละเจ็บ
เอสโตรเจน จะกระตุ้นการเจริญของ glandular tissue เเละ ducts
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและช่องคลอด
ภายนอกอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกรวมทั้งผิวหนังเเละกล้ามเนื้อฝีเย็บ จะขยายใหญ่ขึ้นจากการกระตุ้นฮอร์โมน estriol
มีผลทำให้ผิวหนังช่องคลอดเปลื่ยนจากสีขมพูเป็นสีม่วง เรียกว่า Chadnick's sing