Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
A Beautiful mind, นางสาวปณิตา เทพธาราทิพย์ ชั้นปีที่2ห้องB รหัสนักศึกษา…
A Beautiful mind
จากกรณีศึกษา
การรักษา
โดยใช้ยา
อาการโรคจิตมักรักษาควบคุมอาการได้ด้วยการใช้ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotics) ซึ่งเป็นยาตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น แพทย์อาจให้ยาแบบรับประทานหรือให้ผู้ป่วยมาพบเพื่อรับการฉีดยาเป็นระยะ ยาต้านอาการทางจิตจะออกฤทธิ์ยับยั้งโดปามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง เป็นการช่วยลดการเกิดอาการประสาทหลอนและอาการหลงผิด ช่วยให้ผู้ป่วยคิดและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน และอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงได้ดียิ่งขึ้น โดยยาต้านอาการทางจิตมีอยู่หลายชนิด แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าควรจะใช้ยาชนิดใด และจะใช้เป็นเวลานานเท่าใด การรักษาทางยาเป็นการรักษาที่สำคัญมากวิธีหนึ่ง ดังนั้น การดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างสม่ำเสมอจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับยาต้านอาการทางจิตรักษาในช่วงสั้น ๆ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้ยานี้เพื่อรักษาควบคุมอาการโรคจิตไปตลอดชีวิต เนื่องจากภาวะการเจ็บป่วยที่อาจทำให้อาการโรคจิตกำเริบกลับมาได้หากหยุดใช้ยา เช่น ผู้ป่วยโรคจิตเภท (Schizophrenia) อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้านอาการทางจิตอาจส่งผลข้างเคียงและไม่นำไปใช้กับการรักษาผู้ป่วยทุกรายเสมอไป แพทย์อาจต้องดูแลอาการอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ป่วยโรคลมชัก เพราะยาต้านอาการทางจิตอาจส่งผลทำให้การเกิดอาการชักได้ หรือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะยาอาจส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ หลอดเลือด และการหมุนเวียนเลือด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วยได้ ส่วนผลข้างเคียงทั่วไปที่อาจพบในผู้ป่วยบางรายหลังการใช้ยาต้านอาการทางจิต ได้แก่ อาการง่วงซึม ปากแห้ง เวียนหัว ท้องผูก ตัวสั่น ใจสั่น กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข ความต้องการทางเพศลดลง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อกระตุกหรือหดเกร็งจนอาจทำให้เกิดความเจ็บปวด ทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ชัดเจน ทั้งนี้ หากผู้ป่วยหรือผู้ดูแลผู้ป่วยพบอาการที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาให้ทันท่วงทีต่อไป
การบำบัดทางจิต
การบำบัดด้วยการปรับความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioural Therapy: CBT) เป็นวิธีการดูแลสนับสนุนให้ผู้ป่วยได้พูดคุย บอกเล่าถึงสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญจนทำให้เกิดความทุกข์ นักบำบัดจะคอยกระตุ้นให้ผู้ป่วยทำความเข้าใจถึงสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย เพื่อให้พวกเขาผ่อนคลายและหาทางออกจากความทุกข์เหล่านั้นได้ในที่สุด วิธีการนี้มักได้ผลดีกับผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียวแล้วไม่เกิดประสิทธิผลมากเท่าที่ควร อีกทั้งเป็นวิธีที่อาจส่งผลดีในระยะยาวได้จากการที่ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะปรับ จัดการ จัดระเบียบรูปแบบความคิดและพฤติกรรมของพวกเขาเอง
การบำบัดแบบครอบครัว เป็นวิธีการที่ให้ผู้ป่วยและสมาชิกในครอบครัวได้มาพูดคุยถึงความคิดความรู้สึก และปรึกษาหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วยที่ส่งผลกระทบกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวไปด้วย ช่วยทำให้ญาติจัดการกับปัญหาของผู้ป่วยได้ดีขึ้น มีความรู้สึกเครียดกับความเจ็บป่วยของผู้ป่วยน้อยลง โดยขั้นตอนทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักบำบัดเช่นกัน วิธีการนี้มักเกิดประสิทธิผลที่ดีทั้งต่อตัวผู้ป่วยและบุคคลในครอบครัวในระยะยาวด้วย เพราะนำไปสู่การเกิดความรักความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจกันภายในครอบครัวมากยิ่งขึ้น
การเข้าร่วมกลุ่มช่วยเหลือตนเอง (Self-Help Goups) นักบำบัดจะคอยดูแลสนับสนุนให้ผู้ป่วยที่เคยมีอาการโรคจิตได้พูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เนื่องจากการได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่เคยเผชิญเหตุการณ์คล้าย ๆ กัน อาจช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย และเข้าใจสถานการณ์ได้ดี จนเกิดประสิทธิผลที่ดีในการบำบัดรักษาตามมา
-
-
-
-
-
-
-
Hallucination
หลอน
ความหมาย
เป็นอาการทางประสาทที่ทำให้เห็นภาพ ได้ยินเสียง ได้กลิ่น รับรู้รสชาติ หรือเกิดความรู้สึก ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวมักเป็นโรคทางจิต เช่น โรคจิตเภท (Schizophrenia) หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน พบได้ในผู้ที่ใช้ยาบางชนิดซึ่งทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือผู้ที่มีอาการถอนยาและใช้ยาเสพติด หากรู้สึกว่าตนเองมีอาการหลอนหรือพบคนใกล้ชิดมีอาการดังกล่าว ควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อช่วยควบคุมอาการและดูแลให้อาการดีขึ้นได้ในระยะยาว
อาการ
อาการหลอนอาจเกิดขึ้นกับการมองเห็น การได้ยิน ได้กลิ่น รสชาติ หรือสัมผัส ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นอาจแบ่งประเภทได้ดังนี้
-เห็นภาพหลอน (Visual Hallucination) ผู้ป่วยอาจเห็นภาพหรือเหตุการณ์ขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง อาจเห็นเป็นวัตถุ รูปภาพ ผู้คน หรือแสง ตัวอย่างเช่น เห็นแมลงไต่อยู่ที่มือหรือใบหน้าผู้อื่น หรือเห็นแสงสว่างที่คนอื่นไม่เห็นหรือไม่ได้เกิดขึ้นจริง
-อาการหูแว่ว (Auditory Hallucination) ผู้ป่วยอาจได้ยินเสียงที่ดังมาจากจิตใจหรือดังมาจากภายนอก มักจะได้ยินเสียงคนกำลังพูดคุยกันหรือบอกให้ทำอะไรบางอย่าง ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครพูดอยู่ หรืออาจได้ยินเสียงอื่น ๆ เช่น คนกำลังเดิน มีเสียงเคาะ
-ประสาทหลอนทางการได้กลิ่น (Olfactory Hallucination) ผู้ป่วยอาจจะคิดว่าสิ่งที่ตนเองกำลังได้กลิ่นเป็นกลิ่นที่มาจากบางสิ่งบางอย่างรอบ ๆ ตัว หรือเป็นกลิ่นที่มาจากตนเอง เช่น ได้กลิ่นไม่พึงประสงค์เมื่อตื่นนอนมากลางดึก หรือได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากร่างกายตนเอง แต่ในความจริงแล้วไม่มีกลิ่นนั้น นอกจากนั้น อาจเป็นกลิ่นที่ตนเองชอบ เช่น กลิ่นหอมของดอกไม้
-ประสาทหลอนทางการรับรส (Gustatory Hallucination) ผู้ป่วยอาจได้รับรสชาติของอาหารที่แปลกไปหรือเป็นรสชาติที่ไม่พึงประสงค์
-ประสาทหลอนทางการสัมผัส (Tactile Hallucination) ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหมือนถูกสัมผัสหรือมีบางสิ่งขยับอยู่ในร่างกาย ตัวอย่างเช่น รู้สึกเหมือนมีแมลงไต่อยู่บนผิวหนัง อวัยวะภายในกำลังเคลื่อนที่ รวมไปถึงอาจรู้สึกเหมือนมีมือของคนอื่นมาสัมผัสร่างกายหรือจั๊กจี้
การรักษา
การใช้ยา
การรักษาด้วยยา เช่น หากอาการหลอนเกิดขึ้นจากอาการถอนสุราที่รุนแรง แพทย์อาจให้ใช้ยาเพื่อชะลอระบบประสาท หรือการใช้ยารักษาโรคทางจิตและหรือโรคทางสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ รวมไปถึงให้ใช้ยาต้านชัก (Antiseizure) เพื่อรักษาโรคลมชัก และใช้ยาทริปแทน (Triptans) หรือยาเบต้า บล็อกเกอร์ (Beta Blocker) สำหรับผู้ที่เป็นไมเกรน
ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น เช่น จอตาเสื่อม ต้อกระจก หรือต้อหิน ควรได้รับการรักษาโดยแพทย์ หรือผู้ป่วยที่มีเนื้องอกอาจได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีหรือผ่าตัด
การให้คำปรึกษา
สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรคแก่ผู้ป่วย ให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตประจำวันรวมถึงแนวทางการแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันไป ขึ้นกับตัวผู้ป่วยและลักษณะของโรค โดยจะช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมอาการและเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคได้
Delusion
โรคหลงผิด
การรักษา
การใช้ยา
แพทย์มักใช้ยารักษาโรคจิตเภท (Antipsychotics) ซึ่งจะออกฤทธิ์ยับยั้งโดพามีน (Dopamine) และ/หรือยับยั้งเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับอาการ ยาที่แพทย์มักใช้ ได้แก่ Chlorpromazine (Thorazine), Fluphenazine (Prolixin), Haloperidol (Haldol), Aripiprazole (Abilify), Aripiprazole Lauroxil (Aristada), Asenapine (Saphris)
การบำบัดทางจิต
มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยสามารถตระหนักถึงความเป็นจริงและกลับมามีความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมที่ถูกต้องได้ ซึ่งการเยียวยาต้องทำร่วมกันทั้งโดยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ครอบครัว และคนรอบข้างของผู้ป่วย
อาการ
คืออาการที่ผู้ป่วยมีความเชื่อหรือความคิดอย่างแรงกล้าว่าสิ่งๆ หนึ่งนั้นเป็นจริง และไม่สามารถลบความเชื่อนั้นออกไปจากความทรงจำ แม้จะพิสูจน์ได้ว่าไม่เป็นความจริงก็ตาม โดยปกติผู้ป่วยโรคหลงผิดจะยังคงใช้ชีวิตได้ตามปกติ มักมีอาการผิดปกติทางจิต เช่น มีอาการของโรคจิตเภท (Schizophrenia) และโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorder) ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลงผิดจะไม่มีใครสามารถชักนำให้พวกเขาตระหนักว่าสิ่งที่ตนเองเชื่ออยู่นั้นผิดได้
-
-
-
อ้างอิง
กนกรัตน์ สุขะตุงคะ. (2555). คู่มือจิตวิทยาคลินิก: ภาคปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: นีโอ ดิจิตอล.
นริสา วงศ์พนารักษ์. (2553). การบำบัดทางจิตเวชและการให้การพยาบาล. มหาสารคาม: อภิชาติการพิมพ์.
เพียรดี เปี่ยมมงคล. (2553). การพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต. กรุงเทพฯ: ธรรมสาร.
มาโนช หล่อตระกูล. (2555). จิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล.
ศรีพิมล ดิษยบุตร. (2553). สุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช. ศรีสะเกศ: คณะพยาบาลศาสตร์วิทยาลัยเฉลิมกาญจนา.
สมภพ เรืองตระกูล. (2553). คู่มือจิตเวชคลินิก. กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์.
สุชาติ พหลภาคย์. (2553). เทคนิคในการทำให้จิตใจของผู้ป่วยที่เคยได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจมั่นคงขึ้น. ขอนแก่น: คลังนานา.