Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตที่ใช้เทคโนโลยี และยาที่ใช้บ่อยใน ICU -…
บทที่ 5 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตที่ใช้เทคโนโลยี และยาที่ใช้บ่อยใน ICU
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ
และการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
เครื่องช่วยหายใจ (Mechanical ventilator)
เครื่องมือที่ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถหายใจเองได้ หรือหายใจไม่เพียงพอ
ช่วยหายใจแบบแรงดันบวก “positive mechanical ventilator”
คำศัพท์สำคัญ
Tidal volume (VT)
ปริมาตรอากาศที่หายใจเข้าและออกจากปอดใน 1 ครั้ง
คำนวณ น้ำหนักตัว x (ค่าปกติ 6-8 มิลลิลิตร/น้ำหนักตัว 1กิโลกรัม)
Respiratory rate (RR)
อัตราการหายใจให้กับผู้ป่วย
ค่าปกติ 12-20 ครั้ง/นาที
Minute volume (MV)
ปริมาตรลมหายใจออกทั้งหมดใน 1 นาที มีหน่วยเป็นลิตร/นาที
Peak flow (PF)
อัตราการไหลของอากาศเข้าสู่ปอดมีหน่วยเป็นลิตร/นาที
Inspiratory time: Expiratory time (I:E)
อัตราส่วนระหว่างเวลาที่ใช้ในการหายใจเข้าต่อเวลาที่ใช้ในการหายใจออก (1:1)
Sensitivity
ความไวของเครื่องที่ผู้ป่วยต้องออกแรงกระตุ้นเครื่อง
เพื่อเริ่มต้นการหายใจเข้า
Fraction of Inspired Oxygen (Fio2)
ความเข้มข้นของออกซิเจนในอากาศที่เครื่องปล่อยเข้าผู้ป่วย
ปรับได้ ตั้งแต่ 21-100 เปอร์เซ็นต์
Positive End Expiratory Pressure (PEEP)
ทำให้ตวามดันในช่วงหายใจออกสุดท้ายมีแรงบวกค้างไว้ในปอก
ลดแรงในการหายใจ ป้องกันปอดแฟบ (Atelectasis)
ชนิดของเครื่องช่วยหายใจ
Non-invasive positive ventilator; NPPV
ประเภทความดันบวกที่ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ
เหมาะสำหรับผู้ป่วยหายใจล้มเหลวแบบเรื้อรัง
ใช้ในรายที่ถอดท่อช่วยหายใจ
Invasive positive ventilator; IPPV
ประเภทความดันบวกที่ใส่ท่อช่วยหายใจ
รอัดอากาศเข้าไปในปอดผ่านทาง endotracheal tube หรือ tracheostomy tube
การแบ่งประเภทของเครื่องช่วยหายใจ (Mode of ventilator)
Control mandatory ventilation (CMV) หรือ Assist/control (A/C) ventilation
เครื่องจะทำงานเมื่อถูกกระตุ้น ใช้ในกรณีหายใจเองไม่ได้
ตั้งอัตราการหายใจไว้ 14 ครั้งหากผู้ป่วยหายใจ 22 ครั้ง 8 ครั้งที่ผู้ป่วยหายใจเอง
Synchronized Intermittent mandatory ventilation (SIMV)
ช่วยหายใจที่มีทั้งการ หายใจเองและการหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ
การเตรียมหย่าเครื่องช่วยหายใจ
Spontaneous ventilation
Continuous positive airway pressure (CPAP)
ใช้ในผู้ป่วย obstructive sleep apnea
Pressure support ventilator (PSV)
เครื่องช่วยผู้ป่วยในขณะที่ผู้ป่วย สามารถหายใจได้เอง
มักใช้ในการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ข้อบ่งชี้การใช้เครื่องช่วยหายใจ
ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายผิดปกติ
ภาวะหัวใจล้มเหลว
ภาวะช็อก
ความล้มเหลวของการระบายอากาศ (ventilation failure)
ผู้ป่วยที่ซึมมาก ผู้ป่วยโรคหืด ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง
กล้ามเนื้อกะบังลมไม่มีแรง (diaphragm fatigue)
ความผิดปกติของ ระบบประสาทส่วนกลางหรือระบบประสาทส่วนปลาย เช่น Guillain-Barre syndrome, myasthenia gravis
ได้รับยาที่กดศูนย์หายใจ
ภาวะพร่องออกซิเจน (oxygenation failure)
ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุ ผู้ป่วยที่มีการเสียเลือดและผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อ
ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ
ผลต่อระบบหัวใจและไหลเวียนเลือด
ทำให้เลือดดำไหลกลับหัวใจลดลง
ทำให้เลือดดำจากอวัยวะในส่วนล่างของร่างกายกลับสู่หัวใจได้ลดลง
แรงต้านการไหลกลับของเลือดดำสูงขึ้น
(cardiac output) ลดลง
Pulmonary volutrauma
ตั้งปริมาตรการหายใจ (Tidal volume) ที่สูงเกินไป
ทำให้ความดันคงค้างในถุงลมปอดมากกว่า 35 เซนติเมตรน้ำ
ทำให้ถุงลมถ่างขยายมากเกินไป
เยื่อบุผิวถุงลมและหลอดเลือดฝอยสูญเสียหน้าที่
เกิดปอดบวมน้ำเฉียบพลัน และเกิดการทำลายถุงลมในที่สุด
Pulmonary barotrauma
ภาวะที่มีลมรั่วจากถุงลม
เนื่องจากใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดความดันบวก
ลมที่รั่วออกมาจะกระจายเข้าสู่เนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
Artificial airway complication
การบาดเจ็บต่อสกล่องเสียงและเยื่อบุหลอดลม
พบในผู้ป่วยที่ใส่ท่อหลอดลมคอเป็นเวลานาน
ควรมีการวัดและบันทึกความดันในกระเปาะลมทุกเวร ไม่ให้เกิน 20-25 mmHg
Atelectasis
การตั้งปริมาตรการหายใจต่ำและไม่มีการตั้งถอนหายใจ (sigh)
ควรช่วยด้วย manual hyperinflation หลังดูดเสมหะ
Ventilator Associated Pneumonia; VAP
ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจนานเกิน 48 ชั่วโมง
เกิดจากการสำลักเชื้อจุลชีพจากปากหรือลำคอผ่าน หลอดลมเข้าสู่ปอด
ใช้หลัก Aseptic technique ในการดูดเสมหะ
Oxygen toxicity
ได้รับความเข้มข้นของออกซิเจนมากกว่า 0.6 นานเกิน 24-48 ชั่วโมงขึ้นไป
ทำให้มีการทำลายของเนื้อปอด
ควรเลือกใช้ออกซิเจนที่ระดับต่ำสุด
ระบบทางเดินอาหาร
เกิดแผลหรือภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร
เกิดจากการเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลง การได้รับยา ภาวะเครียด
ผลต่อภาวะโภชนาการ
มีอาการไม่คงที่ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตลอดเวลา จึงต้องงดน้ำงดอาหาร
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ
ดูแลด้านจิตใจ
อธิบายเกี่ยวกับการเจ็บป่วย วิธีการรักษาอย่างมีเหตุผล
ควรจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมให้แก่ผู้ป่วย
ดูแลความสุขสบายทั่วไปลด สิ่งรบกวนต่างๆ
การดูแลด้านร่างกาย
ประเมินสภาพผู้ป่วยและภาวะแทรกซ้อน
ป้องกันไม่ให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ
การดูแลให้เครื่องช่วยหายใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และดูแล Tubing system ของเครื่องช่วย หายใจให้เป็นระบบปิด
การป้องกันภาวะปอดแฟบ
การติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น Electrolyte imbalance
การหย่าเครื่องช่วยหายใจ (Weaning)
ขั้นตอนการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ขั้นตอนที่ 1 ก่อนหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ประเมินความพร้อม
โรคหรือสาเหตุ
ค่า PaO2>60 มม.ปรอท FiO2 ไม่เกิน 0.4
ค่า PEEP น้อยกว่า 5 เซนติเมตรน้ำ
ผู้ป่วยรู้สึกตัวและทำตามคำสั่ง
Vital signs ปกติ
Spontaneous tidal volume > 5 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
ความสามารถในการหายใจเองของผู้ป่วย
ใช้ยาระงับประสาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่ใช้ยากระตุ้นหัวใจหรือหลอดเลือด
วิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ผู้ป่วยหายใจเองทาง T piece
เริ่มให้ออกซิเจน 10 ลิตรต่อนาที ใช้เวลาประมาณ ½-2 ชั่วโมง
หย่าไม่ได้
ให้ผู้ป่วย หายใจเองโดยเริ่มจาก 15-30 นาทีแล้วต่อเครื่องช่วยหายใจได้พักอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
ทำเช่นนี้อย่างน้อย 2 รอบ/วัน
ใช้เครื่องช่วยหายใจ mode SIMV,PSV,CPAP
Synchronized Intermittent mandatory ventilation (SIMV)
Pressure support ventilation (PSV)
Continuous Positive Airway Pressure (CPAP)
ขั้นตอนที่ 3 หลังหย่าเครื่องช่วยหายใจ
จัดท่าผู้ป่วยท่านั่งศีรษะสูง
ให้ O2 mask with collugate 10 ลิตร/นาที 2 ชั่วโมง
หลงัจากนั้นเป็น O2 cannula 3-6 ลิตร/นาที
วัดสัญญาณชีพทุก 15-30 นาทีและทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าจะคงที่
เฝ้าระวังอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
ขั้นตอนที่ 2 ขณะหย่าเครื่องช่วยหายใจ
เริ่มหย่าเครื่องช่วยหายใจในตอนเช้าหลังจากผู้ป่วยพักผ่อนเต็มที่
อธิบายวิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจคร่าวๆ
ดูดเสมหะเพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
จัดท่าศีรษะสูงหรือท่านั่ง
เริ่มทำการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
โดยวิธี T piece หรือวิธีปรับ mode การหายใจของผู้ป่วยตามแนวปฏิบัติการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ประเมินสภาพผู้ป่วยว่าพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ
วัด Oxygen saturation ก่อน ขณะการหย่า เครื่องช่วยหายใจ ทุก 5-10 นาท
เฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงทุก 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
กรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถหย่าเครื่องช่วยหายใจโดย T piece 10 ลิตร/นาที
การถอดท่อช่วยหายใจ
แพทย์พิจารณาให้ถอดท่อช่วยหายใจได้ (extubation)
สามารถหายใจผ่าน T piece 10ลิตร/นาที เกิน 2 ชั่วโมง
สามารถไอขับเสมหะออกมาได้แรงพ้นท่อช่วยหายใจ
รู้สึกตัวดีหรือ GCS>10 คะแนน
ประเมิน cuff leak test ผ่าน
วิธีในการถอดท่อช่วยหายใจ
จัดท่านั่งศีรษะสูง
ดูดเสมหะในปากและในท่อช่วยหายใจให้โล่ง
แกะพลาสเตอร์ที่ยึดท่อช่วยหายใจ
เอาลมในกระเปาะท่อช่วยหายใจออกให้หมดโดยใช้ syringe
ให้ผู้ป่วยกลั้นหายใจ ค่อยๆดึงท่อช่วยหายใจออกและให้ผู้ป่วยไอขับเสมหะออกมา ดูดเสมหะอีกครั้ง
ให้ O2 mask with collugate 10 ลิตร/นาที เป็นเวลา 2 ชั่วโมง
วัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที ทุก 30 นาทีและทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าจะคงที่
เฝ้าระวังอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
การพยาบาลผู้ป่วยใส่สายสวนหลอดเลือด
(central line monitor)
การวัดความดันในหลอดเลือดแดง (intra-arterial monitoring)
การสอดใส่สายยางเข้าไปในเส้นเลือดแดง (arterial line; A-line)
นำมาต่อกับเครื่องวัด (manometer) เป็นการวัดความดันของหลอดเลือดแดงโดยตรง
ค่าปกติ MAP = 70-100 mmHg.
ข้อบ่งชี้ในการวัดความดันโลหิตทางหลอดเลือดแดง
ผู้ป่วยที่มีการไหลเวียนลดลง หรือความดันโลหิตต่ำ
ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดซึ่งอาจเสียเลือดได้มาก
จำเป็นต้องการตรวจ arterial blood gas
ผู้ป่วยที่ใช้ inotropic drugs และ vasoactive drug
ผู้ป่วยที่วัดความดันโลหิตยาก
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใส่สายหลอดเลือดแดง (arterial line)
ตรวจสอบความแม่นยำของการปรับเทียบค่า (Accuracy)
Levelling the transducer
Zeroing the transducer
ดูแลระบบของ arterial line
โดยใช้สารน้ำ 0.9% NSS 500 cc ผสมกับ Heparin 2,000-2,500 ยูนิต
ใส่ความดัน (pressure bag) ขนาด 300 มม.ปรอท
ป้องกันภาวะแทรกซ้อน
การติดเชื้อ (infection)
ใช้ sterile technique
การเกิดเนื้อตาย (Skin necrosis)
ภาวะที่มีเลือดออกในเนื้อเยื่อ (Hematoma)
ถป้องกันได้โดยกดห้ามเลือดตำแหน่งที่แทง
การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายลดลง (limb ischemia)
capillary refill และคลำชีพจรแขนหรือขาข้างที่ใส่สายยาง
การป้องกันการติดเชื้อ (Infection)
ใช้ sterile technique
ดูแลให้เป็นระบบปิด
ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ
ทำแผลทุก 7 วัน
เปลี่ยนชุดของ transducer และชุดการให้สารน้ำทุก 3 วัน
ต้อง flush สายไม่ให้มีเลือดหรือฟองอากาศ ค้างในสาย
ตรวจสอบข้อต่อต่างๆ ให้แน่นอย่างสม่ำเสมอ
ป้องกันการหักงอ ของสาย arterial line
การป้องกันการเลื่อนหลุด ควร immobilized arm โดยใช้ arm broad ที่เหมาะสม
damped waveform และบันทึกตำแหน่งของสายยาง
จดบันทึกค่า Arterial blood pressure ที่ได้ทุก 15-60 นาที
ถอดสายยางออกแล้วควรกดตำแหน่งแผลไว้นาน อย่างน้อย 10 นาที
การวัดค่าความดันในหลอดเลือดดำส่วนกลาง (Central venous pressures; CVP)
การวัดความดันของเลือดดำส่วนกลาง หรือแรงดันเลือด ของหัวใจห้องบนขวา (right atrium pressure)
วัดจาก Superior Vena Cava (SVC)
ข้อบ่งชี้ในการติดตามค่า CVP มีดังนี้
ผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดจากอุบัติเหตุหรือจากการผ่าตัด ภาวะ shock
ในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำเกิน
ในกรณีที่ต้องการประเมินการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด
ตำแหน่งเส้นเลือดที่ใช้สำหรับ monitor CVP
subclavian vein เป็นตำแหน่งเหมาะสมที่สุด
รองลงมาคือ internal jugular vein
ตำแหน่ง Femoral vein
ตำแหน่งที่ใช้จะเป็นเส้นเลือด ดำใหญ่บริเวณข้อพับ
Basilic vein, Brachial vein หรือ Cephalic vein
ปลายสายจะอยู่ที่ Superior Vena Cava
การแปลงค่า CVP
ค่า CVP ปกติอาจอยู่ในช่วง 6-12 cmH2O (2-12 mmHg)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีสายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง (Central venous pressures; CVP) 1
ความแม่นยำของการเปรียบเทียบค่า
Levelling the transducer
Zero the transducer
ป้องกันการเลื่อนหลุดของสายสวน
ดูแลไม่ให้เกิดการดึงรั้ง
ป้องกันการติดเชื้อ
พิจารณาถอดออกให้เร็วที่สุด
ประเมินแผลบริเวณรอบๆ ที่คาสายสวนหลอดเลือดดำทุกเวรและทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าปิดแผล
ทำความสะอาดแผลด้วย 2% Chlorhexidine in 70% Alcohol
สวมปิดบริเวณข้อต่อด้วย needleless connector หรือจุกปิด (stopcock)
กรณีการเปลี่ยนชุดสารน้ำควรเปลี่ยนภายใน 72 ชั่วโมง
เฝ้าระวังและดูแลระบบการให้สารน้ำต้องเป็นระบบปิดตลอดเวลา
ป้องกันการอุดตันของสายสวน
ดูแลสายสวนทางหลอดเลือดดำไม่ให้หักพับงอ
ให้ยาหรือสารละลายต่างชนิดควรใช้ NSS flush คั่นก่อน
ภายหลังใช้งานแล้วใช้ push โดยใช้ NSS 10 ซีซี
การป้องกันฟองอากาศเข้าหลอดเลือดโดยดูแลให้เป็นระบบปิด
ต้องไล่ฟองอากาศทุกครั้ง
ยาที่ใช้บ่อยในผู้ป่วยวิกฤต (common drugs used in ICU)
ยาที่ใช้ในภาวะ Pulseless Arrest
Epinephrine หรือ Adrenaline
1 mg/ml/ampule (1: 1,000)
กลไกการออกฤทธิ์
กระตุ้น Alpha adrenergic receptor และ beta adrenergic receptor
เกิด vasoconstriction
เพิ่ม coronary perfusion
เพิ่ม cerebral perfusion
เพิ่ม (positive inotropic effect) และอัตราการเต้นของหัวใจ
การนำไปใช้
ยาตัวแรกในการทำ CPR ทั้งในภาวะ systole/PEA และ VF/pulseless VT
ใช้ในภาวะ symptomatic bradycardia
Cardiac arrest
ขนาดยาที่ใช้
Cardiac arrest 1 mg IV และให้ซ้ำทุก 3-5 นาที
กรณีความดันโลหิตต่ำรุนแรง (severe hypotension) ขนาด 0. 05- 1.0 mcg/kg/min
การบริหารยา
IV; Undilute (1:1,000) หรือ dilute ให้ได้ 1:10,000 ยา
ผลข้างเคียง
tachycardia, arrhythmias, hypertension
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที
ปรับเพิ่ม/ลดขนาดยา เมื่อ BP< 90/60 หรือ >140/90 mmHg
Amiodarone (Cordarone®)
กลไกการออกฤทธิ์
class III antiarrhythmic drugs ใช้รักษาภาวะ tachyarrhythmia
การนำไปใช้
รักษา Atrial fibrillation และ Atrial flutter
รักษาหัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะชนิด VT&VF
ขนาดยาที่ใช้
ทำ CPR ขนาด 300 mg หรือ 5 mg/kg เจือจางใน D5W 20 ml. IV push
การบริหารยา
Amiodarone injection 150 mg/ 3 mL เจือจางใน D5W
ผลข้างเคียง
เกิด vasodilatation และ hypotension
Bradycardia, hypothyroidism, hyperthyroidism, thrombophlebitis
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ และ monitor EKG ทุก 15 นาที 3 ครั้ง
หลัง loading dose รายงานแพทย์เมื่อ BP < 90/60 mmHg, HR < 60 BPM
ยาที่ใช้ในภาวะ Bradyarrhythmia
Atropine
กลไกการออกฤทธิ์
anticholinergic drug ยับยั้งการทำงานของ valgus nerve ที่หัวใจ ทำให้มี การเพิ่มขึ้นของ heart rate
การนำไปใช้
แก้ไขภาวะหัวใจเต้นช้าผิดปกติและ AV block
ขนาดยาที่ใช้
0.6-1 mg ทุก 3-5 นาที (ขนาดสูงสุดไม่เกิน 3 mg)
การบริหารยา
Atropine 0.6 mg/ml/ampule ให้ IV
Bolus: Undiluted or dilute 1-10 ml ฉีด 15–30 วินาที
ผลข้างเคียง
tachycardia
acute myocardial infarction อาจทำให้เกิดภาวะ ischemia มากขึ้น
การพยาบาล
ติดตามสัญญาณชีพ monitor EKG
ระวังการให้ขนาดที่ต่ำกว่า 0.5 mg อาจเกิดการตอบสนองชนิดหัวใจเต้นช้าลง
ยาที่ใช้ในภาวะ Tachyarrhythmia
Adenosine
กลไกการออกฤทธิ์
purine nucleoside สามารถยับยั้งการนำไฟฟ้าผ่าน AV node
ฉีดเข้าสู่ร่างกาย ยาจะถูก จับ และทำลายที่เม็ดเลือดแดงและผนังหลอดเลือดอย่างรวดเร็ว มีค่าครึ่งชีวิตน้อยกว่า 10 วินาที
การนำไปใช้
Stable narrow complex tachycardia (reentry SVT)
unstable narrow complex regular tachycardia
ภาวะ regular monomorphic wide complex tachycardia
ขนาดยาที่ใช้และการบริหารยา
Adenosine 6 mg/2 ml/vial IV ขนาด 6 mg ฉีดเร็ว ๆ ภายใน 1–3 วินาที
ตามด้วย NSS bolus 20 ml พร้อมกับยกแขนสูง (double syringe technique) ให้ยาซำ้ได้อีก 12 mg
ผลข้างเคียง
(flushing) เหนื่อยและแน่นหน้าอก
การพยาบาล
ฉีดเร็วๆ บริเวณ upper extremities และ flush NSS ตาม 20 ml ด้วยวิธี double syringe technique
Digoxin (Lanoxin ®)
การนำไปใช้
Heart failure
atrial fibrillation (AF), atrial flutter และ supraventricular Tachycardia (SVT)
ขนาดยาที่ใช้
Digoxin injection 0.5 mg/ 2 mL amp
การบริหารยา
IV bolus จะต้องให้ช้าๆ นานกว่า 5 นาที
ใช้ sterile water for injection, NSS, D5W โดยใช้สารละลายมากกว่า 4 เท่า
ผลข้างเคียง
Sinus bradycardia, S-A arrest
AV block, Atrial fibrillation
พิษจากยา : อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ปวดท้อง เบื่ออาหาร กระสับกระส่าย ฯลฯ
การพยาบาล
vital signs ทุก 15 นาที ก่อนและหลังให้ยา
monitor EKG ขณะฉีดยา และหลังฉีดยา 1 ชั่วโมง
รายงานแพทย์เมื่อ Arrhythmia
ยาขยายหลอดเลือด (Vasodilators)
Nicardipine
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งแคลเซียมเข้าเซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจและ เซลล์กล้ามเนื้อเรียบของผนังหลอด
การนำไปใช้
Hypertensive crisis
ขนาดยาที่ใช้และการบริหารยา
IV bolus คือ เจือจางยา Nicardipine 2 mg ด้วย NSS ให้เป็น 4 ml IV
IV drip นิยมเขียนเป็น 1: 10 Nicardipine 10 mg : สารละลาย 100 ml
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หน้าแดง
ใจสั่น หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ
การรั่วออกของยาออกนอกเสนเลือด เพราะอาจทําใหหลอดเลือดอักเสบ
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต
Emergency ให้ยาทาง IV bolus ติดตามทุก 5 นาที จน BP, HR ได้ระดับที่ต้องการ
IV drip ติดตามทุก 15 นาที
Sodium Nitroprusside
กลไกการออกฤทธิ์
ยาขยายหลอดเลือดแดงและดำ โดย free nitroso group (NO)
ยับยั้ง excitation-contraction coupling ของผนังหลอดเลือด
การนำไปใช้
ลดความดันโลหิตในผู้ป่วย hypertensive emergency
ลด afterload ในภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
ขนาดยาที่ใช้และการบริหารยา
ยาผสม 50 mg ใน D5W 250 ml
ให้ 0.1 mcg/kg/min ปรับยาขึ้นครั้งละ 10 mcg/min เพิ่ม ทุก 3-15 นาท
ผลข้างเคียง
คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ เหงื่อออกมาก
ความรู้สึกตัวลดลงและมีภาวะความเป็นกรดในเลือดสูงขึ้น
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต ทุก 5 นาทีหลังให้ยา
ป้องกันยาในขวดน้ำเกลือทำปฏิกิริยากับแสงด้วยกระดาษ ผ้า หรือ aluminum foil
Nitroglycerin (NTG)
การบริหารยา
Nitroglycerin 500-1000 มก. ใน D5W หรือ NSS 250 ml
NTG 1 vial มี 10 ml บรรจุยา 50 mg เจือจางใน 5%D/W หรือ 0.9%NSS
ขนาดยาที่ใช้
เริ่มขนาด 5-10 mcg/min เพิ่มทีละ 5-10 mcg/min ทุก 5-10 นาที
การนำไปใช้
Acute coronary syndrome, Chest pain (angina pectoris)
กลไกการออกฤทธิ์
แรงในการบีบตัวของหัวใจลดลง ช่วยลดความต้องการ ออกซิเจนของร่างกาย
เลือดไหลกลับหัวใจ ลดลง ลดปริมาณเลือดในห้องหัวใจ (preload )
ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดดำขยายตัว
กระตุ้น guanylate cyclase ใน cytoplasm
หลั่ง nitric oxide (NO) เข้าสู่กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด
ผลข้างเคียง
Hypotension, Tachycardia
Flushing, headache
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ
monitor ECG
ยากระตุ้นความดันโลหิต (Vasopressor)
Dopamine (Inopin®)
กลไกการออกฤทธิ์
กระตุ้น Adrenergic และ Dopaminergic receptors
การนำไปใช้
ขนาดต่ำ
ปัสสาวะออกน้อย เพิ่ม renal blood flow
ขนาดปานกลาง
เพิ่มการบีบตัวของหัวใจ เพิ่ม Cardiac out put
ขนาดสูง
หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ
ขนาดยาที่ใช้และการบริหารยา
1 Amp บรรจุ 10 ml ใช้เจือจางใน NSS หรือ D5W เช่น 1:1
ผลข้างเคียง
การรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตายได้
คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ
การพยาบาล
เลือกตำแหน่งให้ยาบริเวณหลอดเลือดดำเส้นใหญ
ตรวจดู IV site ทุก 1 ชั่วโมง
monitor ECG, urine out put, vital signs
Dobutamine
กลไกการออกฤทธิ์
กระตุ้นที่ Beta-1 และAlpha-1 Adrenergic receptors ที่หัวใจ
ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวแรงขึ้น
ทำให้ช่วยลด afterload
เพิ่ม Cardiac out put
การนำไปใช้
เพิ่ม cardiac output ในผู้ป่วยหัวใจวายหรือ cardiogenic shock
ขนาดยาที่ใช้
Dobutamine 2-20 mcg/kg/min
การบริหารยา
ยา 1 Vial บรรจุ 20 ml ใช้เจือจางใน NSS หรือ D5W เช่น 1:1
ผลข้างเคียง
ความดันโลหิตสูงหัวใจเต้นเร็วและเต้นผิดจังหวะ
การรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตายได้
การพยาบาล เหมือนกับยา Dopamine
Norepinephrine (Levophed®)
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์กระตุ้น beta1 และ alpha adrenergic receptors
ส่งผลให้เกิดการหดตัวของหลอด เลือด ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
ขนาดยาที่ใช้
0.01-3 mcg/kg/min
การนำไปใช้
septic shock และ cardiogenic shock ระดับรุนแรง
ภาวะ shock หลังจากได้รับสารน้ำเพียงพอแล้ว
การบริหารยา
ยา 1 Amp บรรจุ 4 ml ใช้เจือจางใน D5W เท่านั้น เช่น 4:100/8:100
ผลข้างเคียง
หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง เนื้อตาย
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ monitor ECG อาการ ข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ทุก 0.5 -1 ชั่วโมง
ตรวจดู IV site ทุก 1 ชั่วโมงเพื่อเฝ้าระวังการเกิดยารั่ว