ภาพยนต์ A Beautiful mind

โรคจิตเภท (schizophrenia)

ผู้ป่วยโรคจิตเภท เป็นโรคเรื้อรังที่มีการกลับเป็นซำ้ได้บ่อยโดยปัจจัยที่สำคัญคือขาดการรับการรักษาต่อเนื่อง ดังนั้นหากผู้รักษาสามารถวินิจฉัย และให้การดูแลเบื้องต้นด้วยยาและการดูแลทางจิตสังคมร่วมกับญาติมีการติดตามดูแลต่อเนื่องเพื่อป้องกันการขาดยาจะสามารถช่วยลดความรุนแรงและช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

อาการ

อาการด้านบวก

1.อาการหลงผิด การมีความคิดหรือความเชื่อที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

  1. อาการประสาทหลอน การกำหนดรู้ที่เกิดขึ้น
    โดยไม่มีสิ่งเร้าภายนอก เช่น หูแว่วได้ยินเสียงคนพูดด้วยโดยที่มองไม่เห็นตัว

3.การพูดแบบไม่มีระเบียบแบบแผน การพูดในลักษณะที่หัวข้อวลีหรือ
ประโยคที่กล่าวออกมาไม่สัมพันธ์กัน

4.พฤติกรรมแบบไม่มีระเบียบแบบแผน พฤติกรรมที่ผิดแปลกไปอย่าง
มากจากธรรมเนียมปฏิบัติของคนทั่วไปในสังคม

อาการด้านลบ

5.พฤติกรรมเคลื่อนไหวผิดแปลกไปจากปกติ การเคลื่อนไหวมากเกินไป
น้อยเกินไป หรือนิ่งแข็งอยู่กับที่

1.ทำกิจวัตรประจำวันไม่เหมือนเดิม

2.ขาดความสนใจในการเข้าสังคมและกิจกรรมที่เคยสนใจ

3.ความคิดอ่านและการพูดลดลง

4.ไม่ดูแลสุขภาพอนามัยส่วนตัว

การวินิจฉัยโรค

ในปัจจุบันมีเกณฑ์การวินิจฉัยทั้งขององค์การอนามัยโลก (International Statistical Classificationof Diseases and Related Health Problems 10th Revision: ICD-10) และของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน(Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorder 5th ed.: DSM-5)

ตามเกณฑ์วินิจฉัย ICD-10

โรคจิตเภท มีลักษณะทั่วไป คือ มีความผิดปกติทางความคิดและการรับรู้ มีอารมณ์ไม่เหมาะสมหรือเฉยเมย โดยระดับความรู้สึกตัวและสติปัญญามักยังปกติอยู่อย่างไรก็ตาม การสูญเสียด้านการรู้คิดจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ปรากฏการณ์ทางจิตพยาธิสภาพที่สำคัญที่สุด ได้แก่ ความคิดแพร่กระจาย การหลงผิดในการรับรู้
หลงผิดว่าถูกควบคุม หูแว่ว ได้ยินคนอื่นนินทาผู้ป่วย มีความคิดที่ผิดปกติและมีอาการด้านลบ

ตามเกณฑ์วินิจฉัย DSM-5

A. มีอาการต่อไปนี้ตั้งแต่2 อาการขึ้นไปนาน 1 เดือน โดยอย่างน้อยต้องมีอาการในข้อ 1-3 อยู่1 อาการ

1.อาการหลงผิด

2.อาการประสาทหลอน

3.การพูดอย่างไม่มีระเบียบแบบแผน

4.พฤติกรรมการ
เคลื่อนไหวมากเกินไป น้อยเกินไป หรือแปลกประหลาด

5.อาการด้านลบ เช่น สีหน้าทื่อ เฉยเมย แยกตัวจากคนอื่น

B. ระดับความสามารถในด้านสำคัญๆ เช่น ด้านการทำงาน การมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น หรือการดูแลตนเองลดลงไปจากเดิมอย่างชัดเจนอย่างน้อยหนึ่งด้าน

C. มีอาการต่อเนื่องกันนาน 6 เดือนขึ้นไป

D. ต้องแยก โรคจิตอารมณ์โรคซึมเศร้า โรคอารมณ์สองขั้วออก

E. ต้องแยกอาการโรคจิตที่เกิดจากโรคทางกายและสารเสพติดออก

F. ผู้ป่วยที่มีประวัติกลุ่มโรคออทิสติก หรือโรคเกี่ยวกับการสื่อสารตั้งแต่วัยเด็ก จะวินิจฉัยโรคจิตเภทก็ต่อเมื่อมีอาการหลงผิดหรืออาการประสาทหลอนที่เด่นชัดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน ร่วมด้วย

อ้างอิง

โรคจิตหลงผิด (Delusional disorder)

การมีความเชื่อ หรือความคิดไม่ตรงกับความเป็นจริง เรียกว่า อาการหลงผิด (delusion) ตั้งแต่ 1 เรื่องนานตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป

ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง

ปัจจัยด้านจิตใจ อาจเกิดจากการเลี้ยงดู ที่ไม่ได้รับความอบอุ่น ทำให้ไม่เชื่อใจใคร และมีความรู้สึกไวต่อท่าทีของผู้อื่น

ปัจจัยด้านสังคม เกิดจากสังคมที่มีความเครียด กดดัน การแข่งขันสูง การเอารัดเอาเปรียบ ทำให้รู้สึกว่าถูกผู้อื่นคุกคาม หรือรู้สึกว่าได้รับการกระทำที่ไม่ดีจากผู้อื่น จึงมีความระแวงได้มากขึ้น

ปัจจัยด้านชีวภาพ ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่พบว่าสัมพันธ์กับสมองส่วนที่ควบคุมความเป็นเหตุผลและอารมณ์ความรู้สึก

กลุ่มเสี่ยง

ผู้ที่เป็นโรคนี้ สามารถพบได้ในคนที่มีความเครียดสูง ผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน มีฐานะไม่ดี ทำให้มีการปรับตัวที่ผิดปกติ และเกิดความหวาดระแวงได้ ซึ่งสามารถพบได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 18-90 ปี และพบมากในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป

กลุ่มเสี่ยง

ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นจะเริ่มมีอาการขณะอายุราว 20 ปี ถึง 30 ปีเศษ พบว่าเพศชายเริ่มมีอาการขณะอายุน้อยกว่าเพศหญิง พบน้อยที่มีอาการก่อนช่วงวัยรุ่น โรคนี้ยังอาจพบได้ในคนสูงอายุ เช่น เริ่มมีอาการหลังอายุ 45 ปี แต่พบไม่มาก

ประเด็นที่สงสัย

ความคิดหลงผิดกับภาพหลอนต่างกันยังไง

พรบ

มาตรา ๒๓ ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติทางจิต คือมีภาวะอันตรายหรือ มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือตำรวจโดยเร็ว

มาตรา ๑๖ ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วยในประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ป่วย เว้นแต่ ๑) ในกรณีที่อาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยอื่น ๒) เพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน ๓) มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย

ความคิดหลงผิด โดยอาการหลงผิดที่พบบ่อยที่สุดคือ ระแวงว่าตนถูกกลั่นแกล้ง หรือถูกปองร้าย ผูกเรื่องเชื่อมโยงไปในแนวทางเดียวกัน

ภาพหลอน อาจเห็นคนใกล้ชิด เห็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ ส่วนใหญ่จะเห็นสีสัน รายละเอียดชัดเจน และมักมีหูแว่วร่วมด้วย

ผลข้างเคียงของการรักษามีอะไรบ้าง

การรักษาด้วยยา

อาการง่วงนอน กระสับกระส่าย ปวดเมื่อย ตัวสั่น ตาพร่ามัว ตัวแข็งเกร็ง กรามแข็ง
ลิ้นแข็ง

การรักษาด้วยไฟฟ้า

หากปวดเมื่อยจากการเกร็งกล้ามเนื้อ ให้ประคบร้อนหรือประคบเย็น หรือนวดเบาๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

ชดาพิมพ์ เผ่าสวัสดิ์. (2551). พระราชบัญญัติสุขภาพจิต. สืบค้นจาก https://th.rajanukul.go.th/

ครอบครัวจะมีส่วนช่วยในการรักษาผู้ป่วยอย่างไรบ้าง

ช่วยให้ครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับโรคจิตเภท และปัญหาเกี่ยวกับโรคนี้ ช่วยให้ครอบครัวเข้าใจวิถีทางที่จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการลดน้อยลง ดังนั้นครอบครัวจึงต้องเข้าใจและให้กำลังใจผู้ป่วยอยู่เสมอ

ประวัติทั่วไป

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อ นายจอร์น ฟอบส์ แนช จูเนียร์(Mr.John Forbes Nash,Jr.)

อายุ 24 ปี

สัญชาติอเมริกัน เชื้อชาติอเมริกัน

ประวัติครอบครัว

ภรรยาชื่อ อลิเซีย มีลูกด้วยกัน 1 คน

มีน้องสาว 1 คน

สัมพันธภาพในครอบครัว

ผู้ป่วยเป็นคนเก็บตัว

ผู้ป่วยมีความคิดหมกมุ่นเกือบทำร้ายภรรยาและลูก

ผู้ป่วยไม่มีความรู้สึกไม่อยากมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา

ผู้ป่วยมีความคิดหมกมุ่นและมีพฤติกรรมที่แปลก

สาเหตุ

ด้านพันธุกรรม

สารสื่อประสาทในสมอง

ด้านครอบครัว

ครอบครัวตำหนิ

สภาพครอบครัวไม่เหมาะสมในการที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น

ด้านสังคมและวัฒนธรรม

สภาพแวดล้อมรอบตัว

เป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบเข้าสังคม

ไม่มีสัมพันธภาพกับผู้อื่น

ด้านจิตใจ

ความขัดแย้งภายในจิตใจ

ความเครียด

ความสามารถในการปรับตัว

ประสบการณ์ในอดีต

โดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ

พัฒนาการตามช่วงวัย

วัยเด็ก

ชอบเก็บตัว

ไม่มีเพื่อนสนิทและมักมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับเพื่อน

เรียนเก่ง

ไม่ชอบทำกิจกรรมนันทนาการแต่มีความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์และการทดลองตั้งแต่อายุ12ปี

วัยรุ่น

ผู้ป่วยหันมาสนใจทางด้านคณิตศาสตร์และุ่งมั่นในการเรียน

ผู้ป่วยเริ่มมีบุคลิกที่ดูแตกต่างจากผู้ปื่นอย่างชัดเจน

ชาร์ลส์อยู่กับเขาตลอดเวลาและเป็นเพื่อนคนเดียวที่สามารถพูดคุยด้วยได้

เรียนปริญญาเอก

มีความโดดเด่นทางด้านการเรียนระดับอัจฉริยะ

เริ่มมีความคิดหมกมุ่นและมีพฤติกรรมแปลกๆขึ้นมากขึ้น

พบว่าชาร์ลส์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น

ให้กำลังใจและคอยอยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วยเสมอ

สรุปการเชื่อมโยงกับ Case

ผู้ป่วยมีเกณฑ์วินิจฉัยตาม DSM-5 มีอาการตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไปนาน 1 เดือน ซึ่งตรงกับเกณฑ์การวินิจฉัยของโรคจิตเภท (schizophrenia)

การรักษา

1.ยาต้านโรคจิต ลดอาการที่ป่วยอยู่ และช่วยให้กลับมาทำงานได้เกือบเหมือนเดิม แต่ยาก็ยังไม่สามารถรักษาผู้ป่วยจิตเภทให้หายขาดได้

2.การรักษาด้วยไฟฟ้า แพทย์ใช้การรักษาวิธีนี้กับโรคทางจิตเวชหลายๆ โรค เช่น โรคซึมเศร้าที่มีอาการุนแรง คิดฆ่าตัวตาย เป็นต้น ซึ่งจะได้ผลดีมาก ในผู้ป่วยโรคจิตเภทนั้นผลไม่ดีเท่าการรักษาด้วยยา โดยทั่วไปจะใช้ในกรณีที่ให้ยาขนาดสูงแล้วผู้ป่วยก็ยังมีอาการไม่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังอาจใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการวุ่นวายมาก หรืออยู่นิ่งเฉย ไม่กินข้าวกินน้ำ

3.การดูแลรักษาด้านจิตใจและสังคม

การช่วยเหลือด้านจิตใจ ผู้ป่วยอาจมีความคับข้องใจ รู้สึกเครียด ไม่ทราบว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งปัญหาภายในตนเองและปัญหาที่มีกับคนรอบข้าง ผู้รักษาจะให้คำแนะนำที่ผู้ป่วยสามารถนำไปปฏิบัติได้ เช่น ช่วยผู้ป่วยในการหาวิธีแก้ปัญหาในแบบอื่นๆ ที่เขาพอทำได้ ช่วยผู้ป่วยค้นหาดูว่าความเครียดหรือความกดดันอะไรที่เขามักทนไม่ได้ เป็นต้น

การให้คำแนะนำแก่ครอบครัว เป็นการให้ความรู้แก่ญาติและผู้ดูแลผู้ป่วย เกี่ยวกับเรื่องของโรคและปัญหาต่างๆ

กลุ่มบำบัด เป็นการจัดกิจกรรมกลุ่มระหว่างผู้ป่วยขณะที่ผู้ป่วยอยู้ในโรงพยาบาล โดยส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกว่ามีเพื่อน มีคนเข้าใจ ไม่โดดเดี่ยว มีการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาและให้คำแนะนำแก่กัน ฝึกทักษะทางสังคม เน้นการสนับสนุนให้กำลังใจแก่กัน

นิเวศน์บำบัด เป็นการจัดสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาลเพื่อช่วยส่งเสริมขบวนการรักษา ประกอบด้วย การจัดกิจกรรมต่าง ๆ ภายในหอผู้ป่วย การจัดสภาพแวดล้อมภายในหอผู้ป่วยให้น่าอยู่ ผู้ป่วยต้องช่วยในกิจกรรมต่าง ๆ เท่าที่พอทำได้ เพื่อส่งเสริมความรู้สึกเชื่อมั่นในตนเองของผู้ป่วย

อาการ

ระแวงว่าตนถูกกลั่นแกล้ง หรือถูกปองร้าย ผูกเรื่องเชื่อมโยงไปในแนวทางเดียวกัน ส่วนใหญ่ไม่พบว่ามีประสาทหลอน เช่น หูแว่ว ผู้ป่วยมักจะยังคงทำหน้าที่ได้ตามปกติ ยกเว้นบางกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความหลงผิด เช่น ถ้าหลงผิดว่าเพื่อนร่วมงานกลั่นแกล้งก็อาจจะขอลาออกจากที่ทำงาน ทั้ง ๆ ที่ยังทำงานด้านนั้นได้ตามปกติ ทั้งนี้ผู้ป่วยอาจจะไม่รู้ตัวว่ามีอาการหลงผิด ญาติหรือผู้ใกล้ชิดจึงควรสังเกตอาการและแนะนำให้มารักษา เพื่อให้ผู้ป่วยปรับตัวและอยู่ในสังคมได้

มันฑนา กิตติพีรชล ปัทมา ศิริเวช์ บุรินทร์ สุรอรุณสัมฤทธิ์ และ วีร์เมฆวิลัย. (2560). คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเภท สำหรับโรงพยาบาลในเขตสุขภาพ. นนทบุรี: กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

มาโนช หล่อตระกูล. (2557). โรคจิตเภทคืออะไร. สืบค้นจาก https://med.mahidol.ac.th/

ผู้ป่วยรายนี้สมควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาลหรือดูแลที่บ้านโดยคนในครอบครัว

ควรรักษาทั้งที่บ้านและโรงพยาบาล

ที่บ้าน

ได้กำลังใจจากครอบครัว

การดูแลเอาใจใส่จากครอบครัว

ความเข้าใจของคนในครอบครัว

ที่โรงพยาบาล

ดูแลให้ได้รับยาอย่างต่อเนื่อง

ได้รับการบำบัดและรักษาจากแพทย์

สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดหากเกิดเหตุฉุกเฉิน