ภาพยนตร์สั้น "A Beautiful Mind"

ประวัติทั่วไป

ข้อมูลส่วนตัว

สัมพันธภาพภายในครอบครัว

ผู้ป่วยชื่อ นายจอห์น ฟอบส์ แนช จูเนียร์(Mr.john Forbes Nash,Jr)

อายุ 24 ปี

เชื้อชาติอเมริกัน สัญชาติอเมริกัน

ประวัติครอบครัว

ภรรยาชื่อือลิเซีย

มีบุตร 1 คน

มีน้องสาว 1 คน

ผู้ป่วยเป็นคนเก็บตัว

ผู้ป่วยมักมีความคิดหมกหมุ่นเกือบทำร้ายภรรยาและลูก

ผู้ป่วยไม่มีความรู้สึกและไม่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา

ผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่แปลกไป

สาเหตุ

ด้านครอบครัว

ด้านพันธุกรรม

ด้านสังคมและวัฒนธรรม

ด้านจิตใจ

ครอบครัวมีการตำหนิ

สภาพครอบครัวไม่มีความเหมาะสมในการแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น

สารสื่อประสาทในสมอง

สภาพแวดล้อมรอบตัว

เป็นคนที่ชอบเก็บตัวและไม่มีเพื่อนสนิท

ไม่มีสัมพันธภาพกับผู้อื่น

ความขัดแย้งภายในจิตใจ

มีความเครียด

ความสามารถในกรปรับตัว

ประสบการณ์ในอดีต

มักโดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ

อาการและอาการแสดง

หวาดระแวง

ประสาทหลอน

ควบคุมตนเองไม่ได้

ไม่ชอบเข้าสังคม

การแสดงออก/พฤติกรรม

ทำร้ายตนเอง

หูแหว่ว ได้ยินเสียงคนสั่งให้ทำตาม

คิดว่ามีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา

คิดว่าจะมีคนมาทำร้าย

ชอบอยู่คนเดียว

ไม่มีเพื่อน

เดินหลังค่อม

กระสับกระส่าย เดินไปเดินมา

พยายามตอบโต้กับใครบางคน

เฉยเมย ไร้ความรู้สึก

ทำร้ายบุคคลรอบตัว

คิดว่ามีคนสะกดรอยตาม

คิดว่าจะมีคนมาทำร้าย

พัฒนาการตามช่วงวัย

วัยเด็ก

ชอบเก็บตัว

มีปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนและสังคม

มีความสามารถในการเรียน เรียนเก่ง

ช่วงวัยรุ่น

สนใจคณิตศาสตร์และตั้งใจมุงมั่นในการเรียน

ผู้ป่วยเริ่มมีบุคลิกที่แตกต่างจากคนอื่น

เริ่มทำงาน

มีเพื่อนสนิทและเป็นคนเดียวที่สามารถพุดคุยได้

เรียนปริญญาตรี

มีความโดดเด่นทางการเรียนในระดับอัจฉริยะ

เริ่มความคิดหมกหมุ่นและมีพฤติกรรมที่แปลกขึ้น

ชาร์ลเพื่อนสนิทเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิต

ให้กำลังใจและอยู่เป็นเพื่อนเสมอ

การรักษา

การรักษาด้วยยา

การรักษาด้วยไฟฟ้า

ยารับประทาน

ยาฉีด

ประเด็นที่สงสัย

ผลกระทบอะไรบ้างที่เกิดกับผู้ป่วยรายนี้

การเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นอย่างไร

ผลข้างเคียงของการรักษามีอะไรบ้าง

ผู้ป่วยรายนี้ควรได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลหรือได้รับการรักษาที่บ้านโดยบุคคลภายในครอบครัว

เหตุใดจึงมีการเก็บตัวอยู่คนเดียวและคิดว่าเพื่อนไม่ชอบเกิดจากอะไร

พัฒนาวัยส่งผลกระทบหรือไม่

ความคิดหลงผิดกับภาพหลอนต่างกันอย่างไร

เหตุใดผู้ป่วยจึงได้รับยาไม่ต่อเนื่อง

ครอบครัวจะมีส่วนร่วมในการรักษาผู้ป่วยอย่างไรบ้าง

การคาดการณ์โรคที่เกี่ยวข้อง

โรคจิตเภท(Schyzophreia)

โรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง(Schyzophreia paranoid)

โรคจิตหลงผิด(Delusional disorder)

กลุ่มอาการของโรคที่มีความผิดปกติของความคิด ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดและการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้มีผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน

สาเหตุ

ด้านร่างกาย

ด้านจิตใจ

ทางพันธุกรรม ยิ่งมีความใกล้ชิดทางสายเลือดกับผู้ป่วยมากยิ่งมีโอกาสสูง จากความผิดปกติของสมอง โดยสารเคมีในสมองมีความผิดปกติและจากโครงสร้าง ของสมองบางส่วนที่มีความผิดปกติเล็กน้อย

จากความเครียดในชีวิตประจำวัน เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเจ็บป่วย การใช้อารมณ์กับผู้ป่วย การตำหนิ มีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรหรือจู้จี้ยุ่งเกี่ยวกับผู้ป่วยมากไปก็มีผลต่อการกำเริบของโรคได้

กลุ่มอาการที่เพิ่มมากกว่าคนปกติทั่วไป

อาการหลงเชื่อผิด

ความคิดผิดปกติ

ประสาทหลอน

มีพฤติกรรมผิดปกติ

หลักในการดูแล

เป็นความเชื่อของผู้ป่วยที่ผิดไปจากความเป็นจริง เช่น คิดว่าคนอื่นจะมาทำร้าย ระแวงว่าตนจะถูกวางยาพิษ คิดว่าตนส่งกระแสจิตได้

ผู้ป่วยคิดแบบมีเหตุผลอย่างต่อเนื่องไม่ได้ ทำให้คุยกับคนอื่นไม่เข้าใจ ผู้ป่วยมักพูดไม่เป็นเรื่องราว พูดไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนเรื่องพูดโดยไม่มีเหตุผล

ผู้ป่วยคิดว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ ความจริงไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงคนมาพูดด้วยทั้งๆ ที่ไม่มีใครพูดด้วย (หูแว่ว) มองเห็นวิญญาณ (เห็นภาพหลอน)

มักเกี่ยวข้องกับความคิดและความเชื่อที่ผิดปกติ เช่น ทำร้ายคนอื่น อยู่ในท่าแปลกๆ ซ้ำๆ หัวเราะหรือร้องไห้สลับกันเป็นพักๆ

เข้าใจผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยไม่ได้ตั้งใจสร้างความรำคาญเดือดร้อน จึงควรให้อภัยไม่ถือโทษผู้ป่วย ไม่ควรโต้เถียงกับ ผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการทางจิต

ดูแลผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ จึงควรให้ความดูแลผู้ป่วยเรื่องการกินยาให้ครบ รวมทั้งการดูแลที่เหมาะสมต่อไป

กระตุ้น แต่ไม่บังคับ ความเครียดมีส่วนทำให้โรคจิตเภทกำเริบได้ จึงไม่ควรมุ่งหวังหรือผลักดันผู้ป่วยมากเกินไป แต่การปล่อยปละละเลยก็ทำให้อาการแย่ลงได้เช่นกัน

สิ่งที่ควรทำคือ กระตุ้นแต่ไม่บังคับ เช่น กระตุ้นให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเอง ช่วยทำงานบ้านอย่างง่ายๆ โดยไม่ใช้การบังคับ และควรหลีกเลี่ยงการตำหนิติเตียนผู้ป่วยโดยไม่จำเป็น

การรักษา

การรักษาด้วยยา เพื่อควบคุมอาการและลดการกำเริบซ้ำของโรค

การฟื้นฟูสภาพจิตใจ โดยฝึกการเข้าสังคมและให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วย

การทำจิตบำบัด โดยผู้เชี่ยวชาญพูดคุยกับผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจตนเองและปัญหาของตนเองมากขึ้น

ครอบครัวบำบัด โดยแพทย์เป็นผู้ให้ความรู้ในเรื่องโรคและสิ่งที่ญาติควรปฏิบัติต่อผู้ป่วย กลุ่มบำบัด เป็นการจัดกิจกรรมกลุ่มระหว่างผุ้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยมีเพื่อนคอยสนับสนุนให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

การปักใจเชื่อในบางสิ่งบางอย่างอย่างฝังแน่น ไม่ว่าจะมีใครมาชี้แจงหรือมีหลักฐานคัดค้านที่เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาเชื่อนั้นผิด เขาก็ยังฝังใจเชื่อเช่นนั้น อาการหลงผิดนี้บางครั้งก็เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีเหตุการหรือสถานการณ์ชวนให้เกิดมาก่อน

โรคจิตเภทประสาทหลอน

อาการประสาทหลอนเกิดขึ้นได้กับการรับรู้ทั้งในด้าน รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส เช่น ภาพหลอน หูแว่ว รู้สึกว่ามีอะไรมาชอนไชตามผิวหนัง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นสิ่งในชีวิตประจำวัน เช่น เห็นคนที่คุ้นเคยมาพูดด้วย หรือได้ยินแต่เสียง หรืออาจเป็นภาพแปลกๆ เห็นเทพ เห็นองค์ต่างๆ ก็ได้

เป็นกระบวนการคิดที่เชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากความวิตกกังวลหรือความกลัวอย่างหนัก มักถึงจุดที่เกิดความไร้เหตุผลและอาการหลงผิด การคิดหวาดระแวงตรงแบบรวมความเชื่อว่าถูกปองร้าย (persecutory belief) หรือความเชื่อว่ามีการคบคิดเกี่ยวกับภัยคุกคามที่รับรู้ต่อตน โรคจิตหวาดระแวงต่างจากโรคกลัว

สาเหตุ

ไม่พบว่าโรคนี้เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ หรือมีความสัมพันธ์กับพยาธิสภาพของสมอง สาเหตุที่สำคัญเชื่อว่าเกิดจากปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับบิดามารดา ทำให้เด็กขาดความไว้วางใจ ไม่มั่นใจ และก้าวร้าวต่อสิ่งแวดล้อม

ลักษณะ

มักจะมีประวัติการขาดความไว้วางใจสิ่งแวดล้อม และขาดความมั่นใจในตนเอง มักเป็นคนไม่ยืดหยุ่น ผ่อนปรน และระมัดระวังจนเกินไป มักจะโต้แย้งกับผู้อื่นแรงๆ และขาดเหตุผล รวมทั้งมีประวัติการทำงานร่วมกับกลุ่มหรือผู้ใหญ่ลำบาก

การรักษา

ยา

จุดประสงค์ของการใช้ยาก็เพื่อแก้ไขความหลงผิด ความวิตกกังวล และอารมณ์เศร้าที่อาจเกิดขึ้นในบางราย

จิตบำบัด

ควรจะทำตั้งแต่ระยะแรกๆ ที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ โดยแพทย์จะต้องวางตัวเป็นกลาง หนักแน่น เสมอต้นเสมอปลาย และไม่ผลักไสผู้ป่วย แพทย์ไม่ควรพูดถึงความหลงผิดของผู้ป่วย และไม่ควรโต้แย้ง

การรักษาที่ผู้ป่วยได้รับ

Thorazine 30 mg IM q 6 hrs

Diazepam 10 mg IM q 4 hrs prn

ECT 1 course (5 time per week/10 week)

อ้างอิง

มาโนช หล่อตระกูล. (2018). โรคจิตเภทโดยละเอียด. สืบค้นเมื่อ 25 มิ.ย. 2563, จากhttps://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/09042014-0855

กรมสุขภาพจิต. (2562). รู้ใช้ พรบ.สุขภาพจิต คุ้มครองผู้ป่วย. สืบค้นเมื่อ 25 มิ.ย. 2563, จากhttp://www.prdmh.com.html

ปัจจัย

นิตยา ศรีจำนง. (2560). การพยาบาลผู้ที่มีความผิดปกติด้านความคิดและการรับรู้การพยาบาลผู้ป่วยจิตเวช. สืบค้นเมื่อ 25 มิ.ย. 2563, จากhttp://www.elnurse.ssru.ac.th

ปัจจัยด้านจิตใจ อาจเกิดจากการเลี้ยงดู ที่ไม่ได้รับความอบอุ่น
ทำให้ไม่เชื่อใจใคร และมีความรู้สึกไวต่อท่าทีของผู้อื่น

ปัจจัยด้านสังคม เกิดจากสังคมที่มีความเครียด กดดัน การแข่งขันสูง การเอารัดเอาเปรียบ ทำให้รู้สึกว่าถูกผู้อื่นคุกคาม หรือรู้สึกว่าได้รับการกระทำที่ไม่ดีจากผู้อื่น จึงมีความระแวงได้มากขึ้น

ปัจจัยด้านชีวภาพ ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่พบว่าสัมพันธ์กับสมองส่วนที่ควบคุมความเป็นเหตุผลและอารมณ์ความรู้สึก

ประเภท

วรลักษณา ธีราโมกข์. (2561). จิตเภท คืออะไร. สืบค้นเมื่อ 25 มิ.ย. 2563, จากhttps://www.manarom.com/blog/schizophrenia.html

โรคที่กลุ่มคาดว่าจะเป็น

พรบ.สุขภาพจิตที่เกี่ยวข้อง

โรคจิตเภท(Schyzophreia)

การวินิจฉัยโรค

สาเหตุ

  1. ทางด้านร่างกาย เกิดการเจ็บป่วยทางกาย มีพยาธิสภาพที่สมอง สมองเสื่อมสมรรถภาพได้รับอุบตัิเหตุที่สมอง ภาวะติดเชื้อที่สมอง ไข้สูง ภาวะเจ็บป่วยอย่างรุนแรง การขาดการพักผ่นนอนหลับขาด
    การกระตุ้นความรู้สึกภาวะผดิปกติของสารเคมีในร่างกาย การไดร้ับสารพิษ แอลกอฮอล์สิ่งเสพติดอื่น ๆ ที่มีผลต่อการการทา งานของระบบประสาท
  1. ทางด้านจิตใจ บุคคลมีความเครียดทางจิตใจ เกิดความรู้สึกวิตกกังวลมากรู้สึกถูกทอดทิ้งไม่สามารถหาทางออกได้ จึงทำให้การรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมผิดไป

การรักษา

กรมสุขภาพจิต สถาบันราชานุกูล. (2551). พรบ.สุขภาพจิต2551. สืบค้นเมื่อ 25 มิ ย 2563, จากhttps://th.rajanukul.go.th/preview-3682.html

Psychotherapy, Individual, Group, Behavioral, Supportive, Family Therapy อาจเลือกใช้ตาม
ความเหมาะสม

ข้อสนับสนุน

Milieu Therapy เน้นที่การจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ลดภาวะเครียด พัฒนาความสามารถในการปรับตัวรายบุคคล

มีอาการของโรคตั้งแต่วัยรุ่น

ผู้ป่วยมีอาการหลงผิดคิดว่าจะมีคนมาทำร้ายตน

ผู้ป่วยมีอาการเห็นภาพหลอนและได้ยินเสียงคนมาพูดด้วย

การรักษาด้วยยา เช่น ยา Antipsychotic drugs, Antiparkinson agents อาจต้องเตรียมไว้เพื่อลด
อาการ extra pyramidal side effect ของยา

Somatic or Electroconvulsive Therapy

Severe Schizophrenia ผู้ป่วยรายที่ใช้ยาไม่ได้ผล ภายหลังทำ 2-3 ครั้งโดยใหยาจิตบำบัดร่วมไปด้วย

ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้าอย่างมากร่วมด้วย บางรายมีอารมณ์เศร้ารุนแรงและคิดฆ่าตัวตาย

ผู้ป่วยที่มีอาการคลุ้มคลั่งมากไม่สามารถควบคุมด้วยยา ทำสัปดาห์ละ3 ครั้ง ทำ 6-12 สัปดาห์ต่อการรักษาครั้งหนึ่ง

การจำแนกของโรคจิตเภท

พรบ.สุขภาพจิต พ.ศ.2551

แนวทางการพยาบาล

simple type ผู้ป่วยขาดความสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมภายนอก ชอบเก็บตัวเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น

ประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับ

พรบ.สุขภาพจิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562

disogranized มีอาการประสาทหลอนและความคิดหลงผิดและคำพูดไม่สอดคล้องกัน

ประโยชน์ที่ผู้ป่วยทางจิตเวชหรือผู้บกพร่องทางพัฒนาการและสติปัญญาจะได้รับจากพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ.2551 นี้ คือ ผู้ป่วยทางจิตเวชหรือผู้บกพร่องฯ ซึ่งอยู่ในสภาวะที่ขาดความสามารถในการตัดสินใจให้ความยินยอมรับการบำบัดรักษา จะได้รับการบำบัดรักษาโดยเร็วเพื่อป้องกันหรือบรรเทามิให้ความผิดปกติทางจิตมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หรือเพื่อป้องกันการกระทำที่เกิดจากอาการทางจิตที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวผู้ป่วยเอง เช่นการทำร้ายตนเอง หรือการฆ่าตัวตาย

อาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยและผู้อื่นเนื่องจากมีความคิดหลงผิด

พยาบาลต้องประเมินความคิดของผู้ป่วยว่ามีผลอย่างไรต่อพฤติกรรมและการกระทำของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยคิดฆ่าตัวตาย

catatonic type มีความผิดปกติเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว

paranoid type มีอาการหวาดระแวง หลงผิด โกรธง่าย ก้าวร้าว ชอบทะเลาะกับผู้อื่น

การรักษา


Schizoaffective มีอาการเฉียบพลัน อาการเข้าได้กับโรคจิตเภท มีอารมณ์เศร้าร่วมกับอาการ
เบื่ออาหาร นอนไม่หลับคิดช้า รู้สึกว่า ตนมีความผิด เบื่อชีวิต คิดอยากตาย

เน้นที่สัมพันธภาพในการรักษา ความสัมพันธ์ที่ดีสามารถช่วยผู้ป่วยได้ โดยรับฟังด้วยความเข้าใจ ไม่โต้แย้งคัดค้านอาการหลงผิดว่าไม่จริง ในขณะเดียวกันก็ไม่สนับสนุนความเชื่อของผู้ป่วย

การรักษาด้วยยา ด้วยยารักษาโรคจิตโดยอยู่ในความดูแลของแพทย์

รับตัวรักษาในโรงพยาบาล หากอาการรุนแรง เช่น มีความเสี่ยงต่อการทำร้ายตัวเอง หรือผู้อื่น

พยาบาลต้องตระหนักว่าความคิดของผู้ป่วยเป็นความคิดที่ยึดแน่น และผู้ป่วยเชื่อว่าเป็นจริงตามนั้น

การรักษา

คือ การใช้กระแสไฟฟ้าที่ ECT มีความเข้มข้นต่ำกระตุ้นให้สารสื่อนำประสาทภายในสมองที่หลั่งผิดปกติผ่านสมองเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดอาการชัก

Undifferentiated Type ผู้ป่วยประเภทนี้มีอาการของโรคจิตเภทไม่ชัดเจน

พยาบาลต้องยอมรับในความคิดหลงผิดของผู้ป่วยโดยพยาบาลไม่ควรโต้แย้ง หรือท้าทายว่า ที่ผู้ป่วยเล่าให้ฟังนั้นไม่จริง และพยาบาลไม่ต้องปฏิบัติตามที่ผู้ป่วยเชื่อ

เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าผ่านบริเวณศีรษะของผู้ป่วยในปริมาณน้อยๆ เพื่อทำให้เกิดการชักเหมือนกับในโรคลมชัก กระแสไฟที่ใช้มีขนาดต่ำมาก ไม่มีอันตรายต่อสมองอย่างแน่นอน ปัจจุบันวิธีการทำก้าวหน้าขึ้นมาก การชักที่เกิดขึ้นนั้นอาจเห็นเพียงปลายแขนขยับเล็กน้อย เนื่องจากก่อนการทำแพทย์จะทำให้ผู้ป่วยหมดสติและกล้ามเนื้อคลายตัวทั้งหมด ซึ่งเป็นกระบวนการเหมือนกับที่ใช้ในการผ่าตัดทั่วๆ ไป แต่ระยะเวลาสั้นกว่ามาก โดยใช้เวลาทั้งหมดประมาณไม่ถึง 5 นาที การรักษาจะทำวันเว้นวัน เช่น วันจันทร์-พุธ-ศุกร์ ทำทั้งหมดประมาณ 10-12 ครั้ง อาจมากน้อยกว่านี้ก็ได้ตามแต่ที่แพทย์เห็นว่าผู้ป่วยอาการเป็นอย่างไร

ลักษณะอาการทางคลินิก


Residual Type ผู้ป่วยโรคจิตเภท ชนิดนี้จะเคยเป็นโรคจิตเภทชนิดใดชนิดหนึ่งมาก่อนแล้ว

พยาบาลต้องให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ป่วยได้พูดถึงความคิดของเขาได้อย่างอิสระ

ผู้ป่วยมีกลุ่มอาการด้านบวก (Positive symptoms)

ด้านอาการโรคจิต (Psychotic dimension) ได้แก่ อาการหลงผิด และอาการประสาทหลอน

สำหรับผู้ป่วยที่มีความคิดหลงผิดแบบหวาดระแวง

พยาบาลต้องไม่ทำให้ผู้ป่วยสงสัยในพฤติกรรมของพยาบาล เพราะผู้ป่วยจะระมัดระวังตัว ไม่ไว้วางใจ

ตามเกณฑ์วินิจฉัย DSM-5

อาการหลงผิด (Delusion)

ข้อดี จะช่วยให้อาการทางจิตของผู้ป่วยทุเลาอย่างรวดเร็ว คงสภาพไม่ให้อาการกำเริบซ้ำ การรักษาด้วยไฟฟ้าจึงเหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตรุนแรงมีความจำเป็นต้องรับการรักษาเร่งด่วนเพื่อควบคุมอาการของผู้ป่วยให้สงบลง เช่น มีอาการคลุ้มคลั่ง

A.มีอาการไปนับตั้แต่ 2 อาการขึ้นไป นาน 1 เดือน

การรักษาโดยไม่ใช้ยา

การเข้าไปสนทนากับผู้ป่วยต้องแนะนำตัวและบอกวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน

การรักษาด้วยยา

เชื่อว่าตนเองมีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น มีความหยั่งรู้พิเศษ (Grandiose Type)

หลงผิดคิดว่าคู่ครองของตนนอกใจ (Jealous Type)

หลงผิดว่าบุคคลอื่นมาหลงรักตัวเอง โดยบุคคลนั้นมักเป็นผู้ที่มีความสำคัญหรือมีชื่อเสียง (Erotomanic Type)

การปฏิบัติต่อผู้ป่วยต้องคงเส้นคงวา เมื่อมีข้อตกลงต่อกันแล้วต้องปฏิบัติตามข้อตกลง

  1. อาการหลงผิด(delusion)

ผู้ป่วยอยู่ในประเภท Persecutory Type ระเเวงว่าตนเองถูกทำร้าย

หลีกเลี่ยงการเข้าไปจับตัวผู้ป่วย และไม่ควรใช้ภาษาหรือกิริยาที่ก่อให้เกิดความสงสัย หรือการตีความไม่ชัดเจน

  1. อาการประสาทหลอน(Hallucination)
  1. disorganized speech
  1. grossly disorganized behavior หรือ catatonic behavior
  1. อาการด้านลบ ได้แก่
    flat affect, alogia หรือ avolition

อาการประสาทหลอน(Hallucination)

พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 เน้นการบังคับรักษาผู้ป่วยทางจิต แม้ผู้ป่วยจะไม่ยินยอม ถือเป็นการให้ความคุ้มครองเจ้าพนักงานตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่เอาตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยไม่ถือว่าเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยวแต่อย่างใด

อาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยและผู้อื่นเนื่องจากมีอาการประสาทหลอน

ผู้ป่วยรับรู้บางสิ่งที่ชัดเจนมาก ซึ่งไม่มีอยู่จริง

B. มีความเสื่อมหรือปัญหาด้าน social/ occupational function

C. มีอาการต่อเนื่องนาน 6 เดือนขึ้นไป โดยต้องมีactive phase (ตามข้อ A) อย่างน้อย
นาน 1 เดือน และระยะที่เหลืออาจเป็น prodromal หรือresidual phase

ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา การใช้สารเสพติด

ให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมที่มีความหมายต่อชีวิต ได้แก่ การเรียน งานอาชีพ งานอดิเรก

หลีกเลี่ยงการพูดจาด้วยถ้อยคำรุนแรงต่อผู้ป่วย

ระแวงว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง สะกดรอย หมายเอาชีวิต (Persecutory Type)

ผู้ป่วยเชื่อว่าตนเองเป็นสายลับของกระทรวงกลาโหม กำลังถูกปองร้ายจากกลุ่มคนที่เป็นสายลับรัสเซีย(Persecutory Type)

พยาบาลต้องประเมินอาการประสาทหลอนที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยว่า เกี่ยวข้องกับระบบรับสัมผัสใด ผู้ป่วยแสดงปฏิกิริอย่างไรต่อการรับรู้นั้นๆ

หลงผิดเกี่ยวกับร่างกายของตนเอง เช่น บางส่วนของร่างกายผิดรูปร่าง หรือ อวัยวะไม่ทำงาน (Somatic Type)

การใช้ยาจะให้ยาเป็นตัวปรับสารเคมีในสมองที่เป็นผลต่อโรคให้มีความสมดุล

Visual Hallucination

ถ้าพยาบาลพบผู้ป่วยที่แสดงอาการประสาทหลอน พยาบาลควรบอกสิ่งที่เป็นจริง กับผู้ป่วยในขณะ เช่น ผู้ป่วยบอกแม่มาหา ซึ่งในขณะนั้นไม่เห็นแม่ผู้ป่วย พยาบาลควรบอกว่าไม่เห็นแม่ผู้ป่วย

เห็นเพื่อนที่ชื่อชาร์ลกับหลานของเขา

เห็นคนสะกดรอยตาม

สังเกตอาการทางจิตที่ควรได้รับการรักษา เช่น หูแว่ว เห็นภาพหลอน

Auditory Hallucination

อาการหลงผิด เป็นความผิดปกติในเนื้อหาของความคิด

ได้ยินเสียงเพื่อนที่ชื่อชาร์ลพูดกับตนเอง

อาการประสาทหลอน เป็นการรับรู้ทางประสาทสัมผัสที่ผิดปกติ โดยไม่ได้มีสิ่งกระตุ้นจากภายนอก เช่น หูแว่ว ได้ยินเสียงพูดคุยเป็นเรื่องราว ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครพูด

มาตรา 18 การรักษาทางจิตเวชด้วยไฟฟ้า ECT ให้กระทำในกรณีที่ผู้ป่วยให้ความยินยอม และต้องรับทราบถึงเหตุผล ความจำเป็น ความเสี่ยง ภาวะเเทรกซ้อน ประโยชน์ของการบำบัด แต่ในกรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือมีความจำเป็น การรักษาด้วยไฟฟ้าจะต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ หากผู้ป่วยอายุไม่ถึง 18 ปี จะให้ผู้ปกครองเป็นผู้ให้ความยินยอม

ได้ยินเสียงคนสะกดรายตาม

พยาบาลต้องแสดงอาการยอมรับประสาทหลอนของผู้ป่วย ซึ่งทำได้โดยการรับฟังไม่โต้แย้ง

ผู้ป่วยถามตอบได้รู้เรื่อง ตะกุกตะกักในบางครั้ง

ผู้ป่วยพูดช้าลง(Alogia)

ส่งผลกระทบต่อสัมพันธภาพในครอบครัว ทำร้ายภรรยาและลูก

หลีกเลี่ยงการเข้าไปจับต้องตัวผู้ป่วยก่อนผู้ป่วยจะรู้ตัวเพราะผู้ป่วยมีแนวโนม้จะตีความหรือรับรู้ผิด

กรณีไม่เร่งด่วน

ไม่ส่งเสริมและลดโอกาสในการเกิดอาการประสาทหลอนต่างๆ โดยการสนทนากับผู้ป่วย
ด้วยถ้อยคำที่ชัดเจนเรียกชื่อผู้ป่วยให้ถูกต้อง

ยา Thorazine อาจไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือมีผลเล็กน้อยหลังรับประทาน เช่น กระสับกระส่าย ท้องผูก วิงเวียนศีรษะ ง่วงซึม ปากแห้ง รูม่านตาขยาย อาการสั่นรัวหรือกระตุก คลื่นไส้ น้ำมูกไหล ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อย หากพบว่าอาการรุนแรงขึ้นหรือเป็นติดต่อกันนานจนกระทบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ควรไปพบแพทย์

ผู้ป่วยบอกว่าชอบอยู่คนเดียว(Asociality)

กรณีเร่งด่วน

ปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือสายด่วนสุขภาพจิต โทร.1323

ส่งผลกระทบต่อสัมพันธภาพในสังคม ผู้ป่วยหวาดระแวงไม่ไว้วางผู้อื่น

เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยพูดถึงอาการประสาทหลอน และหาวิธีที่จะให้ผู้ป่วยเผชิญอาการประสาทหลอนของเขาอย่างเหมาะสม

ผู้ป่วยมีสีหน้าเรียบเฉย (Affective flattening)

มีภาวะอันตราย(ต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคม) และมีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา

มีความบกพร่องในการสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจความต้องการของตนเนื่องจากมีพฤติกรรมแยกตัวจากผู้อื่น

ผู้ป่วยมีปัญหาด้านสัมพันธภาพกับผู้อื่น

ยา Diazepam ผลข้างเคียง คือ ง่วงนอน ง่วงซึม มองเห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้ จิตใจไม่ปกติ บวม ปากแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน สมรรถภาพทางเพศลดลง ถ้าใช้ยานี้ในขนาดสูงเป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้เกิดการดื้อยาและติดยาได้

ผู้ป่วยชอบทำอะไรด้วยตนเอง เป็นคนเก็บตัว ไม่มีเพื่อนสนิทและมักมีปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน ผู้ป่วยชอบอยู่คนเดียว

ผู้ป่วยรู้สึกว่าเพื่อนชอบแกล้งเขาเพราะเห็นว่าเขาเก่งกว่า ฉลาดกว่า

กรณีมีภาวะเสี่ยง อาการทางจิตไม่ทุเลา ส่งต่อโรงพยาบาลใกล้เคียง/สถานบำบัดรักษา/โรงพยาบาลจิตเวช

พยาบาลควรประเมินลักษณะการสื่อสารของผู้ป่วยว่า
มีความพกพร่องอย่างไร เช่น พูดหลายเรื่องผสมกันจนฟังไม่เข้าใจ

พยาบาลสร้างสัมพันธภาพแบบ one to one
เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย และไว้วางใจ

แจ้งบุคลากรทางการแพทย์ ตำรวจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ มูลนิธิ/กู้ชีพ/กู้ภัย อบต./เทศบาล

พยาบาลต้องใช้เทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัดมาใช้

เมื่อสัมพันธภาพดำเนินมาสักระยะ พยาบาลควรชักชวนผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม กิจกรรมระยะแรกควรเป็นกิจกรรมง่ายๆ กระตุ้นให้ผู้ป่วยสื่อสาร

นำส่ง โรงพยาบาลใกล้เคียง/สถานบำบัดรักษา/โรงพยาบาลจิตเวช

เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยพูดถึงอาการประสาทหลอน และหาวิธีที่จะให้ผู้ป่วยเผชิญอาการประสาทหลอนของเขาอย่างเหมาะสม

พยาบาลต้องตระหนักว่าพฤติกรรมการแยกตัวนี้เป็นปัญหาด้านความสามารถทางด้านสังคมที่เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพผู้ป่วย ดังนั้นพยาบาลต้องอดทนให้เวลาผู้ป่วยปรับปรุง

ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยไฟฟ้ามีตั้งแต่ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไม่สบายตัว สับสน สูญเสียความจำชั่วคราว ผลข้างเคียงที่รุนแรงอาจทำให้กระดูกหัก ข้อเคลื่อน หรืออาจเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคทางกายร่วม เช่น โรคหัวใจ โรคทางสมอง โรคกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นต้น

ดาวชมพู นาคะวิโร. (2559). วิธีบำบัดอาการทางจิตให้ได้ผล. สืบค้นเมื่อ 25 มิ.ย. 2563, จากhttps://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/home/article/

ควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาล

การสนับสนุนทักษะ
ทางสังคม

การจัดการกับอาการทางจิต

การ
ดูแลเรื่องการรับประทานยา

ลดความรู้สึกบีบคั้นทาง
อารมณ์ความยุ่งยากและความรู้สึกมีตราบาป

ผู้ป่วยคิดว่าตนเองไม่ได้ป่วย จึงไม่รับประทานยา

ไม่มีข้อมูล

ส่งผลกระทบ เนื่องจากในวัยเด็กผู้ป่วยชอบเก็บตัว ไม่มีเพื่อนสนิทมีปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน

click to edit

กลุ่มอาการของโรคที่มีความผิดปกติของความคิด ทำให้ผู้ป่วยมีความคิด และการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง การรับรู้ด้านความคิด อารมณ์ พฤติกรรม ทำให้มีผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การดูแลตนเอง การใช้ชีวิตในสังคม เป็นต้น

กระบวนความคิดและภาษายุ่งเหยิงไม่เป็นระบบ(Disorganized thinking)

สาเหตุ

ระวังและป้องกันการทำร้ายตัวเองและผู้อื่น

การให้กำลังใจ

ปัจจัยด้านพันธุกรรม (Genetic factors) : ได้มีการศึกษาด้านพันธุกรรมของบุคคลที่ป่วยเป็นโรคจิตเภท พบว่า มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

พฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติหรือยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ(Grossly disorganized or abnormal motor behavior)

ผู้ป่วยมีกลุ่มอาการทางด้านลบ (Negative symptoms)

ปัจจัยด้านชีวเคมีของสมอง (Biological factors) : มีการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยจิตเภท มีความสัมพันธ์กับ dopamine ในสมอง โดยมีข้อค้นพบ 3 ประการ คือผู้ป่วยจิตเภท มีปริมาณ dopamine ที่ synapse ในสมองมากเกินไป มีจำนวน post synaptic recepter มากเกินไป มีความไม่สมดุลระหว่าง excitatory action ของ acetycholine กบั inhibitory action ของ dopamine และGamma -amino butyric acid

แยกตัวออกจากสังคม

ไม่สนใจในสิ่งแวดล้อมและแม้แต่สุขอนามัยส่วนบุคคลและการดูแลตนเอง

การคิดและการเคลื่อนไหวช้าลง

ปัจจัยด้านจิตใจ (Psychological factors) : จากทฤษฎีจิตวิเคราะห์และทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ พบว่าเป็นความผิดปกติจากพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคลในวัยเด็ก โดยเฉพาะในขวบปีแรก มีผลใหเ้กิดพยาธิสภาพส่วนที่ทำหน้าที่ในการปรับตัว
การควบคุมพฤติกรรม และการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น โดยเฉพาะพัฒนาการด้าน ภาษา สติปัญญาการคิด การจำ การตัดสินใจ ความสนใจ และการรับรู้ผู้ป่วยอาจมีการรับรู้และไวต่อความเครียดมากกว่าปกติ และสามารถตอบสนองต่อความเครียดได้ไม่ดี

การแสดงออกทางสีหน้าที่ราบเรียบ

ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factors) : จากการศึกษาพบว่า สภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีผลต่อการป่วยเป็นโรคจิตเภท ก็คือประชากรที่มีฐานะยากจนป่วยเป็น โรคจิตเภทมากกว่า ประชากรที่มีฐานะดีประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำต้องเผชิญกับสภาวะเครียดมากกว่า ประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูง

หมายถึง

หมายถึง

สาเหตุ

1.กรรมพันธุ์ จากการศึกษาพบว่าญาติของผู้ป่วยมีโอกาสเป็นโรคจิตเภทสูงกว่าประชากรทั่วไป ยิ่งมีความใกล้ชิดทางสายเลือดมากยิ่งมีโอกาสสูง

2.สารเคมีในสมอง จากสารเคมีในสมองที่ชื่อว่าโดปามีน (dopamine) ในบางบริเวณของสมอง มีการทำงานมากเกินไป และพบว่าการที่ยารักษาโรคจิตรักษาโรคนี้ได้เป็นจากการที่ยาไปออกฤทธิ์ยับยั้งการออกฤทธิ์ของสารโดปามีน

สาเหตุ

ทางด้านร่างกาย ได้แก่ ความผิดปกติที่เกิดจาก พันธุ์กรรม การทำงานของ Neurotransmitterในสมองผิดปกติ ,สารพิษ, สารเคมีต่าง ๆ, การขาด O2,ความผิดปกติของ อีเลคโตรไลทใ์นร่างกาย,การทำงานของสมองส่วนกลางผิดปกติ,การเสื่อมจากความสูงอายุ, การได้รับอุบัติเหตุ การขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ

ทางด้านจิตใจ ความวิตกกังวลเรื้อรัง มีผลเปลี่ยนเป็นพยาธิสภาพทางความคิด,การใช้กลไกทางจิตป้องกัน ตนเองมากเกินไป ,การเผชิญภาวะเครียดแล้วไม่
สามารถแกไ้ขปัญหาได้ เป็นต้น

พิมพ์วลัญช์ อายุวัฒน์,ภาสินี โทอินทร์ และปรานต์ศศิ เหล่ารัตน์ศร. (2561). F 20 : โรคจิตเภท (Schizophrenia). สืบค้นเมื่อ 25 มิ.ย. 2563,จากhttps://administer.pi.ac.th/uploads/eresearcher/upload_doc/2018/academic/1531378592828010009140.pdf

ความเชื่อใดๆ ที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้ แม้ว่าจะมีหลักฐานอย่างชัดเจนที่คัดค้านความเชื่อนั้นๆ

การพยาบาล

3.ความผิดปกติในส่วนอื่นๆของสมอง พบว่าผู้ป่วยเหล่านี้มีเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าลดลง และการทำงานของสมองส่วนหน้ามีไม่เต็มที่

การพยาบาล

มีการรับรู้ทางระบบประสาทใดๆ ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีสิ่งเร้า(External Stimuli) เช่นได้ยินเสียงคนมาพูดด้วยทั้งๆ ที่ไม่มีใครพูดด้วย (หูแว่ว) มองเห็นวิญญาณ (เห็นภาพหลอน)

  1. สร้างสัมพันธภาพเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจตามหลักการพยาบาลจิตเวช
  1. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการประสาทหลอนของผู้ป่วยทุกโอกาสที่สามารถจะรวบรวมได้โดยให้
    ครอบคลุมเรื่องต่อไปนี้
  1. รับฟังความคิดของผู้ป่วยโดยไม่ตัดสินหรือตำหนิผู้ป่วย
  1. ไม่ได้เถียงกับผู้ป่วย หรือให้เหตุผลว่าความเชื่อของผู้ป่วยนั้นผิด
  1. จดัใหเ้ข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยได้ติดต่อกับสิ่งที่เป็นจริง
  1. การสนทนากับผู้ป่วยที่มีความหลงผิด ควรนำเทคนิคการสนทนา การให้คำปรึกษาต่าง ๆ

การรักษา

1.1 เกิดขึ้นอย่างไร เวลาไหน ความถี่ของการเกิดสาเหตุนำ หรือกระตุ้นก่อนเกิดอาการและมี
ประสาทหลอนทางไหน

นิตยา ศรีจำนง. (2554). การพยาบาลผู้ทมี่ คีวามผดิปกติทางด้านความคดิและการรับรู้:
Delusion, Hallucination, Illusion, Paraniod ,Withdrawal. สืบค้นเมื่อ 25 มิ.ย. 2563,จากhttp://www.elnurse.ssru.ac.th/nitaya_si/pluginfile.php/18/block_html/content/บทที่%204.2%20การพยบ.ผู้ที่มีอาการ%20Delusion..Hallucination..Illusion..Paranoid..Withdrawal.pdf

1.2 พฤติกรรมตอบสนองต่ออาการประสาทหลอนเนื้อหาของประสาทหลอนเฉพาะที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยและผู้ป่วยยอื่นความสัมพันธ์ของประสาทหลอนกับ สถานการณ์หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยรวมทั้งวิธีการต่อสู้ปัญหาของผู้ป่วย

1.รักษาด้วยยา

ระยะควบคุมอาการ เป็นการรักษาในช่วงอาการกำเริบ เป้าหมายของการรักษาในระยะนี้ คือ การควบคุมอาการให้สงบลงโดยเร็ว ยามีส่วนสำคัญมาก จะทำให้อาการของผู้ป่วยสงบลงโดยเร็ว โดยกลางคืนนอนหลับได้ อารมณ์หงุดหงิดหรือพฤติกรรมก้าวร้าวลดลง อาการกระสับกระส่าย หรือวุ่นวายก็จะดีขึ้น ซึ่งมักเห็นผลในการรักษาเช่นนี้ได้ภายในสัปดาห์แรก

  1. แก้ไขปัญหาที่เกิดจากผลของความคิดหลงผิด เช่น ความคับข้องใจ ความวิตกกังวล ความกลัว ความเศร้า

2.ไม่โตแย้ง ขำ หรือเห็นเป็นเรื่องตลก เกี่ยวกับอาการประสาทหลอนที่ผู้ป่วยบอกและบอกถึงสภาพความเป็นจริง (Present reality) ตามความคิดและความรู้สึกของพยาบาล

ระยะต่อเนื่อง หลังจากที่อาการสงบลงแล้ว ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องอยู่อีก ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้กลับมามีอาการกำเริบขึ้นมาอีก

การพยาบาลตามแบบแผนสุขภาพ

2.การรักษาด้วยไฟฟ้า

ประเมินสภาพผู้ป่วย จากการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ตามแบบประเมินผรู้ับบริการ ในแต่ละแบบแผน

แบบแผน สติปัญญาและการรับรู้ (Cognitiver perceptual pattern)

เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าผ่านบริเวณศีรษะของผู้ป่วยในปริมาณน้อยๆ เพื่อทำให้เกิดการชักเหมือนกับในโรคลมชัก กระแสไฟที่ใช้มีขนาดต่ำมาก ไม่มีอันตรายต่อสมองอย่างแน่นอน ปัจจุบันวิธีการทำก้าวหน้าขึ้นมาก การชักที่เกิดขึ้นนั้นอาจเห็นเพียงปลายแขนขยับเล็กน้อย

  1. ช่วยให้ผู้ป่วยรับรู้และยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างสถานการณ์นำ และการเกิดอาการประสาทหลอน

แบบแผนการเผชิญและความทนต่อความเครียด (Coping - stress tolerance pattern)

  1. หลีกเลี่ยงการเกิดภาวะประสาทหลอนโดย

4.1 ให้ผู้ป่วยได้พบปะกับบุคคลอื่น โดยชักชวนใหผู้ป่วยพดูคุยกับผู้ป่วยอื่น

4.2 ให้เข้ากลุ่มกิจกรรมบำบัดที่เหมาะสมกับอาการหรือพฤติกรรมของผู้ป่วยอย่างน้อย2 กลุ่มใน 1 สัปดาห์

การบำบัดรักษา

เน้นที่สัมพันธภาพในการรักษา ความสัมพันธ์ที่ดีสามารถช่วยผู้ป่วยได้ โดยรับฟังด้วยความเข้าใจ ไม่โต้แย้งคัดค้านอาการหลงผิดว่าไม่จริง ในขณะเดียวกันก็ไม่สนับสนุนความเชื่อของผู้ป่วย

รักษาด้วยยา

รักษาในโรงพยาบาล หากอาการรุนแรง เช่น มีความเสี่ยงต่อการทำร้ายตัวเอง หรือผู้อื่น

3.การดูแลรักษาด้านจิตใจ

1.การช่วยเหลือด้านจิตใจ เช่น ช่วยผู้ป่วยในการหาวิธีแก้ปัญหาในแบบอื่นๆ

ชนิด

Auditory hallucination : อาการประสาทหลอนทางการได้ยิน หรือหูแว่ว

4.3 มอบหมายงานของตึกที่ผู้ป่วยสามารถช่วยทำได้เช่น รดน้ำต้นไม้ เช็ดโต๊ะอาหาร

2.การให้คำแนะนำแก่ครอบครัว เป็นการให้ความรู้แก่ญาติและผู้ดูแล

4.4 จัดให้ผู้ป่วยได้รับประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้วิธีการเผชิญความวิตกกังวลขณะที่อยู่ในสถานการณ์นั้น เพื่อป้องกันการเกิดอาการประสาทหลอน โดยการใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์เพื่อการบำบัด

3.กลุ่มบำบัด เป็นการจัดกิจกรรมระหว่างผู้ป่วยขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาล

Visual hallucination : อาการประสาทหลอนทางการเห็น ภาพหลอน เห็นภาพเป็นคนหรือ
สิ่งของ บางรายเห็นภาพคนจะมาทำร้าย

Gastatory hallucination : อาการประสาทหลอนทางการรับรส รู้สึกรสแปลกๆ

4.นิเวศน์บำบัด เป็นการจัดสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาลเพื่อช่วยส่งเสริมขบวนการรักษา

Tactile hallucination : อาการประสาทหลอนทางการสัมผัส

Alfactory hallucination : อาการประสาทหลอนทางการได้กลิ่น รู้สึกกลิ่นแปลกๆ

เทคนิคที่ใช้ในการสนทนา

การของความกระจ่าง (Clarification)

การสะท้อนความรู้สึก (Reflecting)

การมุ่งประเด็น (Focusing)

5.การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด

เทคนิคที่ใช้

การเสนอตัวช่วยเหลือ(offering self)

การให้ข้อเท็จจริง (Presenting reality)

การตั้งข้อสังเกต (Making observation)

ครอบครัวไม่สามารถเผชิญกับการเจ็บป่วยของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พยาบาลควรสร้างสัมพันธภาพกับครอบครัวของผู้ป่วย พร้อมประเมินสภาพทั่วไปของครอบครัว เช่น บทบาทสมาชิกในครอบครัว วิธีการสื่อสารต่อกัน ระดับของสัมพันธภาพ ความใส่ใจต่อการเจ็บป่วยของผู้ป่วย และระดับความสามารถของครอบครัวในการดูแล

เตรียมญาติในการดูแลและอยู่ร่วมกับผู้ป่วย โดยการให้คำปรึกษาปัญหาต่างๆที่ญาติเผชิญอยู่การให้ความรู้ลักษณะทั่วไปของการป่วยจิตเวช และการให้คำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน

จัดให้มีหน่วยงานแนะนำ และช่วยแก้ปัญหาเมื่อครอบครัวเผชิญภาวะวิกฤตต่างๆเนื่องมาจากการป่วยจิตเวช

ชนิด

Delusion of persecution อาการหลงผิดคิดว่าตนเองถูกปองร้าย กลั่นแกล้ง รู้สึกเหมือนมี
คนคอยติดตามเพื่อจะทำร้าย หรือคิดไปเองว่ามีคนขู่จะทำร้าย

Delusion of grandeur อาการหลงผิดคิดว่าตนเองมีอำนาจ มีความสามารถพิเศษเป็น
บุคคลสำคัญ มีบารมีเหนือกว่าผู้อื่น

สาเหตุ

  1. ทางดา้นร่างกาย มีความผิดปกติของระบบประสาท เน้ืองอกในสมอง สมองเสื่อม สมองไดร้ับความกระทบกระเทือน ความผิดปกติเกี่ยวกบั เมตาโบลิคและต่อมไร้ท่อการติดเช้ือการไดร้ับสารพิษ ยาและสิ่งเสพติด

Delusion of reference อาการหลงผิดคิดว่าผู้อื่นพูดเรื่องราวเกี่ยวกับตน นินทาว่าร้าย หรือ
คิดว่าเรื่องต่างๆที่เกิดในโทรทัศน์วิทยุเป็นไปเพื่อสื่อความหมายถึงตนเองในทางที่ไม่ดี

ทางด้านจิตใจเชื่อว่า เป็นผลมาจากการเล้ียงดูและประสบการณ์ในวยัเด็กที่ไม่ไดร้ับความอบอุ่นbasic trust ไม่เกิด เด็กที่มีปัญหา broken home โดยการทารุณกรรม (abuse) พ่อแม่เล้ียงดูอย่างไม่เสมอตน้เสมอปลาย ปฏิเสธลูกทำให้เด็กเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่ไว้วางใจ คนรอบข้างมองโลกในแง่ร้ายสัมพนัธภาพกบัผอู้ื่นบกพร่อง ไม่เป็นมิตรกับ ใครจนกลายเป็นความหวาดระแวง

Delusion of being controlled อากรหลงผิดว่าการกระทำ ความคิดและความรู้สึกของ
ตน ถูกควบคุมโดยอำนาจภายนอก

Delusion of nihilistic อาการหลงผิดว่าส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายขาดหายไป

Delusion of jealousy อาการหลงผิดว่าคู่ครองของตนเองนอกใจ

Delusion of thought broadcasting อาการหลงผิดว่าความคิดของตนเองกระจายออก
นอกตัว ทำให้ผู้อื่นสามารถล่วงรู้ความคิดของตน

Delusion of thought insertion อาการหลงผิดว่าความคิดที่มีอยู่ไม่ใช่ของตน แต่เป็น
ความคิดของคนอื่นใส่เข้ามาในสมองตน

Delusion of thought withdrawal อาการหลงผิดว่าความคิดถูกดึงออกไปจากสมองของ
ตนเอง

Erotomanic delusion อาการหลงผิดว่ามีคนอื่นมารักตนเอง ซึ่งมักเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
หรือมีสถานภาพสูงกว่า

Somatic delusion อาการหลงผิดคิดว่าตนเองเจ็บป่วยทางร่างกาย บางรายมีความรู้สึกว่า
มีแมลงอยู่ในผิวหนัง บางรายคิดว่าอวัยวะภายในของตนเองไม่ทำงาน

Bizarre delusion อาการหลงผิดที่มีลักษณะความเชื่อและความคิดแปลกที่เป็นไปไม่ได้เลย
เป็นความหลงผิดที่มีลักษณะเด่นในผู้ป่วยโรคจิตเภท และไม่ค่อยพบในโรคจิตอื่นๆ

การพยาบาล

  1. ยอมรับในพฤติกรรมหวาดระแวง ไม่โต้แย้ง ต่อตา้น และประเมินระดบัความรุนแรงของอาการ
  1. สร้างความไวว้างใจในการติดต่อกับผู้ป่วยแบบตัวต่อตัว (One to one relationship) โดยเน้นการ
    สร้างความวางใจและความเชื่อถือ
  1. ผู้ป่วยที่มีความหวาดระแวงในบางสิ่ง เช่น อาหารมียาพิษ มีคนจะลอบฆ่า พยาบาลต้อยอมรับและจัดบรรยากาศใหผ้ ปู้่วยรู้สึกปลอดภยั การใหค้วามจริงกบัผปู้่วยจะกระทา ไดต้อ้งแน่ใจวา่ ผู้ป่วยรับได้การให้เหตุผลเพียงอย่างเดียวผูู้ป่วยอาจไม่เชื่อถือ พยาบาลอาจจะตอ้งแสดงพฤติกรรมให้ผูป้่วยแน่ใจดว้ย เช่น ชิมอาหารให้ดู เป็ นต้น
  1. ใหผู้ป่วยมีกิจกรรม ลดเวลาที่ผปู้่วยอยคู่ นเดียว ซ่ึงอาจทำใหม่ความคิดหมกมุ่นอยู่ในเรื่องเดิมๆ
  1. ผู้ป่วยหวาดระแวง มักจะมีความโกรธก้าร้าวควบคู่ไปด้วยเสมอควรใชว้ิธีโอนอ่อนผ่อนปรน
    อดทนในสิ่งที่ผปู้่วยแสดงออกและใหผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ระบายความก้าวร้าว
  1. ผู้ป่วยหวาดระแวงจะมีความเคลือบแคลงสงสัยไม่แน่ใจในการพบปะผู้คน หรือการเข้าร่วมกิจกรรมโดยออกมาในรูปแบบของการแยกตัวเอง รุกรานผู้อื่นก่อนเพื่อป้องกัน ตนเองหรือกล่าวหาผอู้ื่นกล่าวหาวา่ กิจกรรมบา บดักลุ่มไม่น่าสนใจ พยาบาลต้องคอยสังเกตและระมัดระวังการก่อความวุ่นวายการทำ ร้ายผู้อื่นและถา้ผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ควรชมเชยเพื่อใหผู้ป่วยเกิดความมั่นใจและภาคภูมิใจ
    ในตัวเอง
  1. การสื่อสารกับผู้ป่วยต้องเปิดเผยจริงใจรักษาคำ พดู ให้ข้อมูลอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาหลีกเลี่ยงการมองเห็นจ้อง หรือระมดัระวังการกระซิบกระซาบต่อหน้าผู้ป่วยเพราะผู้ป่วยอาจเข้าใจว่าพยาบาลนินทาให้ร้ายหรือระแวง
  1. ในการสนทนาและติดต่อสื่อสารกับผู้ป่วยใช้หลักการสนทนา เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่มีความหลงผิด
    และใช้เทคนิคการสนทนาอื่นๆ