Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่6.2 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต - Coggle Diagram
บทที่6.2 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
Hypertensive crisis
ความหมาย
ค่าความดันโลหิตซิสโตลิกตั้งแต่ 140 มิลลิเมตรปรอท และความดันโลหิตไดแอสโตลิกตั้งแต่ 90 มิลลิเมตรปรอท
Target organ damage (TOD)
ความผิดปกติที่เกิดแก่อวัยวะในร่างกายจากความดันโลหิตสูง
Cardiovascular disease (CVD)
โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
Hypertensive urgency
ภาวะความดันโลหิตสูงรุนแรงแต่ไม่มีอาการของอวัยวะเป้าหมายถูกทำลาย
Hypertensive emergency
ภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/120 มม.ปรอท ร่วมกับมีการทำลายของอวัยวะเป้าหมาย
Hypertensive emergency
ภาวะความดันโลหิตสูงอย่างเฉียบพลันสูงกว่า180/120 มม.ปรอท และทำให้เกิดการท าลายของอวัยวะเป้าหมาย
สาเหตุ
การหยุดยาลดความดันโลหิตทันที
chronic renal disease
Exacerbation of chronic hypertension
การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้ความดันโลหิตสูง
อาการและอาการแสดง
hypertensive encephalopathy ปวดศรีษะ การมองเห็นผิดปกติ สับสน
อาการโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน (Acute cardiovascular syndromes)
กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
เจ็บแน่นหน้าอกแบบเฉียบพลัน
น้ำท่วมปอด
การซักประวัติ
โรคประจำตัว ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง ความสม่ำเสมอในการรับประทานยา ผลข้างเคียงของยาที่ใช้
การสูบบุหรี่ ประวัติความดันโลหิตสูงที่เป็นในสมาชิกครอบครัว
อาการของอวัยวะที่ถูกผลกระทบจากโรคความดันโลหิตสูง
การตรวจร่างกาย
วัดสัญญาณชีพ
ตรวจจอประสาทตา ถ้าพบ Papilledema ประเมินภาวะ increased intracranial pressure
ตรวจ retina
Chest pain บอกอาการของ acute coronary syndrome
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
ตรวจ CBC ประเมินภาวะ MAHA
ตรวจการทำงานของไตจากค่า Creatinine และ eGFR ค่าอัลบูมินในปัสสาวะ
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12-lead ECG) และ chest X-ray
การรักษา
ต้องให้การรักษาทันทีใน ICU และให้ยาลดความดันโลหิตชนิดหยดเข้าหลอดเลือดดำ
การพยาบาล
ในระยะเฉียบพลัน เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของระบบต่างๆ ได้แก่ neurologic,cardiac, and renal systems
ระหว่างได้รับยา ประเมินและบันทึกการตอบสนองต่อยาโดยติดตามความดันโลหิตอย่างใกล้ชิด
การรักษาด้วย short-acting intravenous antihypertensive agents
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรม เช่นการจัดท่านอนให้สุขสบาย การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ
ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการรักษาเพื่อควบคุมความดันโลหิต
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
เสี่ยงต่อเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลายไม่เพียงพอ
วิตกกังวล
Cardiac arrhythmias: Sustained AF, VT, VF
Atrial fibrillation (AF)
ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว เกิดจากจุดปล่อยกระแสไฟฟ้า (ectopic focus) ใน atrium ส่งกระแสไฟฟ้าออกมาถี่และไม่สม่ำเสมอและไม่ประสานกัน ทำให้atrium บีบตัวแบบสั่นพริ้ว
ประเภทของ AF
Paroxysmal AF
AF ที่หายได้เอง 7 วันโดยไม่ต้องใช้ยา หรือการช็อคไฟฟ้า
Persistent AF
AF ที่ไม่หายได้เอง 7 วัน หรือหายได้ดัวยการรักษาด้วยยาหรือการช็อคไฟฟ้า
Permanent AF
AF ที่เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปีโดยไม่เคยรักษาหรือเคยรักษาแต่ไม่หาย
Recurrent AF
AF ที่เกิดซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง
Lone AF
AFที่เป็นในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ
สาเหตุ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจรูห์มาติก ภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง
อาการและอาการแสดง
ใจสั่น อ่อนเพลีย เหนื่อยเวลาออกแรง คลำชีพจรที่ข้อมือได้เบา
การพยาบาล
ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอด แขนและขา
ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ
ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษา
เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการทำCardioversion
เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation) ในผู้ป่วยที่เป็น AF
Ventricular tachycardia (VT)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกำเนิดการเต้นของหัวใจ ในอัตราที่เร็วมากแต่สม่ำเสมอ 150-250 ครั้ง/นาที ลักษณะ ECG ไม่พบ P wave ลักษณะ QRS complex มีรูปร่างผิดปกติกว้างมากกว่า 0.12 วินาที
ประเภทของ VT
Nonsustained VT
VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30วินาที
Sustained VT
VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30วินาที ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง
Monomorphic VT
VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
Polymorphic VT
VT ที่ลักษณะของ QRS complex ไม่เป็นรูปแบบเดียว
สาเหตุ
ผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายบริเวณกว้าง (Myocardial infarction) โรคหัวใจรูห์มาติก (Rheumatic heart disease) ถูกไฟฟ้าดูด
อาการและอาการแสดง
เกิดทันที รู้สึกใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ หน้ามืด เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หัวใจหยุดเต้น
การพยาบาล
นำเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันทีและเปิดหลอดเลือดดำเพื่อให้ยาและสารน้ำ
คลำชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว
ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรได้ร่วมกับมีอาการของการไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง ให้เตรียมทำ synchronized cardioversion
ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรไม่ได้ ให้เตรียมเครื่อง Defibrillator
ทำ CPR ถ้าหัวใจหยุดเต้น
Ventricular fibrillation (VF)
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกำเนิดการเต้นของหัวใจตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่ง เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่สม่ำเสมอ ลักษณะ ECG จะไม่มี P wave ไม่เห็นรูปร่างของ QRS complex
สาเหตุ
Hypovolemia Hypoxia Hydrogen ion Hypokalemia
Hyperkalemia Hypothermia
Tension pneumothorax Cardiac tamponade
อาการและอาการแสดง
อาการเกิดทันทีคือ หมดสติไม่มีชีพจร รูม่านตาขยาย และเสียชีวิต
การพยาบาล
เตรียมเครื่งมือ อุปกรณ์และยาที่ใช้ในการช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อมและทำ CPR ทันที
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ปริมาณเลือดออกจากหัวใจในหนึ่งนาทีลดลงเนื่องจากความผิดปกติของ อัตรา และจังหวะการเต้นของหัวใจ
การพยาบาล
ป้องกันภาวะ tissue hypoxia โดยให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
ติดตามค่าเกลือแร่ในเลือด
ติดตามผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วย
ติดตามและบันทึกอาการแสดงของภาวะอวัยวะและเนื้อเยื่อได้รับเลือดไปเลี้ยงลดลง
ติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ให้ยา antidysrhythmia ตามแผนการรักษาและเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำ synchronized cardioversion
ทำ CPR ร่วมกับทีมรักษาผู้ป่วย ในกรณีเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง (lethal dysrhythmias)
Acute Heart Failure (AHF)
ความผิดปกติของโครงสร้างหรือการทำงานของหัวใจ
ชนิดของหัวใจล้มเหลว
แบ่งตามเวลาการเกิดโรค
New onset
หัวใจล้มเหลวที่เกิดขึ้นครั้งแรก เป็นแบบเฉียบพลัน (Acute onset)
Transient
หัวใจล้มเหลวที่มีอาการชั่วขณะ
Chronic
หัวใจล้มเหลวที่มีอาการเรื้อรัง
แบ่งตามการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
Heart failure with reduced EF (HFREF)
หัวใจล้มเหลวที่เกิดร่วมกับการบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายล่างลดลง
Heart failure with preserved EF (HFPEF)
หัวใจล้มเหลวที่เกิดร่วมกับการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายปกติ
แบ่งตามอาการและอาการแสดงของหัวใจที่ผิดปกติ
Left sided-heart failure
เป็นอาการของหัวใจล้มเหลวที่มีอาการหัวใจห้องล่างซ้าย หรือห้องบนซ้าย เช่น Orthopnea
Right sided-heart failure
เป็นอาการของหัวใจล้มเหลวที่มีอาการของหัวใจห้องล่างขวาหรือ ห้องบนขวา เช่น อาการบวม ตับโต
แบ่งตามลักษณะของ Cardiac output
High-output heart failure
หัวใจล้มเหลวจากการที่ร่างกายต้องการปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจมากกว่าปกติ
Low-output heart failure
ภาวะที่หัวใจบีบเลือดออกจากหัวใจได้น้อยลง
อาการ
ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute heart failure)
ภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง (Chronic heart failure)
สาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว
ความผิดปกติแต่กำเนิด (Congenital heart disease)
ผนังกั้น ห้องหัวใจรั่ว
ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ (Valvular heart disease)
ลิ้นหัวใจตีบ
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardial disease)
หัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัวลดลง
ความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ
เยื่อหุ้มหัวใจหนาบีบรัดหัวใจ
ความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease)
Myocardial ischemia induced heart failure
อาการและอาการแสดงของหัวใจล้มเหลว
อาการเหนื่อย (Dyspnea)
เหนื่อยขณะที่ออกแรง
เหนื่อยหายใจไม่สะดวกขณะนอนราบ
หายใจไม่สะดวกขณะนอนหลับและต้องตื่นขึ้นเนื่องจากอาการหายใจไม่สะดวก
อาการบวมในบริเวณที่เป็นระยางส่วนล่างของร่างกาย (Dependent part)
เท้า ขา
อ่อนเพลีย (Fatigue)
การที่มีเลือดไปเลี้ยงร่างกายลดลง
แน่นท้อง ท้องอืด
จากตับโตจากเลือดคั่งในตับ
อาการแสดงที่ตรวจพบบ่อย
หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว
เส้นเลือดดำ ที่คอโป่งพอง
หัวใจโต
เสียงหัวใจผิดปกติ ตรวจพบเสียง S3 หรือ S4 gallop หรือ Cardiac murmur
เสียงปอดผิดปกติ
ตับโต
บวมกดบุ๋ม
การวินิจฉัย
1) ภาพถ่ายรังสีทรวงอก (Chest X-ray, CXR)
ยืนยันภาวะเลือดคั่งในปอดสาเหตุของอาการเหนื่อย
2) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography)
บอกความผิดปกติของหัวใจ
3) การตรวจเลือด
1.CBC: ตรวจหาภาวะซีด ทำให้มีอาการเหนื่อย
การทำงานของไต : การตรวจ BUN, creatinine ประเมินการทำงานของไต
ตรวจการทำงานของตับ (Liver function test): ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวอาจมีการทำงานของตับผิดปกติ
4) การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหัวใจ (Echocardiography)
การวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติของโครงสร้างหรือการทำงานของหัวใจ
แนวทางเวชปฏิบัติเพื่อการวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ประเมินหาสาเหตุหรือปัจจัยกระตุ้นภาวะหัวใจล้มเหลวและแก้ไขสาเหตุทันท่วงที
ให้ยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำชนิด Loop diuretic เพื่อลดอาการภาวะคั่งน้ำ
เมื่อใช้ยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำชนิด Loop diuretic แล้วผู้ป่วยไม่ตอบสนอง
ประเมินผู้ป่วยใหม่
เพิ่มขนาดของยาขับปัสสาวะทางหลอดเลือดดำชนิด Loop diuretic
เปลี่ยนการบริหารยาเป็นแบบ Continuous infusion
เพิ่มยาขับปัสสาวะที่ออกฤทธิ์แตกต่าง
ให้ยากระตุ้นหัวใจทางหลอดเลือด
ชั่งน้ำหนักผู้ป่วยและวัดปริมาตร Intake และ output ทุกวัน
ติดตามค่าการทำงานของไต (BUN, creatinine)
พิจารณาให้ยาช่วยกระตุ้นหัวใจ (Intravenous inotropes) เช่น Dobutamine หรือ Milrinone กรณี Refractory heart failure ซึ่งมีภาวะน้ำคั่งและร่วมกับภาวะCardiogenic shock ความดันซิสโตลิกต่ำกว่า 85 มิลลิเมตรปรอท ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาขับปัสสาวะ
ไม่แนะนำให้ยาช่วยกระตุ้นหัวใจ (Intravenous inotrope) ในผู้ป่วย Acute heart failure
พิจารณาใช้ยาขยายหลอดเลือด ได้แก่ Sodium nitroprusside หรือ Nitroglycerine กรณีที่มี Pulmonary edema และความดันซิสโตลิกมากกว่า 110 มิลลิเมตรปรอท
ให้ Tolvaptan ระยะเวลาสั้น (ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์) มีภาวะคั่งน้ำและภาวะซีรั่มโซเดียมต่ำซึ่งไม่ตอบสนองด้วยการรักษา
พิจารณาการสวนหัวใจเพื่อวัดความดันโลหิต (Right heart catheterization) และใช้ Invasive monitoring
ไม่ควรใช้การสวนหัวใจห้องขวาเพื่อวัดความดัน ในผู้ป่วยเป็น Routine ทุกราย
ให้ Oxygen supplement ในผู้ป่วยที่ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดน้อย
ไม่แนะนำให้ Oxygen supplement ในผู้ป่วย Acute heart failure เป็น Routine ทุกราย
แนะนำ Noninvasive ventilation
พิจารณา Mechanical circulatory support device (MCSD) ในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อค
ควรยึดแนวทางปฏิบัติและคำแนะนำในการดูและรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง
การพยาบาล
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของหัวใจในการบีบเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น ดูแลให้ผู้ป่วยได้ Bed rest
จัดท่านั่งศีรษะสูง 30-90 องศา (Fowler’s position)
ประเมิน V/S ทุก 1 ชั่วโมง
1) ฟังเสียงหัวใจทุก 2-4 ชั่วโมง
2) ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาและมีการติดตามประเมินผลของยา
1) ยาดิจิทาลิส (Digitalis)
มีการจับชีพจรก่อนให้ยาทุกครั้ง
2) ยาโดปามีน (Dopamine)
ทำ I/O ทุก 1 ชั่วโมง ประเมินอาการผิดปกติ
3) ยาไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerine)
ติดตามความดันโลหิต
4) ยากลุ่ม ACE inhibitor
ติดตามวัดความดันโลหิต ทุก 1 ชั่วโมง ติดตามระดับ Creatinine ในเลือด
5) ยาขับปัสสาวะ
แนะนําผู้ป่วยในเรื่องการเปลี่ยนอิริยาบทอย่างช้าๆ
ชั่งนํ้าหนักผู้ป่วยทุกวันในเวลาเดิมคือ ตอนเช้าหลังถ่ายปัสสาวะเพื่อประเมินภาวะน้ำเกิน
จํากัดนํ้าในแต่ละวันตามแนวทางการรักษาโดยในรายที่ไม่รุนแรงให้ จํากัดประมาณ 800-1,000 ซีซี/วัน
ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับความเจ็บป่วยโดยประเมินความรู้สึกและปัญหาต่างๆพร้อมทั้งซักถามความต้องการของผู้ป่วย ควรให้เวลาและตั้งใจรับฟังปัญหา
ประเมินความพร้อมในการรับรู้ข้อมูลของผู้ป่วย ญาติ มีการประเมินวิถีชีวิตของผู้ป่วย
ภาวะช้อก (Shock)
ความหมาย
ภาวะที่เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ ไม่เพียงพอ
การแปลผลความดันโลหิต
Systolic blood pressure (SBP) ความดันของหลอดเลือดขณะหัวใจบีบตัว
ถ้าค่า SBP สูง Systolic function ดี ถ้าค่า SBP ต่ำ แสดงว่า Systolic function ไม่ดี
Diastolic blood pressure (DBP)ความดันของหลอดเลือดขณะหัวใจคลายตัว
ถ้าค่า DBP สูง แสดงว่า Afterload สูง ถ้าค่า DBP ต่ำ แสดงว่า Afterload ต่ำ
การแบ่งประเภทของช็อก (Classification of shock)
Low cardiac output shock (Hypodynamic shock) เป็นภาวะช็อกที่ Cardiac output ต่ำ และเป็นภาวะช็อกที่หลอดเลือดตีบ
Hypovolemic shock
Cardiogenic shock
High cardiac output shock (Distributive shock, hyperdynamic shock) เป็นภาวะช็อกที่cardiac output สูง และเป็นภาวะช็อกที่หลอดเลือดขยายตัว
Septic shock
Anaphylactic shock
Endocrinologic shock
Neurogenic shock
Shock management
การรักษาจำเพาะ (Specific treatment)
การรักษาประคับประคอง (Supportive treatment)
Supportive treatment
Airway: มี Upper airway obstruction เปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
Breathing: ในผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะช็อกควรให้ออกซิเจน
Circulation: พิจารณาการให้สารน้ำตามสาเหตุของช็อกแต่ละประเภท
ตำแหน่งของหลอดเลือดในการให้สารน้ำ
เลือกเส้นเลือดดำที่เป็น Peripheral vein
การให้สารน้ำในภาวะช็อก
ใช้ขนาดเข็มที่ให้สารน้ำ No. 16 หรือ No. 18 เนื่องจากสามารถทำ Fluid loadingได้
การให้สารน้ำเป็นการรักษาที่ทำให้ผู้ป่วยรอดชีวิตในการประคับประคองพลศาสตร์การไหลเวียนเลือด
ให้สารน้ำได้ 2 ประเภท
Crystalloids
ใช้ในการ Resuscitation คือ Normal saline, Ringer's lactate solution
Colloids
ทำให้ปริมาณน้ำในหลอดเลือด (Intravascular volume) เพิ่มขึ้นเร็วกว่า Crystalloids แต่มีผลข้างเคียงหลายประการ
Vasoactive drug
Positive inotropic effect
ฤทธิ์ที่ทำให้การบีบตัวของหัวใจดีขึ้น
Positive chronotropic effect
ฤทธิ์ที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
Vasopressor effect
ฤทธิ์ที่ทำให้ความต้นทานของหลอดเลือดส่วนปลาย
การเลือกใช้ Vasoactive drugs ในช็อกประเภทต่างๆ
Hypovolemic shock ไม่มีที่ใช้ของ Vasoactive drugs
Cardiogenic shock ความดันโลหิตต่ำใช้ Dopamine
Obstructive shock ให้สารน้ำก่อน ถ้ามี Right ventricle บีบตัวไม่ดี ความดันโลหิตต่ำ ใช้ Dopamine หากความดันโลหิตต่ำมาก เช่น Systolic BP ต่ำกว่า 70 mmHg ใช้ Norepinephrine
Septic shock ให้สารน้ำก่อน ถ้าให้สารน้ำเพียงพอแล้วความดันโลหิตยังไม่ขึ้น อาจให้ Dopamineหรือ Norepinephrine
Endocrinologic shock ให้สารน้ำและให้การรักษาทดแทนทางฮอร์โมน หรือให้ยาต้านธัยรอยด์ใน Thyroid storm ถ้าความดันโลหิตต่ำ ให้Norepinephrine
Anaphylactic shock ใช้ Epinephrine (Adrenaline)
Neurogenic shock ใช้ Dopamine
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
ผู้ป่วยมีภาวะปริมาณเลือดออกจากหัวใจต่อนาทีต่ำลงเนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะช็อค
ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพอาการอาการแสดงของ Shock และระดับความรู้สึกตัว
ดูแลให้ได้รับสารน้ำ 0.9% NSS
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะ
บันทึกจำนวนปัสสาวะที่ออก
2.เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา Levophed
1)ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
2) ตรวจวัดความดันโลหิตและอัตราหัวใจเต้นทุก 10 นาที
3) ประเมินผลความดันโลหิต อัตราหัวใจเต้น
เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากประสิทธิภาพการหายใจลดลง
1) ดูแลการไหลเวียนของเลือดโดยจัดท่านอนและให้ออกซิเจน
2) Observe O2 Saturation
3) ประเมินสัญญาณชีพ O2 Saturation ทุก 15 นาที
ผู้ป่วยและญาติมีสีหน้าวิตกกังวล
1) ดูแลอย่างใกล้ชิด
2) ให้คำอธิบาย ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับภาวะโรคและแผนการรักษา
มีไข้จากมีการติดเชื้อในกระแสเลือด (Septic shock)
1) เช็ดตัวลดไข้
2) ประเมินภาวะไข้