Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตที่ใช้เทคโนโลยี และยาที่ใช้บ่อยใน ICU -…
บทที่ 5 การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตที่ใช้เทคโนโลยี และยาที่ใช้บ่อยใน ICU
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจและการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
เครื่องช่วยหายใจ (Mechanical ventilator)
สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถหายใจเองได้ หรือหายใจไม่เพียงพอ
รักษาประคับประคองผู้ป่วยที่มีภาวะระบบหายใจล้มเหลวหรือระบบไหลเวียนล้มเหลว ซึ่งเป็นการช่วยหายใจแบบแรงดันบวก “positive mechanical ventilator”
คำศัพท์สำคัญที่เกี่ยวข้อง
Tidal volume (VT)
ปริมาตรอากาศที่หายใจเข้าและออกจากปอดใน 1 ครั้ง คำนวณตามน้ำหนักตัว ค่าปกติ 6-8 มล./น้ำหนักตัว 1กก.
Respiratory rate (RR)
การตั้งอัตราการหายใจให้กับผู้ป่วย ระหว่าง 12-20 ครั้ง/นาที
Minute volume (MV)
ปริมาตรลมหายใจออกทั้งหมดใน 1 นาที มีหน่วยเป็นลิตร/นาที
Peak flow (PF)
อัตราการไหลของอากาศเข้าสู่ปอดมีหน่วยเป็นลิตร/นาที ควบคุมช่วงระยะเวลาหายใจเข้า
Inspiratory time:Expiratory time (I:E)
อัตราส่วนระหว่างเวลาที่ใช้ในการหายใจเข้าต่อเวลาที่ใช้ในการหายใจออก ตั้ง 1:2 หรือ 1:3 ขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของปอด
Sensitivity
การตั้งค่าความไวของเครื่องที่ผู้ป่วยต้องออกแรงกระตุ้นเครื่อง เพื่อเริ่มต้นการหายใจเข้า
Fraction of Inspired Oxygen (Fio2)
การตั้งระดับความเข้มข้นของออกซิเจนในอากาศที่เครื่องปล่อยเข้าผู้ป่วย ปรับได้ตั้งแต่ 21-100 เปอร์เซ็นต
Positive End Expiratory Pressure (PEEP)
การทำให้ความดันในช่วงหายใจออกสุดท้ายมีแรงดันบวกค้างไว้ในปอดตลอดเวลา ลดแรงในการหายใจ ป้องกันปอดแฟบ (Atelectasis) มีลมค้างอยู่และเพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
ข้อบ่งชี้การใช้เครื่องช่วยหายใจ
ภาวะพร่องออกซิเจน (oxygenation failure) เครื่องช่วยหายใจจะช่วยให้ผู้ป่วยมีการใช้ออกซิเจนที่ลดลงจากการลดการทำงานของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจ ได้แก่ กระบังลม กล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อช่องอกและกล้ามเนื้อคอ และทำให้มีการกระจายออกซิเจนเข้าสู่ในระบบทางเดินหายใจที่ดีขึ้น
ความล้มเหลวของการระบายอากาศ (ventilation failure) เช่น ผู้ป่วยที่ซึมมาก ผู้ป่วยโรคหืด ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง
กล้ามเนื้อกะบังลมไม่มีแรง (diaphragm fatigue) เช่น ได้รับยาที่กดศูนย์หายใจ ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางหรือระบบประสาทส่วนปลาย
ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายผิดปกติ
ชนิดของเครื่องช่วยหายใจ
1. Non-invasive positive ventilator; NPPV
ช่วย
หายใจผู้ป่วยที่ไม่มีท่อทางเดินหายใจซึ่งสามารถช่วยในการแลกเปลี่ยนก๊าซให้ดีขึ้น แก้ไขภาวะกรดจากการหายใจ ลดอัตราการหายใจ
2. Invasive positive ventilator; IPPV
เครื่องช่วยหายใจประเภทความดันบวกที่ใส่ท่อช่วยหายใจ เป็นการอัดอากาศเข้าไปในปอดผ่านทาง endotracheal tube หรือ tracheostomy tube โดยใช้
แรงดันบวก
Mode of ventilator
1.Control mandatory ventilation (CMV) หรือ Assist/control (A/C) ventilation
เมื่อผู้ป่วยมีอัตราการหายใจสูงกว่าอัตราการหายใจที่เครื่องตั้งไว้ เครื่องจะไม่มีการช่วยหายใจ เช่น ตั้งอัตราการหายใจไว้ 12 ครั้ง ผู้ป่วยหายใจ 20 ครั้ง 8 ครั้งผู้ป่วยหายใจเอง
2.Synchronized Intermittent mandatory ventilation (SIMV)
ผู้ป่วยสามารถหายใจเองได้ในระหว่างการช่วยหายใจด้วยเครื่อง เช่น เครื่องจะปล่อยอากาศออกมาในทุก 5 วินาที ถ้าวินาทีที่ 6 7 8 ... ผู้ป่วยจะหายใจเอง
3. Spontaneous ventilation
การหายใจที่ผู้ป่วยเป็นผู้เริ่มการหายใจเอง
Continuous positive airway pressure (CPAP) ให้แรงดันบวก (PEEP)ต่อเนื่องในระดับเดียวกันทั้งในช่วงหายใจเข้าและออกให้แรงดันในผู้ป่วย obstructive sleep apnea
Pressure support ventilator (PSV) ช่วยจ่ายก๊าซเพื่อให้ได้ระดับความดันตามที่ตั้งไว้ และจะหยุดจ่ายอากาศเมื่อผู้ป่วยไม่ต้องการ
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดดำไหลกลับหัวใจลดลง
2.ถุงลมถ่างขยายมากเกินไป เยื่อบุผิวถุงลมและหลอดเลือดฝอยสูญเสียหน้าที่ทำให้เกิดปอดบวมน้ำเฉียบพลัน และเกิดการทำลายถุงลม
3.ภาวะถุงลมปอดแตก (Pulmonary barotrauma)
การบาดเจ็บของทางเดินหายใจ (Artificial airway complication)
ภาวะปอดแฟบ (Atelectasis)
การเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ (Ventilator Associated Pneumonia; VAP)
ภาวะพิษจากออกซิเจน (Oxygen toxicity)
8.ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ การเกิดแผลหรือภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร
ผลต่อภาวะโภชนาการ
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ
1.การดูแลด้านจิตใจ
ควรประเมินภาวะดังกล่าวและดูแลอย่าง
ใกล้ชิด ประคับประคองด้านจิตใจโดยอธิบายเกี่ยวกับการเจ็บป่วย
2.การดูแลด้านร่างกาย
ประเมินสภาพผู้ป่วยและภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ สัญญาณ
ชีพ ต้องประเมินทุก 1 ชั่วโมง ระดับความรู้สึกตัว ความรู้สึกที่ผิดปกติ
การดูแลท่อหลอดลมและความสุขสบายในช่องปากของผู้ป่วย
ดูดเสมหะเมื่อพบว่ามีปริมาณเสมหะมาก
การดูแลให้เครื่องช่วยหายใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และดูแล Tubing system
การป้องกันภาวะปอดแฟบ
การหย่าเครื่องช่วยหายใจ (Weaning)
ขั้นตอนการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ขั้นตอนที่ 1 ก่อนหย่าเครื่องช่วยหายใจ
1.1 ประเมินความพร้อมของผู้ป่วย เช่น ค่า PaO2>60 มม.ปรอท FiO2
ไม่เกิน 0.4 , ค่า PEEP น้อยกว่า 5 cmH2O , สัญญาณชีพปกติ , Spontaneous tidal volume เมื่อถอดเครื่องช่วยหายใจแล้ว มากกว่า 5 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
1.2 วิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ผู้ป่วยหายใจเองทาง T piece หรือหายใจเองสลับกับเครื่องช่วยหายใจเป็นพักๆ
การใช้เครื่องช่วยหายใจ mode SIMV,PSV,CPAP
ขั้นตอนที่ 2 ขณะหย่าเครื่องช่วยหายใจ
2.1 การพยาบาลผู้ป่วยที่หย่าเครื่องช่วยหายใจ
หย่าเครื่องช่วยหายใจในตอนเช้าหลังจากผู้ป่วยพักผ่อนเต็ม
อธิบายวิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจคร่าวๆ เพื่อลดความกลัว
ดูดเสมหะเพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
จัดท่าศีรษะสูงหรือท่านั่ง
2.2 การถอดท่อช่วยหายใจ
แพทย์พิจารณาให้ถอดท่อช่วยหายใจได้ (extubation)
สามารถหายใจผ่าน T piece 10ลิตร/นาที เกิน 2 ชั่วโมง
สามารถไอขับเสมหะออกมาได้แรงพ้นท่อช่วยหายใจ
รู้สึกตัวดีหรือ GCS>10 คะแนน
ประเมิน cuff leak test ผ่าน
2.3 วิธีในการถอดท่อช่วยหายใจ
จัดท่านั่งศีรษะสูง
ดูดเสมหะในปากและในท่อช่วยหายใจให้โล่ง
ให้ O2 mask with collugate 10 ลิตร/นาที เป็นเวลา 2 ชั่วโมง
ขั้นตอนที่ 3 หลังหย่าเครื่องช่วยหายใจ
3.1 จัดท่าผู้ป่วยท่านั่งศีรษะสูง
3.2 ให้ O2 mask with collugate 10 ลิตร/นาที 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นเป็น O2 cannula 3-6 ลิตร/นาที
3.3 วัดสัญญาณชีพทุก 15-30 นาทีและทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าจะคงที่และเฝ้าระวังอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยง/มีโอกาสเกิดภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจ/มีการรั่วของลม/มีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด/มีภาวะปอดแฟบ
เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อของปอดเนื่องจากการใส่ท่อหายใจ/การกลืนผิดปกติและภูมิต้านทานร่างกายลดลง
การแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง/เสี่ยง (impaired gas exchange) เนื่องจากมีการมีติดเชื้ออย่างรุนแรงของเนื้อปอด/การระบายอากาศและการกำซาบไม่สมดุล/สมองได้รับบาดเจ็บ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีสายสวนหลอดเลือด (central line monitor)
การวัดความดันในหลอดเลือดแดง (intra-arterial monitoring)
ข้อบ่งชี้
ในผู้ป่วยที่มีการไหลเวียนลดลง หรือความดันโลหิตต่ำ เช่น ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุขั้นรุนแรงหลายระบบ
. ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดซึ่งอาจเสียเลือดได้มาก เช่น ผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด ผ่าตัดสมอง
3.จำเป็นต้องการตรวจ arterial blood gas หรือส่งเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการบ่อย ๆ
ผู้ป่วยที่ใช้ inotropic drugs และ vasoactive drug
5.ผู้ป่วยที่วัดความดันโลหิตยาก เช่น ผู้ป่วยถูกไฟไหม้
**ตำแหน่งของเส้นเลือดที่นิยมใส่ arterial catheter ได้แก่ Redial artery (นิยมมากที่สุดเนื่องจากอยู่ตื้น สามารถแทงได้ง่าย) Brachial artery, Femoral artery และ Dorsalis pedis
การพยาบาล
ตรวจสอบความแม่นยำของการปรับเทียบค่า (Accuracy)
Zeroing the transducer (ให้อยู่ในระดับ 0)
2.ดูแลระบบของ arterial line ยใช้สารน้ำ 0.9%
NSS 500 cc ผสมกับ Heparin 2,000-2,500 ยูนิต
3.ป้องกันภาวะแทรกซ้อน
การติดเชื้อ (infection)
การเกิดเนื้อตาย (Skin necrosis)
Air embolization
ภาวะที่มีเลือดออกในเนื้อเยื่อ (Hematoma)
การป้องกันการติดเชื้อ (Infection) การพยาบาล
ใช้ sterile technique
ดูแลให้เป็นระบบปิด
ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อตรงตำแหน่งสายหลอดเลือดแดง
ทำแผลทุก 7 วัน
เปลี่ยนชุดของ transducer และชุดการให้สารน้ำทุก 3 วัน
เก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจทาง arterial line ต้อง flush สาย ไม่ให้มีเลือดหรือฟองอากาศค้างในสาย
ตรวจสอบข้อต่อต่าง ๆ ให้แน่นอย่างสม่ำเสมอ
การป้องกันการเลื่อนหลุดควร immobilized arm โดยใช้ arm broad
8.ตรวจดูคลื่นที่แสดงการอุดตัน (damped waveform) และบันทึกตำแหน่งของสายยาง
จดบันทึกค่า Arterial blood pressure ที่ได้ทุก 15-60 นาที
10.กรณีที่แพทย์ถอดสายยางออกแล้วควรกดตำแหน่งแผลไว้นาน อย่างน้อย 10 นาที
การวัดค่าความดันในหลอดเลือดดำส่วนกลาง (Central venous pressures; CVP)
ข้อบ่งชี้
1.ผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดจากอุบัติเหตุหรือจากการผ่าตัด
ในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำเกิน
3.กรณีที่ต้องการประเมินการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด
การแปลงค่า CVP
ค่า CVP ปกติอาจอยู่ในช่วง 6-12 cmH2O (2-12 mmHg)
1 cmH2O=1.36 mmHg
การพยาบาล
1.ความแม่นยำของการเปรียบเทียบค่า
Levelling the transducer จัดตำแหน่ง ให้อยู่ในตำแหน่ง phlebostatic axis
Zero the transducer เป็นการปรับ transducer กับความดันบรรยากาศ (ให้อยู่ในระดับ 0)
2.ป้องกันการเลื่อนหลุดของสายสวน
3.ป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือดจากการใส่สายสวน
พิจารณาความจำเป็นและพิจารณาถอดออกให้เร็วที่สุด
ประเมินแผลบริเวณรอบ ๆที่คาสาย
ทำความสะอาดแผลด้วย 2% Chlorhexidine in 70% Alcohol และเปลี่ยน sterile transparent dressing ทุก 7 วัน
สวมปิดบริเวณข้อต่อด้วย needleless connector หรือจุกปิด (stopcock)
ป้องกันการอุดตันของสายสวน
5.การป้องกันฟองอากาศเข้าหลอดเลือดโดยดูแลให้เป็นระบบปิด
ยาที่ใช้บ่อยในผู้ป่วยวิกฤต (common drugs used in ICU)
ยาที่ใช้ในภาวะ Pulseless Arrest
Epinephrine
ขนาด
1 mg/ ml/ ampule (1: 1,000)
กลไกการออกฤทธิ์
กระตุ้น Alpha adrenergic receptor และ beta adrenergic receptor
การนำไปใช้
ช้เป็นยาตัวแรกในการทำ CPR ทั้งในภาวะ systole/PEA และ VF/pulseless VT
ในภาวะ symptomatic bradycardia ที่ไม่ตอบสนองต่อการให้ atropine
Cardiac arrest
การบริหารยา
IV; Undilute (1:1,000) หรือ dilute ให้ได้ 1: 10,000 ยา (1 amp: สารน้ำ 10 ml)
ผลข้างเคียง
tachycardia, arrhythmias, hypertension
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ ทุก 15 นาทีติดต่อกัน 2ครั้ง เมื่อเริ่มให้ยา
ปรับขนาดยา เมื่อ BP < 90/60 หรือ >140/90 mmHg หรือ HR>120 ครั้ง/นาที หรือตามแผนการรักษา
Amiodarone (Cordarone®)
กลไกการออกฤทธิ์
เป็น class III antiarrhythmic drugs ใช้รักษาภาวะ tachyarrhythmia ได้หลายชนิด ทั้งที่เป็นsupraventricular หรือ ventricular arrhythmia
การนำไปใช้
รักษาหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะชนิด Atrial fibrillation และ Atrial flutter
Ventricular fibrillation (VF) และ Ventricular tachycardia (VT)
ขนาดที่ใช้
CPR ขนาด 300mg หรือ 5 mg/kg เจือจางใน D5W 20 ml. IV push
ยังมีหัวใจห้องล่างผิดปกติ ให้ยาเพิ่มอีก 150 mg หรือ 2.5 mg/kg
หลังจากนั้นให้ maintenance dose 10-20 mg/kg/day
ขนาดเฉลี่ย 600-800 mg/24 ชั่วโมง อาจให้ได้สูงถึง 1.2 g/24 ชั่วโมง
การบริหารยา
Amiodarone injection 150 mg/ 3 mL เจือจางใน D5W เท่านั้น
ผลข้างเคียง
อาจทำให้เกิด vasodilatation และ hypotension ได้
Bradycardia, hypothyroidism, hyperthyroidism, thrombophlebitis
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและ monitor EKG ทุก 15
นาที x 3 ครั้ง หลัง loading dose รายงานแพทย์เมื่อ BP < 90/60 mmHg, HR < 60 BPM
ยาที่ใช้ในภาวะ Bradyarrhythmia
Atropine
กลไกการออกฤทธิ์
anticholinergic drug ทำงานโดยการไปยับยั้งการทำงานของ vagus nerve ที่หัวใจ ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของ heart rate
การนำไปใช้
แก้ไขภาวะหัวใจเต้นช้าผิดปกติและ AV block
ขนาดยาที่ใช้
0.6-1 mg ทุก 3-5 นาที (ขนาดสูงสุดไม่เกิน 3 mg)
การบริหารยา
Atropine 0.6 mg/ml/ampule ให้ IV Bolus: Undiluted or dilute 1-10 ml ฉีด15 – 30 วินาที
ผลข้างเคียง
ทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็ว (tachycardia)
การพยาบาล
ควรระวังการให้ขนาดที่ต่ำกว่า 0.5 mg
ติดตามสัญญาณชีพ monitor EKG
ไม่ควรให้ถ้า HR > 60 ครั้ง/นาที
รายงานแพทย์เมื่อ HR > 120 ครั้ง/นาที โดยให้ monitor HR ทุก 5 นาที
ยาที่ใช้ในภาวะ Tachyarrhythmia
Adenosine
กลไกการออกฤทธิ์
เป็น purine nucleoside สามารถยับยั้งการนำไฟฟ้าผ่าน AV node
การนำไปใช้
first line drug ในภาวะ Stable narrow complex tachycardia (reentry SVT)
ขนาดยาที่ใช้และการบริหารยา
Adenosine 6 mg/2 ml/vial ฉีดทางหลอดเลือดดำขนาด 6 mg ฉีดเร็ว ๆ ภายใน 1 – 3 วินาที ตามด้วย NSS bolus 20 ml พร้อมกับยกแขนสูง (double syringe technique) สามารถให้ยาซ้ำได้อีก 12 mg
ผลข้างเคียง
อาการหน้าแดง (flushing) เหนื่อยและแน่นหน้าอก ซึ่งอาการไม่รุนแรงและมักจะหายไปในเวลา< 1 นาที
การพยาบาล
ฉีดเร็วๆ บริเวณ upper extremities และ flush NSS ตาม 20 ml ด้วยวิธี double syringe technique
ถ้าฉีดยาช้าเกินไปยาจะถูกทำลายหมดก่อนถึงหัวใจ เนื่องจากยามี half-life สั้นมากเพียง 0.5-5 วินาที
Digoxin (Lanoxin ®)
กลไกการออกฤทธิ์
มีผลเพิ่ม vagal tone ทําให้การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น จากการลดการทำงานของระบบประสาท sympathetic ทำให้อัตราเต้นของหัวใจลดลง
การนำไปใช้
Heart failure
atrial fibrillation (AF), atrial flutter และ supraventricular Tachycardia (SVT)
ขนาดที่ใช้
Digoxin injection 0.5 mg/ 2 mL amp (=0.25 mg/mL)
ขนาดเริ่มแรก 0.25 – 0.5 mg ทางหลอดเลือดดำและให้ซ้ำได้ขนาดสูงสุด 1 mg/day
การบริหารยา
การให้ยาแบบ IV bolus จะต้องให้แบบช้าๆ นานกว่า 5 นาที เจือจางด้วย sterile water for injection, NSS, D5W โดยใช้สารละลายมากกว่า 4 เท่า
ผลข้างเคียง
หัวใจเต้นช้าชนิด Sinus bradycardia, S-A arrest
หัวใจเต้นผิดจังหวะ AV block, Atrial fibrillation
การพยาบาล
กรณียาฉีด ประเมินสัญญาณชีพก่อนให้ยา และหลังให้ยาทุก 15 นาทีติดต่อกัน 2 ครั้ง ต่อไปทุก 30 นาที ติดต่อกัน 3 ครั้ง ต่อไปทุก 1 ชั่วโมงจนครบ 6 ชั่วโมง
monitor EKG ขณะฉีดยา และหลังฉีดยา 1 ชั่วโมง
รายงานแพทย์เมื่อ HR < 60 ครั้ง/นาที หรือ >100 ครั้ง/นาที BP < 90/60 mmHg RR < 14 ครั้ง/ นาที หรือพบ Arrhythmia
ยากระตุ้นความดันโลหิต (Vasopressor)
Dopamine (Inopin®)
กลไกการออกฤทธิ์
กระตุ้น Adrenergic และ Dopaminergic receptors ตามขนาดยา
การนำไปใช้
ขนาดต่ำ ใช้ในผู้ป่วยที่ปัสสาวะออกน้อย
ขนาดปานกลาง เพิ่มการบีบตัวของหัวใจ เพิ่ม Cardiac out put
ขนาดสูง ทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ
ขนาดที่ใช้และการบริหารยา
ยา 1 Amp บรรจุ 10 ml มีความเข้มข้นของยา 250 mg (25 mg/ml) เป็น 1:1, 2:1, 4:1 (ความเข้มข้นของยา:สารละลาย)
ผลข้างเคียง
การรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตายได้ คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ
การพยาบาล
ตรวจดู IV site ทุก 1 ชั่วโมง
monitor ECG urine out put
ปรับเพิ่มหรือลดยาได้ทีละ 2µd/min keep BP ≥ 90/60 และ ≤140/90
Dobutamine
กลไกการออกฤทธิ์
กระตุ้นที่ Beta-1 และAlpha-1 Adrenergic receptors ที่หัวใจ
การนำไปใช้
เพิ่ม cardiac output ในผู้ป่วยหัวใจวาย หรือ cardiogenic shock
ขนาดที่ใช้
้Dobutamine 2-20 mcg/kg/min
การบริหารยา
ยา 1 Vial บรรจุ20 ml มีความเข้มข้นของยา 250 mg หรือ 12.5 mg/ml
ผลข้างเคียง
เกิดความดันโลหิตสูงหัวใจเต้นเร็วและเต้นผิดจังหวะ
การพยาบาล
เหมือนกับยา Dopamine
3.Norepinephrine (Levophed®) กลุ่ม Adrenergic agonist
กลไกการออกฤทธิ์
กระตุ้น beta1 และ alpha adrenergic receptors
การนำไปใช้
รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะseptic shock และ cardiogenic shock ระดับรุนแรง
ขนาดยาที่ใช้
เริ่มต้นที่ 0.01-3 mcg/kg/min
การบริหารยา
ยา 4 mg (1 mg/ml) 4:100, 8:100
ผลข้างเคียง
หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง กระวนกระวาย หายใจลำบาก
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและ monitor ECG
ยาขยายหลอดเลือด (Vasodilators)
Nicardipine
กลไกการออกฤทธิ์
กลุ่ม Calcium channel blocker
การนำไปใช้
ในผู้ป่วยที่มีภาวะ Hypertensive crisis
ขนาดยาที่ใช้และการบริหารยา
ยา 1 Amp ขนาด 2mg/2 ml หรือ 10 mg/10 ml
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หน้าแดง ใจสั่น หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและ monitor ECG อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ทุก 0.5 -1 ชม
2.Sodium Nitroprusside
กลไกการออกฤทธิ์
free nitroso group (NO) จะไปยับยั้ง excitation-contraction
coupling ของผนังหลอดเลือด (vascular smooth muscle)
การนำไปใช้
ลดความดันโลหิตในผู้ป่วย hypertensive emergency
ลด afterload ในภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
ขนาดที่ใช้และการบริหารยา
ยาผสม 50 mg ใน D5W 250 ml เริ่มให้ 0.1 mcg/kg/min
ปรับยาขึ้นครั้งละ 10 mcg/min ค่อยๆ เพิ่มขนาดยาโดยไม่ทำให้เกิดความดันโลหิตลดลง เพิ่มทุก 3-15 นาที
ผลข้างเคียง
คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ เหงื่อออกมาก
ความรู้สึกตัวลดลงและมีภาวะความเป็นกรดในเลือดสูงขึ้น
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต ทุก 5 นาทีหลังให้ยา และติดตามทุก 1 ชั่วโมง
Nitroglycerin (NTG)
การนำไปใช้
Acute coronary syndrome, Chest pain (angina pectoris)
Heart failure โดยช่วยในการลด preload
ขนาดที่ใช้
เริ่มขนาด 5-10 mcg/min เพิ่มทีละ 5-10 mcg/min ทุก 5-10 นาที
การบริหารยา
NTG 1 vial มี 10 ml บรรจุยา 50 mg เจือจางใน 5%D/W หรือ 0.9%NSS โดยผสม Nitroglycerin 500-1000 มก. ใน D5W หรือ NSS 250 ml
ผลข้างเคียง
Hypotension, Tachycardia, Flushing, headache
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต ยามีผลทำให้ความดันโลหิตต่ำ
monitor EKG ยาทำให้เกิดหัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia)