Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาพยนต์สั้น เรื่อง A beautiful mind, นางสาว นิรดา เก้ากัญญา Sec A เลขที่…
ภาพยนต์สั้น เรื่อง A beautiful mind
ข้อมูลทั่วไป
ข้อมูลส่วนบุคคล
ผู้ป่วยชื่อ นายจอห์น ฟอบส์ แนช จูเนียร์ (Mr. John Forbes Nash,Jr.)
อายุ 24 ปี
เชื้อชาติ อเมริกัน สัญชาติ อเมริกัน
ประวัติครอบครัว
ภรรยาชื่อ นาง อลิเซียและมีลูกด้วยกัน 1 คน
มีน้องสาว 1 คน
ความสัมพันธ์ในครอบครัว
ผู้ป่วยเป็นคนเก็บตัว
มีความคิดหมกมุ่นจนเกือบทำร้ายภรรยาและลูก
ผู้ป่วยไม่มีความรู้สึกอยากมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา
มีความคิดหมกมุ่นและพฤติกรรมแปลกๆ
โรคที่คาดว่าผู้ป่วยจะเป็น
โรคจิตเภท (Schyzoprenia)
หมายถึง โรคความผิดปกติทางจิตที่รุนแรงและเรื้อรัง ส่งผลต่อการพูด การคิด การรับรู้ ความรู้สึก และการแสดงออกของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการต่าง ๆ อย่างประสาทหลอน หลงผิด ปลีกตัวจากสังคม หรือไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ จึงยังไม่มีวิธีรักษาที่เฉพาะเจาะจง แต่ผู้ป่วยอาจบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ โดยต้องเข้ารับการรักษาเพื่อควบคุมอาการไปตลอดชีวิต
อาการ : แบ่งออกเป็น 3 ด้าน
อาการด้านบวก เป็นอาการทางจิตที่มักจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่มีสุขภาพดีทั่ว ๆ ไป ซึ่งผู้ป่วยอาจสูญเสียความสามารถในการรับรู้ความเป็นจริงบางอย่าง
อาการด้านลบ ผู้ป่วยอาจมีปัญหาด้านการแสดงออกทางอารมณ์ พฤติกรรม และความสามารถ
อาการด้านการรับรู้ เป็นอาการที่อาจส่งผลต่อกระบวนการคิดและความทรงจำของผู้ป่วย โดยผู้ป่วยอาจมีปัญหาในการจดจ่อ การทำความเข้าใจข้อมูล การตัดสินใจ ความจำ และการจัดการสิ่งต่าง ๆ
สาเหตุ
ความผิดปกติภายในสมอง และปริมาณสารเคมีในสมองบางชนิดผิดปกติ
การสัมผัสสารพิษหรือได้รับเชื้อไวรัสขณะอยู่ในครรภ์มารดาหรือในช่วงแรกเกิด
ภาวะขาดออกซิเจนในช่วงแรกเกิด ซึ่งอาจสร้างความเสียหายแก่สมอง
ภาวะขาดสารอาหารตอนทารกอยู่ในครรภ์
อาการอักเสบ หรือเป็นโรคภูมิต้านตนเอง
การใช้ยาที่มีผลต่อจิตใจ หรือใช้ยาเสพติดที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการของโรค
ความเครียด อาจเกิดจากปัญหาด้านการเงิน ปัญหาความสัมพันธ์ การปลีกตัวจากสังคม การสูญเสียคนรักไป หรือปัญหาอื่น ๆ
เพศและอายุ โดยโรคนี้เกิดขึ้นได้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 15-25 ปี และผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี อาจมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป
การรักษา : ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรค Schizophrenia แต่ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาดูแลอาการในระยะยาว เพื่อช่วยบรรเทาหรือลดความรุนแรงของอาการ
โรคกลัวสังคม (Social anxiety disorder)
หมายถึง การที่ผู้ป่วยมีอาการประหม่า รู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด กังวลใจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อาจมีผู้อื่นสังเกตจ้องมองตนเอง เช่น การพูดคุยกับคนที่ไม่คุ้นเคย การทำกิจกรรมในที่สาธารณะ หรือนำเสนองานหน้าชั้นเรียน เป็นต้น โดยมีอาการแสดงคือเมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว มักใจสั่น มือสั่น เสียงสั่น เหงื่อออกมาก อันเกิดจากความตื่นเต้นและความกังวลที่เกิดขึ้นในจิตใจ
ทั้งนี้ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น บางครั้งเป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนสามารถเจอได้ ไม่เฉพาะกับผู้ป่วยด้วยโรคกลัวสังคมเท่านั้น ความตื่นเต้นธรรมดามักเกิดเป็นครั้งคราว แต่สำหรับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม จะมีอาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นอาการ
สาเหตุ บุคคลที่ป่วยด้วยโรคนี้มักเคยเจอกับสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกแย่ จนกลายเป็นความฝังใจ เช่น กรณีของผู้ป่วยรายหนึ่งที่เดิมทีไม่ได้ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม แต่เมื่อถึงอายุ 16 ปี เริ่มโดนเพื่อนแกล้ง และเมื่อต้องพูดหน้าชั้นเรียน กลับไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจ เพื่อนในห้องคุยกันเอง หัวเราะกันเอง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่มากกับเหตุการณ์นั้น และกลายเป็นความกลัว จากนั้นจึงมีความกังวลที่จะต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมากมาตลอด ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการครั้งแรกในช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับการประเมินของผู้อื่นต่อตนเองค่อนข้างมาก น้อยคนที่จะเริ่มต้นเป็นในช่วงวัยผู้ใหญ่ ส่วนในวัยเด็กสามารถเจอได้เช่นกัน:
การรักษา :ปรับเปลี่ยนที่ความคิดของผู้ป่วยเอง เพื่อประเมินตนเองให้น้อยลง เช่น การพูดหน้าชั้นเรียน ผู้ป่วยมักประเมินไปก่อนล่วงหน้าแล้วว่า ตนเองพูดน่าเบื่อ ไม่น่าฟัง พูดติดขัด บุคลิกภาพไม่ดี ทำให้ขณะที่ต้องพูดมีความกังวลและอึดอัด จึงต้องแก้ไขโดยการประเมินตนเองให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการคิดไปเองว่าผู้อื่นจะต้องสนใจหรือจับผิด
นอกจากนี้กำลังใจจากคนรอบข้างสำคัญมาก หากผู้ป่วยเจอคำพูดกดดัน เช่น ทำไมทำไม่ได้ แค่นี้เองต้องทำได้สิ เป็นต้น จะทำให้อาการป่วยยิ่งแย่ลง แต่ถ้าเป็นคำพูดให้กำลังใจ จะช่วยผู้ป่วยได้มาก
อาการ :มีอาการประหม่าทุกครั้งที่ต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นๆหรือไม่ หากในกรณีที่ต้องทำกิจกรรมบางอย่างในที่สาธารณะ หรือมีคนจำนวนมากจ้องมอง เช่น ขึ้นเวทีเพื่อพูดนำเสนอบางอย่าง ในคนปกติอาจมีความประหม่าในครั้งแรกที่ต้องทำ แต่เมื่อผ่านการฝึกฝน ซักซ้อม ก็สามารถก้าวผ่านไปได้ และไม่ได้เป็นทุกครั้งที่ต้องขึ้นเวที แต่จะเป็นเพียงบางครั้ง เช่น พิธีกร อาจเป็นเฉพาะเวลาที่ต้องพูดในงานที่มีคนเยอะมาก ๆ แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่หากต้องพูดในเวทีเล็ก ๆ ที่เคยเจอมาแล้วจะไม่มีอาการอะไร แบบนั้นถือเป็นความประหม่าปกติที่เกิดขึ้น ไม่ใช่โรคกลัวสังคม
แต่ในผู้ที่ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม จะมีอาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย สถานการณ์ที่มีคนจ้องมองเยอะ หรือสถานการณ์ที่ต้องทำบางอย่างในที่สาธารณะ ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ที่ป่วยด้วยโรคกลัวสังคม ยังมีอาการประหม่าเมื่อต้องสนทนากับคนที่ไม่คุ้นเคย แม้จะเป็นการสนทนาแบบสองต่อสอง มักมีความอึดอัด ไม่สบายใจ กังวลว่าคู่สนทนาจะสังเกตเห็นท่าทีที่ดูไม่ดีหรือน่าอับอายของตนเองตลอดเวลา และไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ ผู้ป่วยจะพยายามเลี้ยงสถานการณ์นั้นๆ หรือหากเลี่ยงไม่ได้ก็จะทุกข์ทรมานมาก โดยระยะเวลาของอาการป่วยมักเป็นต่อเนื่องนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป
โรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง (Schyzophrenia paranoid)
หมายถึง ภาวะผิดปกติทางความคิดที่ทำให้เคลือบแคลงสงสัยหรือระแวงผู้อื่นอย่างไม่มีเหตุผล ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่ามีคนจ้องทำร้ายอยู่ตลอดเวลา คิดว่าคนรอบข้างไม่ชอบตนเอง หรือไม่ไว้ใจผู้อื่น อาการเหล่านี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอาการหลงผิด ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือเข้าสังคมได้ยาก
อาการ :
ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ ระแวดระวังผู้อื่นตลอดเวลา
คิดว่าคนอื่นจะทำร้ายหรือพูดถึงตนเองในทางเสียหาย
มีพฤติกรรมก้าวร้าว ประพฤติตัวไม่เป็นมิตรกับบุคคลรอบข้าง
อ่อนไหวและรับไม่ได้กับการถูกวิจารณ์
หงุดหงิดหรือโกรธง่าย
ปล่อยวางและให้อภัยได้ยาก
มองโลกในแง่ร้าย
เข้าสังคมหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนยาก
ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว
เคลือบแคลงสงสัยในเรื่องที่มีหลักฐานอธิบาย แต่เชื่อข่าวลือต่าง ๆ อย่างไม่มีเหตุผล
สาเหตุ : ปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบถึงสาเหตุของภาวะหวาดระแวงอย่างชัดเจน แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เสี่ยงเกิดอาการหวาดระแวงได้
การรักษา : ผู้ป่วยภาวะหวาดระแวงจะได้รับการรักษาแตกต่างกันไปตามสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ วิธีรักษาประกอบด้วยการทำจิตบำบัด การใช้ยา การฝึกทักษะในการเผชิญความเครียด และการพักรักษาในโรงพยาบาล
โรคจิตหลงผิด (Delusional disorder)
หมายถึง เป็นภาวะทางจิตที่ร้ายแรง โดยผู้ป่วยจะมีอาการหลงผิดไปจากความเป็นจริงเป็นเวลามากกว่า 1 เดือน ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักดูเป็นปกติและไม่มีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด มีเพียงความเข้าใจผิดในบางเรื่อง เช่น เชื่อว่ากำลังถูกปองร้าย เชื่อว่าคนรักนอกใจ เชื่อว่าบุคคลอื่นเป็นคู่รักของตน เป็นต้น ซึ่งบางครั้งผู้ป่วยอาจมีอารมณ์ฉุนเฉียวหรือมีพฤติกรรมรุนแรง โดยภาวะนี้มักเกิดขึ้นในช่วงวัยกลางคนถึงบั้นปลายชีวิต เป็นภาวะที่พบได้น้อยและพบได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย แต่อาจพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายเพียงเล็กน้อย
อาการ : ส่วนใหญ่มักดูปกติและไม่มีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด มีเพียงความเข้าใจผิดในบางเรื่องเป็นเวลามากกว่า 1 เดือน ซึ่งความเข้าใจผิดนี้อาจเป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง หรืออาจเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง แต่ไม่ได้เกิดขึ้นในชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น รู้สึกหงุดหงิด โกรธ หรือเบื่อหน่าย เป็นต้น บางกรณีอาจมีอาการประสาทหลอนด้านการได้ยิน การมองเห็น การได้กลิ่น หรือรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงร่วมด้วย
สาเหตุ : ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของ Delusional Disorder เนื่องจากเป็นภาวะที่พบได้น้อยและยากต่อการศึกษาค้นคว้า แต่งานวิจัยบางชิ้นสันนิษฐานว่า อาการเหล่านี้อาจเกิดจากปัจจัยด้านพันธุกรรม โดยความผิดปกติทางจิตอาจถูกถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกหลานได้ ผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่จึงอาจมีบุคคลในครอบครัวที่ป่วยเป็นโรคจิตเภท หรือมีความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบจิตเภท (Schizotypal)
การรักษา : การรักษาโรคนี้ แพทย์มักใช้ยาและให้ผู้ป่วยเข้ารับการทำจิตบำบัดควบคู่กันไป นอกจากนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มช่วยเหลือตัวเองด้วย
หลอน (Hallucination)
หมายถึง ป็นอาการทางประสาทที่ทำให้เห็นภาพ ได้ยินเสียง ได้กลิ่น รับรู้รสชาติ หรือเกิดความรู้สึก ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวมักเป็นโรคทางจิต เช่น โรคจิตเภท (Schizophrenia) หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน นอกจากนั้น ยังพบได้บ่อยในผู้ที่ใช้ยาบางชนิดซึ่งทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือผู้ที่มีอาการถอนยาและใช้ยาเสพติด หากรู้สึกว่าตนเองมีอาการหลอนหรือพบคนใกล้ชิดมีอาการดังกล่าว ควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อช่วยควบคุมอาการและดูแลให้อาการดีขึ้นได้ในระยะยาว
สาเหตุ
โรคทางสุขภาพจิต (Mental Illnesses) ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อย เช่น โรคจิตเภท (Schizophrenia) อาการเพ้อ (Delirium)
โรคทางระบบประสาทและสมอง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ สมองเสื่อม ไมเกรน โรคลมชัก และเนื้องอกในสมอง
โรคสุขภาพกายอื่น ๆ เช่น มีไข้สูง และ Charles Bonnet Syndrome หรือโรคที่่มีความรุนแรง เช่น เอดส์ ไตวายและตับล้มเหลว
การพักผ่อนไม่เพียงพอ การอดนอนหรือนอนหลับไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการหลอนได้ โดยเฉพาะไม่ได้นอนหลับติดต่อกันหลายวันหรือนอนหลับไม่เพียงพอในช่วงระยะเวลาหนึ่งติดต่อกัน
สารเสพติดและแอลกอฮอล์ เป็นอีกสาเหตุที่พบได้บ่อย ทำให้ผู้ป่วยเห็นภาพหลอนหรือหูแว่ว ไม่ว่าจะเป็นหลังการดื่มเครื่อมดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากหรือการใช้สารติดที่ผิดกฎหมายอย่างโคเคน นอกจากนั้น ยาหรือสารเคมีที่ทำให้ประสาทหลอน เช่น ยาแอลเอสดี (LSD) และแอมเฟตามีน (Amphetamine) ก็ทำให้เกิดอาการหลอนได้เช่นกัน
ยารักษาโรคบางชนิด อาการหลอนอาจเกิดจากการใช้ยารักษาโรคบางชนิด โดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการ อย่างไรก็ตาม อาการหลอนที่มีสาเหตุจากการใช้ยารักษาโรคจะหายไปเมื่อหยุดใช้ยา และก่อนหยุดใช้ยาใด ๆ ผู้ป่วยต้องปรึกษาแพทย์ก่อน
อาการ
เห็นภาพหลอน (Visual Hallucination) ผู้ป่วยอาจเห็นภาพหรือเหตุการณ์ขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง อาจเห็นเป็นวัตถุ รูปภาพ ผู้คน หรือแสง ตัวอย่างเช่น เห็นแมลงไต่อยู่ที่มือหรือใบหน้าผู้อื่น หรือเห็นแสงสว่างที่คนอื่นไม่เห็นหรือไม่ได้เกิดขึ้นจริง
อาการหูแว่ว (Auditory Hallucination) ผู้ป่วยอาจได้ยินเสียงที่ดังมาจากจิตใจหรือดังมาจากภายนอก มักจะได้ยินเสียงคนกำลังพูดคุยกันหรือบอกให้ทำอะไรบางอย่าง ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครพูดอยู่ หรืออาจได้ยินเสียงอื่น ๆ เช่น คนกำลังเดิน มีเสียงเคาะ เป็นต้น
ประสาทหลอนทางการได้กลิ่น (Olfactory Hallucination) ผู้ป่วยอาจจะคิดว่าสิ่งที่ตนเองกำลังได้กลิ่นเป็นกลิ่นที่มาจากบางสิ่งบางอย่างรอบ ๆ ตัว หรือเป็นกลิ่นที่มาจากตนเอง เช่น ได้กลิ่นไม่พึงประสงค์เมื่อตื่นนอนมากลางดึก หรือได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากร่างกายตนเอง แต่ในความจริงแล้วไม่มีกลิ่นนั้น นอกจากนั้น อาจเป็นกลิ่นที่ตนเองชอบ เช่น กลิ่นหอมของดอกไม้ เป็นต้น
ประสาทหลอนทางการรับรส (Gustatory Hallucination) ผู้ป่วยอาจได้รับรสชาติของอาหารที่แปลกไปหรือเป็นรสชาติที่ไม่พึงประสงค์ และมักพบในผู้ป่วยโรคลมชัก
ประสาทหลอนทางการสัมผัส (Tactile Hallucination) ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหมือนถูกสัมผัสหรือมีบางสิ่งขยับอยู่ในร่างกาย ตัวอย่างเช่น รู้สึกเหมือนมีแมลงไต่อยู่บนผิวหนัง อวัยวะภายในกำลังเคลื่อนที่ รวมไปถึงอาจรู้สึกเหมือนมีมือของคนอื่นมาสัมผัสร่างกายหรือจั๊กจี้
การรักษา : การรักษาด้วยยา เช่น หากอาการหลอนเกิดขึ้นจากอาการถอนสุราที่รุนแรง แพทย์อาจให้ใช้ยาเพื่อชะลอระบบประสาท หรือการใช้ยารักษาโรคทางจิตและหรือโรคทางสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ รวมไปถึงให้ใช้ยาต้านชัก (Antiseizure) เพื่อรักษาโรคลมชัก และใช้ยาทริปแทน (Triptans) หรือยาเบต้า บล็อกเกอร์ (Beta Blocker) สำหรับผู้ที่เป็นไมเกรน
พัฒนาการของผู้ป่วยในช่วงวัยต่างๆ
ช่วงวัยเด็ก
ชอบเก็บตัว
ไม่มีเพื่อนสนิทและทักมีปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆ
เรียนเก่ง
ไม่ชอบกิจกรรมนันทนาการแต่มีความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์และทำการทดลองด้วยตนเองตั้งแต่อายุ 12 ปี
ช่วงวัยรุ่น
ผู้ป่วยหันมาสนใจทางด้านคณิตศาสตร์และมุ่งมั่นในการเรียน
ผู้ป่วยเริ่มมีบุคคลิกที่ดูแตกต่างจากผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเริ่มทำงาน
ชาร์ลส์อยู่กับเขาตลอดและเป็นเพื่อนคนเดียวที่สามารถพูดคุย
เรียนปริญญาเอก
มีความโดดเด่นทางด้านการเรียนในระดับอัจฉริยะ
เริ่มมีความคิดหมกมุ่นและมีพฤติกรรมแปลกๆเพิ่มมากขึ้น
พบว่าชาร์ลส์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตเขา
ให้กำลังใจและคอยอยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วยอยู่เสมอ
กฎหมาย พรบ. ที่เกี่ยวข้องกับกรณีศึกษา
มาตรา ๑๕ ผู้ป่วยย่อมมีสิทธิดังต่อไปนี้
๑) ได้รับการบำบัดรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
๒) ได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการบำบัดรักษาไว้เป็นความลับ เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติให้เปิดเผยได้
๓) ได้รับความคุ้มครองจากการวิจัย ตามมาตรา ๒๐ที่กระทำต่อผู้ป่วยจะกระทำได้ ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ป่วย
มาตรา ๑๖ ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วยในประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ป่วย
มาตรา ๑๘ : สาระสำคัญ
การรักษาทางจิตเวชด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive Therapy, ECT) ให้กระทำได้ในกรณีที่ผู้ป่วยให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องรับทราบถึงเหตุผลความจำเป็น ความเสี่ยง ภาวะแทรกซ้อน ประโยชน์ของการบำบัด แต่ในกรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือมีความจำเป็น การรักษาทางจิตเวชด้วยไฟฟ้าต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมการสถานบำบัดรักษา ส่วนการให้ความยินยอมเพื่อรับการรักษา ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอายุไม่ถึง ๑๘ ปีบริบูรณ์ หรือขาดความสามารถในการตัดสินใจให้ความยินยอมรับการบำบัดรักษา เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต หรือผู้บกพร่องทางพัฒนาการหรือสติปัญญา ให้คู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ ผู้อนุบาล เป็นผู้ให้ความยินยอมแทน
คิดว่าผู้ป่วยเป็นโรค Schizophrenia
หมายถึง โรคที่มีความผิดปกติของบุคลิกภาพ มีความผิดปกติด้านการรับรู้ ที่มีลักษณะเฉพาะเป็นแบบจำเพาะ และอารมณ์เป็นแบบไม่เหมาะสม หรือ Blunted สติสัมปชัญญะเชาวน์ ปัญญามักดีอยู่ แม้ว่าจะมีการสูญเสียการรับรู้
อาการ
อาการของโรคจิตเภทอาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ อาการด้านบวก อาการด้านลบ และอาการด้านการรับรู้ ดังนี้
อาการด้านบวก
ประสาทหลอน ผู้ป่วยอาจมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้สึก หรือรับรสที่ไม่มีอยู่จริง แต่มักเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริงซึ่งเกิดจากความคิดของผู้ป่วยเอง โดยอาการที่พบได้บ่อย คือ อาการ หลอนทางการได้ยิน ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจได้ยินผู้อื่นส่งเสียงพากย์สิ่งที่ตนเองกำลังกระทำอยู่ คิดว่าเสียงนั้นคุยกับตนเอง หรือได้ยินว่าเสียงนั้นกำลังพูดสิ่งที่ตนเองคิด โดยสิ่งที่ได้ยินมักเป็นคำหยาบ คำพูดที่รุนแรงหรือไม่รื่นหู กระทั่งคำสั่งที่ให้ทำตาม ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจตอบโต้กับเสียงที่ได้ยินด้วย จึงทำให้คนอื่นมองเห็นว่ากำลังพูดคนเดียว
หลงผิด มักเกิดกับผู้ป่วยโรคนี้โดยส่วนใหญ่ โดยผู้ป่วยอาจเชื่อในสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงหรือไม่มีอยู่จริง เช่น เชื่อว่าเพื่อนบ้านแอบติดกล้องในห้องเพื่อถ้ำมองตนเอง เชื่อว่ามีคนดังมาหลงรัก เชื่อว่ามีคนวางแผนฆ่าหรือวางแผนปองร้าย หรืออาจเชื่อว่ากำลังจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้น เป็นต้น
เกิดความผิดปกติทางความคิด ผู้ป่วยอาจมีกระบวนการคิดหรือการประมวลข้อมูลที่ผิดไปจากปกติหรือไม่เป็นเหตุเป็นผล โดยอาจได้ยินสิ่งที่ตนเองคิดราวกับสิ่งนั้นถูกพูดออกมาดัง ๆ คิดอีกเรื่องหนึ่งแล้วไปคิดอีกเรื่องหนึ่งโดยที่ทั้งสองเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกัน คิดคำศัพท์ใหม่ขึ้นมาเองโดยอาจพูดคำหรือวลีเดิมซ้ำ ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับบริบทนั้น ๆ เชื่อว่าคำพูดโดยทั่วไปมีความหมายตรงกันข้ามหรือมีความหมายพิเศษ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจเชื่อว่าความคิดในหัวไม่ใช่ความคิดของตนเองและมีคนเอาความคิดนั้นมาใส่ในหัว เชื่อว่ามีคนดึงเอาความคิดของตนเองออกไป เชื่อว่าคนอื่นกำลังได้ยินหรืออ่านความคิดของตน หรือความคิดอาจหยุดชะงักจนทำให้หยุดพูดแบบกะทันหันและไม่สามารถทวนในสิ่งที่ตนเองพูดออกไปได้
มีความผิดปกติทางการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยอาจมีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างตื่นกลัวหรือทำท่าทางแปลก ๆ ออกมา
อาการด้านลบ
พูดน้อยลง และอาจพูดด้วยเสียงโทนเดียว
แสดงออกทางสีหน้าและอารมณ์น้อยลง
เคลื่อนไหวน้อยและไม่ค่อยทำอะไร
ปลีกตัวออกจากสังคม
ไม่มีอารมณ์ร่วม หรืออาจมีการแสดงออกทางอารมณ์แบบแปลก ๆ เช่น หัวเราะในสถานการณ์ที่ควรรู้สึกเศร้า เป็นต้น
ไม่มีความสนใจหรือความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิต ไม่ค่อยมีความสุข
มีปัญหาในการบรรลุเป้าหมายหรือแผนที่วางไว้
มีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน
อาการด้านการรับรู้
เป็นอาการที่อาจส่งผลต่อกระบวนการคิดและความทรงจำของผู้ป่วย โดยผู้ป่วยอาจมีปัญหาในการจดจ่อ การทำความเข้าใจข้อมูล การตัดสินใจ ความจำ และการจัดการสิ่งต่าง ๆ
สาเหตุ ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดโรค Schizophrenia ได้ แต่คาดว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่กระตุ้นให้เกิดโรคนี้ เช่น
ความผิดปกติภายในสมอง และปริมาณสารเคมีในสมองบางชนิดผิดปกติ
การสัมผัสสารพิษหรือได้รับเชื้อไวรัสขณะอยู่ในครรภ์มารดาหรือในช่วงแรกเกิด
ภาวะขาดออกซิเจนในช่วงแรกเกิด ซึ่งอาจสร้างความเสียหายแก่สมอง
ภาวะขาดสารอาหารตอนทารกอยู่ในครรภ์
อาการอักเสบ หรือเป็นโรคภูมิต้านตนเอง
การใช้ยาที่มีผลต่อจิตใจ หรือใช้ยาเสพติดที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการของโรค
ความเครียด อาจเกิดจากปัญหาด้านการเงิน ปัญหาความสัมพันธ์ การปลีกตัวจากสังคม การสูญเสียคนรักไป หรือปัญหาอื่น ๆ
เพศและอายุ โดยโรคนี้เกิดขึ้นได้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 15-25 ปี และผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี อาจมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป
การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรค Schizophrenia แต่ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาดูแลอาการในระยะยาว เพื่อช่วยบรรเทาหรือลดความรุนแรงของอาการด้วยวิธีต่อไปนี้
การใช้ยา
การบัดบัดทางจิต
การบำบัดเพื่อเสริมสร้างทักษะทางสังคม
การบำบัดภานในครอบครัว
ฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพ
ส่งเสริมสุขภาพร่างกาย
บำบัดด้วยศิลปะ
การช่วยเหลือจากหน่วยงานทางสังคมและชุมชน
การรักษาด้วยการช็อตไฟฟ้า
การช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย
สร้างสัมพันธภาพกับครอบครัวของผู้ป่วย พร้อมกับประเมินสภาพทั่วไปของครอบครัว
จัดให้มีหน่วยงานให้คำแนะนำ และช่วยเก้ปัญหาเมื่อครอบครัวเผชิญภาวะวิกฤตต่างๆเนื่องมาจากการป่วยทางจิตเวช
ยอมรับในความคิดหลงผิดของผู้ป่วย โดยพยาบาลไม่ควรโต้แย้ง หรือท้าทายว่าที่ผู้ป้วยเล่าให้ฟังนั้นไม่จริง และพยาบาลไม่ต้องปฏิบัติตามที่ผู้ป่วยเชื่อ และไม่ควรนำคำพูดของผู้ป้วยไปพูดล้อเล่น
ให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธภาพพื่อการบำบัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อ
เป็นแนวทางให้ผู้ป่วยได้พูดถึงความคิดของเขาได้อย่างอิสระ และเพื่อได้รับฟังความคิดของผู้ป่วย
ประเมินความคิดของผู้ป่วยว่ามีผลอย่างไรต่อพฤติกรรมและการกระทำของผู้ป่วย
เหตุผลที่คิดว่าผู้ป่วยเป็น Schizophrenia เพราะ ผู้ป่วยมีสีหน้าเรียบเฉย แสดงออกทางสีหน้าและอารมณ์ทางลง และยังมีการตัดสินใจได้ค่อนข้างเหมาะสม แต่คิดช้า และมีท่าทีหวาดระแวงเกือบตลอดเวลา ผู้ป่วยยังคงมีความเชื่อว่าตนเองเป็นสายลับ ถูกเรียกตัวให้ไปทำหน้าที่อย่างลับๆ และกำลังถูกปองร้ายจากกลุ่มคนที่เป็นสายลับ มีความจำเฉพาะหน้า (Immediate and Recall memory) ความจำระยะสั้น (Recent memory) และความจำระยะยาว (Remote memory) เป็นปกติ สามารถจำกลุ่มตัวเลขยากๆยาวๆได้เป็นอย่างดี
และพูดตะกุกตะกักในบางครั้ง แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการเป็นสายลับ การถูกสะกดรอยตามจะพูดรัว เร็ว ซึ่งอาการของผู้ป่วยตรงกับทฤษฎีข้างต้น
นางสาว นิรดา เก้ากัญญา Sec A เลขที่ 45 รหัส 613601046