Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาพยนต์สั้น เรื่อง A beautiful mind, อ้างอิง, นางสาวธนภรณ์ เกษศรี ห้องB…
ภาพยนต์สั้น เรื่อง A beautiful mind
ประวัติทั่วไป
ประวัติครอบครัว
มีภรรยาชื่อ อลิเซีย และมีลูกด้วยกัน 1 คน
มีน้องสาว1คน
ข้อมูลส่วนบุคคล
ผู้ป่วยชื่อ นายจอร์น ฟอบส์ แนช จูเนียร์ (Mr.John F0rbes Nash,Jr)
อายุ 24 ปี
เชื่อชาติอเมริกา สัญชาติอเมริกัน
สัมพันธภาพในครอบครัว
ผู้ป่วยเป็นคนเก็บตัว
ผู้ป่วยมีความคิดหมกหมุ่นเกือบทำร้ายภรรยาและลูก
ผู้ป่วยไม่มีความรู้สึกไม่อยากมีเพศสัมพันธกับภรรยา
ผู้ป่วยมีความคิดหมกหมุ่นและมีพฤติกรรมที่แปลกๆ
สาเหตุ
ด้านพันธุกรรม
สารสื่อประสาทในสมอง
ด้านครอบครัว
ครอบครัวตำหนิ
สภาพครอบครัวไม่เหมาะสมในการแก้ไขให้ดีขึ้น
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
สภาพแวดล้อมรอบตัว
เป็นคนเก็บตัว ไม่มีเพื่อนสนิท
ไม่มีสัมพันธภาพกับผู้อื่น
ด้านจิตใจ
ความขัดแย้งภายในจิตใจ
ความเครียด
ความสามารถในการปรับตัว
ประสบการณ์ในอดีต
โดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ
ประวัติผู้ป่วย
อาการและอาการแสดง
หวาดระแวง
คิดว่าจะมีคนทำร้าย
มีคนสะกดรอยตาม
ประสาทหลอน
หูแว่ว ได้ยินเสียงคนสั่งให้ทำตาม
คิดว่ามีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา
คิดว่าจะมีคนมาทำร้าย
ควบคุมตนเองไม่ได้
ทำร้ายตนเอง
ทำร้ายบุคคลรอบตัว
ไม่ชอบเข้าสังคม
ไม่มีเพื่อน
ชอบอยู่คนเดียว
ด้านพฤติกรรม
เดินหลังค่อม
มองซ้าย ขวา ตลอดเวลา
กระสับกระส่าย เดินไปเดินมา
พยายามโต้ตอบกับใครบางคน
เฉยเมย ไร้ความรู้สึก
ประวัติการเจ็บป่วย
ผู้ป่วยปฏิเสธการเจ็บป่วยในอดีต ปฏิเสธการแพ้ยา/อาหาร และการใช้สารเสพติด
ผู้ป่วยกลัวถูกทำร้ายมาก แต่พยายามเก็บเป็นความลับไม่ให้ใครรู้เนื่องจากเขาทำงานเป็นสายลับ แม้กระทั่งภรรยาก็ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน จนกระทั่ง 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล เขาเห็นกลุ่มคนสะกดรอยตามเขาไปถึงที่ทำงาน เขารู้สึกกลัวมากจึงวิ่งหนีจนกระทั่งถูกนำส่งโรงพยาบาล
มีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงกลาโหมชื่อ นายวิลเลียม แพชเชอร์ (Mr. Willium Pacher) มาติดต่อให้เขาทำงานเป็นสายลับคอยถอดรหัสทางการทหารจากนิตยสาร เขาทำงานให้นายวิลเลียมอย่างลับๆ จนกระทั่งพบว่ามีคนสะกดรอยตามเขาอยู่ตลอดและพยายามจะทำร้ายเขา
2 ปีก่อนมาโรงพยาบาล หลังจบปริญญาเอกทางด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) และเข้าทำงานเป็นนักคณิตศาสตร์ที่วีลเลอร์แลปส์ (Wheeler Labs) เขาถูกเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกาเรียกตัวไปช่วยถอดรหัสทางการทหาร
พัฒนาการตามช่วงวัย
วัยเด็ก
ชอบเก็บตัว
ไม่มีเพื่อนสนิทและมักมีปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน
ผู้ป่วยเรียนเก่ง
ไม่ชอบกิจกรรมนันทนาการเเต่มีความสนใจใน
ด้านวิทยาศาสตร์เเละทำการทดลองด้วยตนเองตั้งเเต่อายุ12ปี
วัยรุ่น
ผู้ป่วยหันมาสนใจทางด้านคณิตศาสตร์เเละมุ่งมั่นในการเรียน
ผู้ป่วยเริ่มมีบุคลิกที่ดูเเตกต่างจากผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเริ่มทำงาน
ชาร์ลส์อยู่กับเขาตลอดเเละเป็นเพื่อนคนเดียวที่สามารถพูดคุย
เรียนปริญญาเอก
มีความโดดเด่นทางด้านการเรียนในระดับอัจฉริยะ
เริ่มมีความคิดหมกมุ่นและมีพฤติกรรมแปลกๆเพิ่มมากขึ้น
พบว่าชาร์ลส์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตเขา
ให้กำลังใจและคอยอยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วยเสมอ
การรักษา
การรักษาด้วยยา
ยารับประทาน
ยาฉีด
การรักษาด้วยไฟฟ้า
ประเด็นที่สงสัย
ผลกระทบอะไรบ้างที่เกิดกับผู้ป่วยรายนี้
การเลี้ยงดูของครอบครวัเป็นอย่างไร
ผลข้างเคียงของการรักษามีอะไรบ้าง
ผู้ป่วยรายนี้สมควรได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลหรือควรได้รับการรักษาที่บ้านโดยคนในครอบครัว
ทำไมถึงเก็บตัวอยู่คนเดียวและคิดว่าเพื่อนไม่ชอบเกิดจากอะไร
พัฒนาการในวัยเด็กส่งผลกระทบหรือไม่
ความคิดหลงผิดกับภาพหลอนต่างกันอย่างไร
ทำไมถึงคิดว่าตนเองทำงานให้กับกระทรวงหน่วยงานราชการลับ
ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยา ควรได้รับยาชนิดใด
ครอบครัวจะมีส่วนช่วยในการรักษาผู้ป่วยอย่างไรบ้าง
คาดการณ์โรคที่เกี่ยวข้อง
โรคกลัวสังคม (Social anxiety disorder)
ความหมาย
การที่ผู้ป่วยมีอาการประหม่า รู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด กังวลใจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อาจมีผู้อื่นสังเกตจ้องมองตนเอง เช่น การพูดคุยกับคนที่ไม่คุ้นเคย การทำกิจกรรมในที่สาธารณะ หรือนำเสนองานหน้าชั้นเรียน เป็นต้น โดยมีอาการแสดงคือเมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว มักใจสั่น มือสั่น เสียงสั่น เหงื่อออกมาก อันเกิดจากความตื่นเต้นและความกังวลที่เกิดขึ้นในจิตใจ
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยจะไม่สบตากับใครในขณะที่พูดคุยกัน มักจะหลบดา พูดน้อยหรือตัดบทให้จบไวๆ
หลีกเลี่ยงการไปในที่ที่มีคนมากๆ ไม่อยากไปโรงเรียนเพราะมีคนเยอะ ไม่อยากทำงานในบริษัทที่มีคนมากๆ
วิตกกังวลอย่างมาก ว่าคนอื่นจะวิพากษ์วิจารณ์และคิดอย่างไร กับตัวเอง
เครียดล่วงหน้าเป็นวันหรือสัปดาห์ เมื่อรู้ว่าต้องปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน
กลัวว่าตัวเองจะแสดงอาการหน้าขายหน้าออกไป
มนุษยสัมพันธ์ค่อนข้างต่ำ และรักษาความเป็นเพื่อนไว้ได้ยาก
การรักษา
การรักษาด้วยยา
การรักษาด้วยวิธีจิตวิทยา
โรคจิตเภท (Schyzophrenia)
ความหมาย
เป็นความผิดปกติที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มมีอาการในช่วงวัยรุ่นเมื่อเป็นแล้วมักไม่หายขาดส่วนใหญ่มีอาการกำเริบเป็นช่วงๆโดยมีอาการหลงเหลืออยู่บ้างในระหว่างนั้นอาการในช่วงกำเริบจะเป็นกลุ่มอาการด้านบวกเช่นประสาทหลอนหลงผิดและในระยะหลังส่วนใหญ่จะมีกลุ่มอาการด้านลบเช่นพูดน้อย เฉื่อยชา แยกตนเอง
อาการและอาการแสดง
หูแว่วได้ยินเสียงดังขึ้นมาพร้อมๆ กันกับที่ตนเองคิด เนื้อหาใจความเหมือนกับที่คิดทุกอย่าง ผู้ป่วยบางคนบอกว่าเป็นเสียงสะท้อนของความคิด
หูแว่วได้ยินเสียงคนมากกว่าสองคนถกเถียงหรือออกความคิดเห็นกัน โดยพูดถึงเรื่องของผู้ป่วย
หูแว่วเสียงพูดวิจารณ์การกระทำหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ป่วย
รู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเอง ร่วมไปกับเชื่อว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนเองนี้ เป็นมาจากการกระทำของบุคคลหรืออำนาจภายนอก
รู้สึกว่าจู่ ๆ ความคิดเกิดหายไปกระทันหัน จากการที่มีบุคคลหรืออำนาจภายนอกมาดึงความคิดออกไป
รู้สึกว่าความคิดที่มีนั้นไม่ใช่ความคิดของตนเอง หากแต่เป็นจากบุคคลหรืออำนาจภายนอกสอดแทรกความคิดนั้นเข้าสู่ตนเอง
รู้สึกว่าความคิดของตนเองแผ่กระจายออกไปภายนอก จนคนอื่น ๆ รอบข้างทราบกันหมดว่าตนเองคิดอะไรอยู่
มีการรับรู้ที่ปกติแต่เชื่อมโยงเหตุการณ์ที่รับรู้เข้ากับความหลงผิดของตนเองที่เกิดขึ้นมาในขณะเกิดเหตุการณ์นั้น ทั้งที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกัน เช่น มองเห็นตำรวจโบกมือให้รถไป เกิดเชื่อขึ้นมาว่าตำรวจโบกมือเพื่อบอกว่าสามีจะต้องจากตนเองไปเร็วๆนี้
มีความเชื่อว่าอารมณ์ความรู้สึก แรงผลักดัน หรือการกระทำที่มีในขณะนั้นมิใช่ของตนเอง หากเป็นจากอำนาจภายนอกมาควบคุมบังคับให้เป็นเช่นนั้น ตนเองเป็นเหมือนหุ่นยนต์ที่คอยทำตามการควบคุม
การรักษา
การรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล
มีพฤติกรรมเป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่นหรือก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น
มีปัญหาอื่นๆที่ต้องดูแลใกล้ชิดเช่นมีอาการข้างเคียงจากยารุนแรง
เพื่อควบคุมเรื่องยาในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ยอมรับประทานยา
การรักษาด้วยยา
ระยะควบคุมอาการ
เป้าหมายของการรักษาในระยะนี้คือการควบคุมหลังการให้สงบลงด้วยเร็วการที่อาการวุ่นวายหรือพิธีกรรมของผู้ป่วยโดยทั่วไปดีขึ้นตั้งแต่ระยะแรกนั้นเป็นมาจากรีบทำให้สงบของยาส่วนลิสในการรักษาอาการโรคจิตของยานั้นต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์จึงจะเห็นผล
ระยะให้ยาต่อเนื่อง
หลังจากที่อาการสงบลงแล้วผู้ป่วยยังจำเป็นต้องได้รับยาต่อเนื่องเพื่อป้องกันมีให้กลับมามีอาการกำเริบซ้ำยิ่งผู้ป่วยที่มีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดีการควบคุมด้วยยายิ่งเป็นสิ่งสำคัญขนาดของยาจะต่ำกว่าที่ใช้ในระยะแรกโดยทั่วไปจะค่อยค่อยลดยาจึงถึงขนาดต่ำสุดที่ควบคุมอาการได้ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคน
การรักษาด้วยไฟฟ้า
การรักษาด้านจิตสังคม
จิตบำบัด
ใช้วิธีการของจิตบำบัดชนิดประคับประคลองผู้รักษาเพิ่งตั้งเป้าหมายตามที่เป็นจริงและผู้ป่วยสามารถนำไปปฏิบัติได้
การให้คำแนะนำแก่ครอบครัว
ผู้ปกครองมักเข้าใจว่าเป็นเพราะตนดูแลเลี้ยงดูไม่ดีจึงทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคจิตเกิดความรู้สึกผิดหรือกล่าวโทษตนเองนอกจากนี้บางครอบครัวมีการใช้อารมณ์ต่อกันสูงและอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นเวลานานในแต่ละวันซึ่งอาจเป็นการเพิ่มความกดดันแก่ผู้ป่วยทั้งสองกรณีนี้การทำครอบครัวบำบัดหรือให้ความรู้ในเรื่องโรครวมทั้งสิ่งที่ยากควรปฏิบัติต่อผู้ป่วยจะช่วยได้เป็นอย่างยิ่ง
กลุ่มบำบัด
เป็นการจัดกิจกรรมกลุ่มระหว่างผู้ป่วยโดยส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกว่ามีเพื่อนมีคนเข้าใจไม่โดดเดี่ยวมีการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาและให้คำแนะนำแก่การฝึกทักษะทางสังคมเน้นการสนับสนุนให้กำลังใจ
นิเวศน์บำบัด
เป็นการจัดสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาลเพื่อช่วยส่งเสริมขบวนการรักสาประกอบด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆภายในหอผู้ป่วยการจัดสภาพแวดล้อมภายในหอผู้ป่วยให้น่าอยู่ระบบการบริการเป็นแบบให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเป็นบางส่วนผู้ป่วยต้องช่วยในกิจกรรมต่างๆเท่าที่พอทำได้เพื่อส่งเสริมความรู้สึกเชื่อมั่นในตนเองของผู้ป่วย
โรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง (Schyzophrenia paranoid)
ความหมาย
โรควิกลจริตชนิดหนึ่งที่ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่เชื่อหรือยอมรับความจริง รวมทั้งมีอาการประสาทหลอนหรือพฤติกรรมแปลก ๆ หากไม่ได้รับการรักษาจะใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ เป็นกลุ่มโรคจิตเวชที่มีอาการหวาดระแวงรุนแรงมากที่สุด
อาการและอาการแสดง
ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ ระแวดระวังผู้อื่นตลอดเวลา
คิดว่าคนอื่นจะทำร้ายหรือพูดถึงตนเองในทางเสียหาย
มีพฤติกรรมก้าวร้าว ประพฤติตัวไม่เป็นมิตรกับบุคคลรอบข้าง
อ่อนไหวและรับไม่ได้กับการถูกวิจารณ์
หงุดหงิดหรือโกรธง่าย
ปล่อยวางและให้อภัยได้ยาก
มองโลกในแง่ร้าย
ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว
เข้าสังคมหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนยาก
เคลือบแคลงสงสัยในเรื่องที่มีหลักฐานอธิบาย แต่เชื่อข่าวลือต่าง ๆ อย่างไม่มีเหตุผล
การรักษา
การรักษาด้วยยา
ระยะให้ยาต่อเนื่อง
ระยะควบคุมอาการ
การรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล
การรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาลจะช่วยลดความเครียดที่มีใจผู้ป่วยและครอบครัวลงได้ผู้ป่วยได้รับการดูแลภายจากบุคลากรด้านจติเวชซึ่งจะช่วยในด้านอื่น ๆ
ผู้ป่วยได้รับการดูแลภายจากบุคลากรด้านจิตเวชซึ่งจะช่วยในด้านอื่นๆ
การรักษาด้วยไฟฟ้า (electroconvulsive therapy)
การพยาบาล
ประเมินสภาพผู้ป่วยจากการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ตามแบบประเมินผู้รับบริการในแต่ละแบบแผน ผู้ป่วยที่มีความหวาดระแวง อาจประเมินได้ในแบบแผน สติปัญญาและการรับรู้
ยอมรับในพฤติกรรมหวาดระแวง ไม่โต้แย้ง ต่อต้าน และประเมินระดับความรุนแรงของอาการ
สร้างความไวว้างใจในการติดต่อกับผู้ป่วยแบบตัวต่อตัว (One to one relationship) โดยเน้นการสร้างความวางใจและความเชื่อถือ
ผู้ป่วยที่มีความหวาดระแวงในบางสิ่ง เช่น อาหารมียาพิษ มีคนจะลอบฆ่า พยาบาลต้องยอมรับ และจัดบรรยากาศให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย การให้ความจริงกับผู้ป่วยจะกระทำได้ต้องแน่ใจว่าผู้ป่วยรับได้ การให้เหตุผลเพียงอย่างเดียวผู้ป่วยอาจไม่เชื่อถือ พยาบาลอาจจะต้องแสดงพฤติกรรมให้ผู้ป่วยแน่ใจด้วย เช่น ชิมอาหารให้ดู เป็นต้น
ใหผู้ป่วยมีกิจกรรม ลดเวลาที่ผู้ป่วยอยู่คนเดียว ซึ่งอาจทำให้มีความคิดหมกมุ่นอยู่ในเรื่องเดิมๆ
ผู้ป่วยหวาดระแวง มักจะมีความโกรธก้าวร้าวควบคู่ไปด้วยเสมอควรใช้วิธีโอนอ่อนผ่อนปรน อดทนในสิ่งที่ผู้ปวยแสดงออกและให้ผุ้ป่วยทำกิจกรรมที่ระบายความก้าวร้าว
ผู้ป่วยหวาดระแวงจะมีความเคลือบแคลงสงสัยไม่แน่ใจในการพบปะผู้คน หรือการเข้าร่วมกิจกรรมโดยออกมาในรูปแบบของการแยกตัวเอง รุกรานผู้อื่นก่อนเพื่อป้องกัน ตนเองหรือกล่าวหาผู้อื่น กล่าวหาว่ากิจกรรมบำบัดกลุ่มไม่น่าสนใจ พยาบาลต้องคอยสังเกตและระมัดระวังการก่อความวุ่นวายการทำร้ายผู้อื่นและถ้าผู้ป่วยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ควรชมเชยเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจและภาคภูมิใจในตัวเอง
การสื่อสารกับผู้ป่วยต้องเปิดเผยจริงใจรักษาคำพูด ให้ข้อมูลอย่างชดัเจนตรงไปตรงมา หลีกเลี่ยงการมองเห็นจ้องหรือระมัดระวังการกระซิบกระซาบต่อหน้าผู้ป่วยเพราะผู้ปวยอาจเข้าใจว่าพยาบาลนินทาให้ร้ายหรือระแวง
ระมัดระวังอันตรายจากอุบัติเหตุหรืออารมณ์รุนแรงที่เกิดจากการหลงผิด ประสาทหลอนของผู้ป่วย
แสดงความเห็นใจพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ปวยทันทีที่ผู้ป่วยต้องการ
โรคจิตหลงผิด (Delusional disorder)
ความหมาย
ความผิดปกติของความคิด ซึ่งผู้ป่วยมีความเชื่ออย่าสนิทใจ ในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ไม่สมกับเชาวน์ปัญญา และภูมิหลังทางวัฒนธรรม และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เหตุผล
ชนิดของโรคหลงผิดตามลักษณะของอาการ
Delusion of grandeur (Grandios delusion) : ผู้ป่วยคิดว่าตนเองเป็นคนสําคัญผิดธรรมดาหรือมีอํานาจพิเศษ เช่น ตนเองเป็นพระเจ้าหรือมหาเศรษฐีจึงมักมีการเรียกร้องที่จะได้มาหรือมีการกระทําสิ่งนี้อยู่เสมอ
Delusion of Persecution (Persecutory delusion) ผู้ป่วยหลงผิดว่ามีคนคิดที่จะทำร้าย หรือคอยปองร้ายตนเอง เช่น คิดว่ามีคนคอยติดตามไปทุกหนทุกแห่งเพื่อที่จะทำร้ายตน
Delusion (idea) of reference ู้ป่วยคิดว่ามีคนพูดจาเกี่ยวกับตนหรือเหตุการณ์รอบตัวมีความหมายเกี่ยวข้องกับตนเช่นผู้ป่วยเห็นคนคุยตั้งคิดว่าเค้ากำลังพูดเรื่องของตนหรือฟังเพลงจากวิทยุก็คิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตนหรือดูโทรทัศน์ก็คิดว่าเค้าเอาเรื่องตนไปแสดงเป็นละคร
Delusion of Central (Ides of passivity) ผู้ป่วยคิดว่ามีอำนาจบางอย่างจากภายนอกสามารถควบคุมความคิดและการกระทำของตนได้ผู้ป่วยลงผิดคิดว่าคนอื่นบังคับตนได้หรือตนตกอยู่ใต้อำนาจของบุคคลนั้นเช่นคนอื่นรู้ความคิดอ่านใจของผู้ป่วยได้
Delusion of infidelity (delusional jealousy) ความเชื่อผิดๆว่าสามีหรือภรรยาของผู้ป่วยประพฤตินอกใจ
Paranoid delusion ผู้ป่วยระแวงสงสัยไม่เชื่อใจและไม่ไว้วางใจในบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมต่างๆรอบตัวมากเกินไปอันจะนำไปสู่ความหลงผิดคิดว่าตนถูกแกล้งหรือถูกปองร้าย
Hypochondriacal delusion (Somatic delusion) ผู้ป่วยหลงผิดคิดว่าตนมีโรคทางกายโรคใดโรคหนึ่งหรือหลายโรคเช่นคิดว่าตนเป็นเนื้องอกในสมองทั้งทั้งที่การตรวจร่างกายพบว่าปกติ พบในโรคจิตเภทที่มีอารมณ์เศร้า
Delusion of sin and guilt ผู้ป่วยหลงผิดคิดว่าตนทำความผิดอย่างมากและสมควรถูกลงโทษพบในผู้ป่วยซึมเศร้าอย่างรุนแรง
การพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจตามหลักการพยาบาลจิตเวชศาสตร์
รับฟังความคิดของผู้ป่วยโดยไม่ตัดสินหรือตำหนิผู้ป่วย
ไม่ได้เถียงกับผู้ป่วยหรือให้เหตุผลว่าความเชื่อของผู้ป่วยนั้นผิด
จัดให้เข้าร่วมกิจกรรมบำบัดเพื่อให้ผู้ป่วยได้ติดต่อกับสิ่งที่เป็นจริง
การสนทนากับผู้ป่วยที่มีความหลงผิดควรนำเทคนิคการสนทนาการให้คำปรึกษาต่างๆมาใช้
แก้ไขปัญหาที่เกิดจากความคิดหลงผิดเช่นความคับข้องใจความวิตกกังวลความกลัวความเศร้า
ประสาทหลอน (Hallucination)
ความหมาย
เป็นอาการทางประสาทที่ทำให้เห็นภาพ ได้ยินเสียง ได้กลิ่น รับรู้รสชาติ หรือเกิดความรู้สึก ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวมักเป็นโรคทางจิต เช่น โรคจิตเภท (Schizophrenia) หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน นอกจากนั้น ยังพบได้บ่อยในผู้ที่ใช้ยาบางชนิดซึ่งทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือผู้ที่มีอาการถอนยาและใช้ยาเสพติด หากรู้สึกว่าตนเองมีอาการหลอนหรือพบคนใกล้ชิดมีอาการดังกล่าว ควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อช่วยควบคุมอาการและดูแลให้อาการดีขึ้นได้ในระยะยาว
ประเภทของอาการหลอน
เห็นภาพหลอน (Visual Hallucination)
ผู้ป่วยอาจเห็นภาพหรือเหตุการณ์ขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง อาจเห็นเป็นวัตถุ รูปภาพ ผู้คน หรือแสง ตัวอย่างเช่น เห็นแมลงไต่อยู่ที่มือหรือใบหน้าผู้อื่น หรือเห็นแสงสว่างที่คนอื่นไม่เห็นหรือไม่ได้เกิดขึ้นจริง
อาการหูแว่ว (Auditory Hallucination)
ผู้ป่วยอาจได้ยินเสียงที่ดังมาจากจิตใจหรือดังมาจากภายนอก มักจะได้ยินเสียงคนกำลังพูดคุยกันหรือบอกให้ทำอะไรบางอย่าง ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครพูดอยู่ หรืออาจได้ยินเสียงอื่น ๆ เช่น คนกำลังเดิน มีเสียงเคาะ เป็นต้น
ประสาทหลอนทางการได้กลิ่น (Olfactory Hallucination)
ผู้ป่วยอาจจะคิดว่าสิ่งที่ตนเองกำลังได้กลิ่นเป็นกลิ่นที่มาจากบางสิ่งบางอย่างรอบ ๆ ตัว หรือเป็นกลิ่นที่มาจากตนเอง เช่น ได้กลิ่นไม่พึงประสงค์เมื่อตื่นนอนมากลางดึก หรือได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากร่างกายตนเอง แต่ในความจริงแล้วไม่มีกลิ่นนั้น นอกจากนั้น อาจเป็นกลิ่นที่ตนเองชอบ เช่น กลิ่นหอมของดอกไม้ เป็นต้น
ประสาทหลอนทางการรับรส (Gustatory Hallucination)
ผู้ป่วยอาจได้รับรสชาติของอาหารที่แปลกไปหรือเป็นรสชาติที่ไม่พึงประสงค์ และมักพบในผู้ป่วยโรคลมชัก
ประสาทหลอนทางการสัมผัส (Tactile Hallucination)
ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหมือนถูกสัมผัสหรือมีบางสิ่งขยับอยู่ในร่างกาย ตัวอย่างเช่น รู้สึกเหมือนมีแมลงไต่อยู่บนผิวหนัง อวัยวะภายในกำลังเคลื่อนที่ รวมไปถึงอาจรู้สึกเหมือนมีมือของคนอื่นมาสัมผัสร่างกายหรือจั๊กจี้
การพยาบาล
รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการประสาทหลอนของผู้ป่วยทุกโอกาสที่สามารถจะรวบรวมได้โดยให้ครอบคลุม
เกิดขึ้นอย่างไรเวลาไหนความถี่ของการเกิดสาเหตุน้ำหรือกระตุ้นก่อนการเกิดอาการและมีประสาทหลอนทางไหน
พฤติกรรมตอบสนองต่ออาการประสาทหลอนเนื้อหาของประสาทหลอนเฉพาะที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยและผู้ป่วยคนอื่นความสัมพันธ์ของประสาทหลอนกับสถานการณ์หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยรวมทั้งวิธีการต่อสู้ปัญหาของผู้ป่วย
เข้าใจและยอมรับในอาการของผู้ป่วยไม่ตำหนิหรือผู้เชิงขบขันว่าเป็นอาการที่ไม่น่าเป็นไปได้พยาบาลควรสอบถาม content ของประสาทหลอนเพื่อประเมินอาการของผู้ป่วยและผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น รู้สึกผิด กลัว ว้าเว่ สูญเสียอัตมโนทัศน์หรือความคิดที่จะทำร้ายตนเองเพื่อหลีกหนีเสียงรบกวนนั้นความรู้สึกต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยควรได้รับการช่วยเหลืออย่างมาก
สร้างสัมพันธภาพให้ผู้ป่วยรู้สึกไว้วางใจปลอดภัยโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการควรใช้เทคนิคการสนทนาที่จำเป็น เช่น การเสนอตัวช่วยเหลือ การให้ข้อเท็จจริง การตั้งข้อสังเกต เป็นต้น พยาบาลควรให้คำแนะนำผู้ป่วยรู้จักควบคุมตนเองให้สัมผัสความเป็นจริงไม่ควรสนใจเสียงแว่วหรืออาการประสาทหลอนนั้นนั้น ช่วยให้ผู้ป่วยรับรู้และยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างสถานการณ์น้ำและการเกิดอาการประสาทหลอน
หลีกเลี่ยงการเกิดภาวะประสาทหลอน
ให้ผู้ป่วยได้พบปะกับบุคคลอื่นโดยชักชวนให้ผู้ป่วย พูดคุยกับผู้ป่วยอื่น
ให้เข้ากลุ่มกิจกรรมบำบัดที่เหมาะสมกับอาการหรือพฤติกรรมของผู้ป่วยอย่างน้อย 2 กลุ่มใน 1 สัปดาห์
มอบหมายงานของตึกที่ผู้ป่วยสามารถช่วยทำได้เช่น รถน้ำต้นไม้ เช็ดโต๊ะอาหาร
จัดให้ผู้ป่วยได้รับประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้วิธีการเผชิญความวิตกกังวลขณะที่อยู่ในษาการนั้นเพื่อป้องกันการเกิดอาการประสาทหลอนโดยการใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์เพื่อการบำบัด
อ้างอิง
นิตยา ศรีจำนง. บทที่ 4.2.1 การพยาบาลผู้ที่มีความผิดปกติทางด้านความคิดและการรับรู้: Delusion,
Hallucination, Illusion, Paraniod, Withdrawal. [PDF] สืบค้นจาก
http://www.elnurse.ssru.ac.th/nitaya_si/pluginfile.php/18/block_html/content
Delusion..Hallucination..Illusion..Paranoid..Withdrawal.pdf.
มาโนช หล่อตระกูล. โรคจิตเภทโดยละเอียด. สืบค้นจาก
https://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/09042014-0855
.
error
สุจิรา จรัสศิลป์. อาการทางจิตเวช Symptomatology. [PDF] สืบค้นจาก
http://med.swu.ac.th/psychiatry/images/stories/Education/Symptomatology.pdf
.
โรคหลงผิด (Delusional Disorder). (2010). สืบค้นจาก
https://thaipsychiatry.wordpress.com/2010/05/10/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94-delusional-disorder/
.
นางสาวธนภรณ์ เกษศรี ห้องB เลขที่ 28 รหัสนักศึกษา 613601136