Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตที่ใช้เทคโนโลยี และยาที่ใช้บ่อยใน ICU - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตที่ใช้เทคโนโลยี และยาที่ใช้บ่อยใน ICU
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีสายสวนหลอดเลือด (central line monitor)
การวัดการไหลเวียนเลือดและความดันโลหิตในผู้ป่วยวิกฤตตรวจสอบและเฝ้าระวังเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการช่วยให้อวัยวะต่าง ๆได้รับเลือดและออกซิเจนอย่างเพียงพอโดยใส่เครื่องวัดการไหลเวียนและความดันโลหิต
การวัดค่าความดันในหลอดเลือดดำส่วนกลาง (Central venous pressures; CVP)
ตำแหน่งเส้นเลือดที่ใช้สำหรับ monitor CVP
สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง (central venous catheter; CVC) รวมทั้ง Pic line การใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลางเป็นการแทงสายสวนเพื่อสอดใส่ทางหลอดเลือดดำโดยให้ปลายสายอยู่ตำแหน่งของ Superior vena cava (SVC)
การพยาบาล
ป้องกันการเลื่อนหลุดของสายสวน
ป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือดจากการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง
3.1 พิจารณาความจำเป็นในการคาสายสวนหลอดเลือดดำ และพิจารณาถอดออกให้เร็วที่สุด
3.2 ประเมินแผลบริเวณรอบ ๆที่คาสายสวนหลอดเลือดดำทุกเวรและทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าปิดแผล
3.3 ทำความสะอาดแผล
3.4 สวมปิดบริเวณข้อต่อด้วย needleless connector หรือจุกปิด (stopcock)
3.5 ในกรณีการเปลี่ยนชุดสารน้ำควรเปลี่ยนภายใน 72 ชั่วโมง และชุดให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำชนิดที่เป็นไขมันแบบ emulsions
3.6 เฝ้าระวังและดูแลระบบการให้สารน้ำต้องเป็นระบบปิดตลอดเวลา
ความแม่นยำของการเปรียบเทียบค่า
Levelling the transducer จัดตำแหน่ง transducer ให้อยู่ในตำแหน่ง phlebostatic axis
Zero the transducer เป็นการปรับ transducer กับความดันบรรยากาศ (ให้อยู่ในระดับ 0)
ป้องกันการอุดตันของสายสวน การอุดตันสายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง (central vein thrombosis)
มี fibrin sheath มาเกาะสาย
การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในสาย
การตกตะกอนของสารอาหาร
ยาหรือสารละลายที่ไม่เข้ากัน
การป้องกันฟองอากาศเข้าหลอดเลือดโดยดูแลให้เป็นระบบปิด ป้องกันการเลื่อนหลุดของสาย ป้องกันฟองอากาศเข้าสู่หลอดเลือดในขณะวัด CVP
ข้อบ่งชี้ในการติดตามค่า CVP
ในผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดจากอุบัติเหตุหรือจากการผ่าตัด ภาวะ shock และกรณีอื่นที่ทำให้ปริมาณเลือดและน้ำในร่างกายลดลง
ในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำเกิน
ในกรณีที่ต้องการประเมินการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด
การวัดความดันในหลอดเลือดแดง (intra-arterial monitoring)
เป็นวิธีการสอดใส่สายยางเข้าไปในเส้นเลือดแดง (arterial line; A-line) และนำมาต่อกับเครื่องวัด (manometer) เป็นการวัดความดันของหลอดเลือดแดงโดยตรง
ข้อบ่งชี้ในการวัดความดันโลหิตทางหลอดเลือดแดง
ในผู้ป่วยที่มีการไหลเวียนลดลง หรือความดันโลหิตต่ำ เช่น ในภาวะช็อก ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุขั้นรุนแรงหลายระบบ
ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดซึ่งอาจเสียเลือดได้มาก เช่น ผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด ผ่าตัดสมอง
ในรายที่จำเป็นต้องการตรวจ arterial blood gas หรือส่งเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการบ่อย ๆ
ผู้ป่วยที่ใช้ inotropic drugs และ vasoactive drug
ผู้ป่วยที่วัดความดันโลหิตยาก เช่น ผู้ป่วยถูกไฟไหม้
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใส่สายหลอดเลือดแดง (arterial line)
ตรวจสอบความแม่นยำของการปรับเทียบค่า (Accuracy)
1.1 Levelling the transducer จัดตำแหน่ง transducer ให้อยู่ในตำแหน่ง phlebostatic axis
1.2 Zeroing the transducer เป็นการปรับ transducer กับความดันบรรยากาศ (ให้อยู่ในระดับ 0)
ดูแลระบบของ arterial line ให้มีประสิทธิภาพ
ป้องกันภาวะแทรกซ้อน
3.2 การเกิดเนื้อตาย (Skin necrosis)
3.3 Air embolization
3.4 ภาวะที่มีเลือดออกในเนื้อเยื่อ (Hematoma)
3.1 การติดเชื้อ (infection)
การป้องกันการติดเชื้อ (Infection) การพยาบาล
4.1 ใช้ sterile technique ในทุกขั้นตอนของการเตรียมและการวัด
4.2 หลีกเลี่ยงการปลดสาย ข้อต่อต่าง ๆ ดูแลให้เป็นระบบปิด
4.3 ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อตรงตำแหน่งสายหลอดเลือดแดง ได้แก่ ปวด (pain) บวม (swelling) แดง (redness) ร้อนหรือมีไข้ (pyrexia) มีหนอง (pus) หรือ discharge
4.4 ทำแผลทุก 7 วัน กรณีใช้ transparent dressing หรือเปลี่ยนผ้าปิดแผลทุก 2 วัน กรณีใช้ gauze dressing หรือเมื่อมีเลือดหรือสารน้ำเปียกซึม
4.5 เปลี่ยนชุดของ transducer และชุดการให้สารน้ำทุก 3 วัน
เมื่อมีการเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจทาง arterial line ต้อง flush สาย ไม่ให้มีเลือดหรือฟองอากาศค้างในสาย
ตรวจสอบข้อต่อต่าง ๆ ให้แน่นอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันการหัก งอ ของสาย arterial line
การป้องกันการเลื่อนหลุด ควร immobilized arm โดยใช้ arm broad ที่เหมาะสม บริเวณ insert site ต้องสามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา
ตรวจดูคลื่นที่แสดงการอุดตัน (damped waveform) และบันทึกตำแหน่งของสายยาง หากพบควรดูดลิ่มเลือดหรือฟองอากาศออกและรายงานแพทย์
จดบันทึกค่า Arterial blood pressure ที่ได้ทุก 15-60 นาที ตามความจำเป็น และรายงานแพทย์ เมื่อค่าที่ได้มีความผิดปกติ
ในกรณีที่แพทย์ถอดสายยางออกแล้วควรกดตำแหน่งแผลไว้นาน
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจและการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ
การดูแลด้านจิตใจ
ประคับประคองด้านจิตใจโดยอธิบายเกี่ยวกับการเจ็บป่วย วิธีการรักษาอย่างมีเหตุผล แจ้งให้ทราบทุกครั้งเมื่อต้องให้การพยาบาล ให้ความมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลรักษาอย่างดีที่สุด
ดูแลด้านจิตใจของครอบครัวและญาติของผู้ป่วยด้วย ควรจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมให้แก่ผู้ป่วย ดูแลความสุขสบายทั่วไป ลดสิ่งรบกวนต่าง ๆ
การดูแลด้านร่างกาย
การดูแลท่อหลอดลมและความสุขสบายในช่องปากของผู้ป่วย
การป้องกันไม่ให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ
ประเมินสภาพผู้ป่วยและภาวะแทรกซ้อน
การดูแลให้เครื่องช่วยหายใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การป้องกันภาวะปอดแฟบ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Electrolyte imbalance
ABGs
การหย่าเครื่องช่วยหายใจ (Weaning)
ขั้นตอนการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ขั้นตอนที่ 1
ก่อนหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ประเมินความพร้อมของผู้ป่วยที่สามารถทำการหย่าเครื่องช่วยหายใจได้
1) โรคหรือสาเหตุที่ผู้ป่วยต้องใส่เครื่องช่วยหายใจหายหรือทุเลาลง
2) มีการแลกเปลี่ยนก๊าซเพียงพอ ค่า PaO2>60 มม.ปรอท FiO2 ไม่เกิน 0.4
3) ค่า PEEP น้อยกว่า 5 เซนติเมตรน้ำ
4) ผู้ป่วยรู้สึกตัวและทำตามคำสั่ง
5) สัญญาณชีพปกติ อุณหภูมิ<38 องศาเซลเซียส อัตราการเต้นของหัวใจ <100 ครั้ง/นาที อัตราการหายใจ< 30 ครั้ง/นาที ระดับความดันซิสโตลิก 90-160 มม.ปรอท
6) ค่า Spontaneous tidal volume เมื่อถอดเครื่องช่วยหายใจแล้ว มากกว่า 5 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
7) ความสามารถในการหายใจเองของผู้ป่วย คำนวณได้จากอัตราการหายใจครั้ง/นาที หารด้วย ค่า Spontaneous tidal volume หน่วยเป็นลิตร เรียกว่า Rapid shallow breathing index หรือ Rate Volume Ratio (RVR) <105 จึงจะมีโอกาสเอาเครื่องช่วยหายใจออกได้
8) ใช้ยาระงับประสาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในการควบคุมความกระวนกระวายของผู้ป่วย
9) ไม่ใช้ยากระตุ้นหัวใจหรือหลอดเลือด ถ้ามีต้องอยู่ในระดับต่ำหรือมีแนวโน้มว่าจะลดลงได้เรื่อย ๆ
10) สามารถไอได้ดี สังเกตได้จากขณะที่ดูดเสมหะ
ขั้นตอนที่ 2 ขณะหย่าเครื่องช่วยหายใจ
วิธีในการถอดท่อช่วยหายใจ
จัดท่านั่งศีรษะสูง
ดูดเสมหะในปากและในท่อช่วยหายใจให้โล่ง
แกะพลาสเตอร์ที่ยึดท่อช่วยหายใจ
เอาลมในกระเปาะท่อช่วยหายใจออกให้หมดโดยใช้ syringe
ให้ผู้ป่วยกลั้นหายใจ ค่อยๆดึงท่อช่วยหายใจออกและให้ผู้ป่วยไอขับเสมหะออกมา ดูดเสมหะอีกครั้ง
ให้ O2 mask with collugate 10 ลิตร/นาที เป็นเวลา 2 ชั่วโมง
วัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที ทุก 30 นาทีและทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าจะคงที่
เฝ้าระวังอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
การถอดท่อช่วยหายใจ
แพทย์พิจารณาให้ถอดท่อช่วยหายใจได้ (extubation)
สามารถหายใจผ่าน T piece 10ลิตร/นาที เกิน 2 ชั่วโมง
สามารถไอขับเสมหะออกมาได้แรงพ้นท่อช่วยหายใจ
รู้สึกตัวดีหรือ GCS>10 คะแนน
ประเมิน cuff leak test ผ่าน
การพยาบาลผู้ป่วยที่หย่าเครื่องช่วยหายใจ
ควรเริ่มหย่าเครื่องช่วยหายใจในตอนเช้าหลังจากผู้ป่วยพักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางคืน
อธิบายวิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจคร่าวๆ เพื่อลดความกลัว ให้ผู้ป่วยร่วมมือและให้กำลังใจผู้ป่วย
ดูดเสมหะเพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง ส่งเสริมให้อากาศผ่านเข้าออกอย่างมีประสิทธิภาพ
จัดท่าศีรษะสูงหรือท่านั่ง หากไม่มีข้อห้ามเพื่อส่งเสริมการขยายตัวของปอด
เริ่มทำการหย่าเครื่องช่วยหายใจเมื่อประเมินสภาพผู้ป่วยว่าพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยวิธี T piece หรือวิธีปรับ mode การหายใจของผู้ป่วยตามแนวปฏิบัติการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
วัดสัญญาณชีพและความเข้มข้นของออกซิเจนปลายนิ้ว (Oxygen saturation) ก่อน
เฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงทุก 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะขาดออกซิเจน
ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถหย่าเครื่องช่วยหายใจโดย T piece 10 ลิตร/นาที
ขั้นตอนที่ 3 หลังหย่าเครื่องช่วยหายใจ
จัดท่าผู้ป่วยท่านั่งศีรษะสูง
ให้ O2 mask with collugate 10 ลิตร/นาที 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นเป็น O2 cannula 3-6 ลิตร/นาที
วัดสัญญาณชีพทุก 15-30 นาทีและทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าจะคงที่และเฝ้าระวังอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
วิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ผู้ป่วยหายใจเองทาง T piece หรือหายใจเองสลับกับเครื่องช่วยหายใจเป็นพักๆ
การใช้เครื่องช่วยหายใจ mode SIMV,PSV,CPAP
Synchronized Intermittent mandatory ventilation (SIMV)
ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจมานานและใช้แบบ T piece ไม่ได้ผล
Pressure support ventilation (PSV)
เป็นวิธีลดงานในการหายใจของผู้ป่วย โดยเครื่องจะปล่อยแรงดันในช่วงที่ผู้ป่วยหายใจเข้าด้วยตนเอง จึงทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องออกแรงมาก ผู้ป่วยเป็นผู้กำหนดอัตราการหายใจ เวลาในการหายใจเข้าและปริมาตรของอากาศ (tidal volume) ด้วยตนเอง
ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ
การบาดเจ็บของทางเดินหายใจ (Artificial airway complication)
ภาวะปอดแฟบ (Atelectasis)
ภาวะถุงลมปอดแตก (Pulmonary barotrauma)
การเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ (Ventilator Associated Pneumonia; VAP)
การบาดเจ็บของปอดจากการใช้ปริมาตรการหายใจที่สูงเกินไป (Pulmonary volutrauma)
ภาวะพิษจากออกซิเจน (Oxygen toxicity)
ระบบทางเดินอาหาร
การเกิดแผลหรือภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร
ผลต่อภาวะโภชนาการ
ผลเสียต่อการทำงานหลายระบบ รวมทั้งระบบภูมิคุ้มกัน
ผลต่อระบบหัวใจและไหลเวียนเลือด
ชนิดของเครื่องช่วยหายใจ
เครื่องช่วยหายใจประเภทความดันบวกที่ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ (Non-invasive positive ventilator; NPPV)
ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของปอดที่รุนแรง
เครื่องช่วยหายใจที่ให้การช่วยหายใจผู้ป่วยที่ไม่มีท่อทางเดินหายใจซึ่งสามารถช่วยในการแลกเปลี่ยนก๊าซให้ดีขึ้น แก้ไขภาวะกรดจากการหายใจ ลดอัตราการหายใจแต่จะควบคุมการแลกเปลี่ยนก๊าซได้ไม่ดีเท่าเครื่องช่วยหายใจประเภทความดันบวกที่ใส่ท่อช่วยหายใจ
ผู้ป่วยหายใจล้มเหลวแบบเรื้อรัง
หรับใช้ที่บ้าน หรือใช้ในเวลากลางคืนและใช้ในรายที่ถอดท่อช่วยหายใจ
เครื่องช่วยหายใจประเภทความดันบวกที่ใส่ท่อช่วยหายใจ (Invasive positive ventilator; NPPV)
เป็นเครื่องช่วยหายใจที่ใช้มากที่สุดในภาวะวิกฤต
ประเภทของเครื่องช่วยหายใจ (Mode of ventilator)
Control mandatory ventilation (CMV) หรือ Assist/control (A/C) ventilation
เป็นวิธีช่วยหายใจที่การหายใจทุกครั้งถูกกำหนดด้วยเครื่องช่วยหายใจทั้งหมด โดยผู้ป่วยไม่มีการหายใจเองเลย
ตั้งอัตราการหายใจไว้ 14 ครั้งหากผู้ป่วยหายใจ 22 ครั้ง 8 ครั้งที่ผู้ป่วยหายใจเองเครื่องจะไม่มีการช่วย
Synchronized Intermittent mandatory ventilation (SIMV)
เป็นวิธีช่วยหายใจที่มีทั้งการหายใจเองและการหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ
Spontaneous ventilation
การหายใจที่ผู้ป่วยเป็นผู้เริ่มการหายใจเอง
ผู้กำหนดระยะเวลาและปริมาตรอากาศที่หายใจเข้าด้วยตนเองทั้งหมด
Continuous positive airway pressure (CPAP)
วิธีการหายใจที่ให้แรงดันบวก (PEEP) ต่อเนื่องในระดับเดียวกันทั้งในช่วงหายใจเข้าและออก
Pressure support ventilator (PSV)
วิธีการหายใจที่เครื่องช่วยผู้ป่วยในขณะที่ผู้ป่วยสามารถหายใจได้เอง เครื่องจะช่วยจ่ายก๊าซเพื่อให้ได้ระดับความดันตามที่ตั้งไว้ และจะหยุดจ่ายอากาศเมื่อผู้ป่วยไม่ต้องการแล้ว
ข้อบ่งชี้การใช้เครื่องช่วยหายใจ
ความล้มเหลวของการระบายอากาศ (ventilation failure)
ผู้ป่วยที่มีภาวะล้มเหลวของการระบายอากาศ
ผู้ป่วยที่ซึมมาก
ผู้ป่วยโรคหืด
ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง
กล้ามเนื้อกะบังลมไม่มีแรง (diaphragm fatigue)
ได้รับยาที่กดศูนย์หายใจ ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางหรือระบบประสาทส่วนปลาย
Guillain-Barre syndrome
myasthenia gravis
ภาวะพร่องออกซิเจน (oxygenation failure)
ในบางภาวะร่างกายมีความจำเป็นในการใช้ออกซิเจนในปริมาณสูง
ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุ
ผู้ป่วยที่มีการเสียเลือดและผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อ
ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายผิดปกติ
ในภาวะช็อกร่างกายมีความต้องการออกซิเจนปริมาณสูง ภาวะดังกล่าวทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ๆ ลดลง
เครื่องช่วยหายใจ (Mechanical ventilator)
เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถหายใจเองได้ หรือหายใจไม่เพียงพอ มีบทบาทสำคัญในการรักษาประคับประคองผู้ป่วยที่มีภาวะระบบหายใจล้มเหลวหรือระบบไหลเวียนล้มเหลว
เป็นการช่วยหายใจแบบแรงดันบวก “positive mechanical ventilator”
มีความหลากหลายทั้งชนิด รุ่นและมีรูปแบบของการช่วยหายใจที่แตกต่างกันออกไป
ยาที่ใช้บ่อยในผู้ป่วยวิกฤต (common drugs used in ICU)
ยาที่ใช้ในภาวะ Tachyarrhythmia
Adenosine
การนำไปใช้
ใช้เป็น first line drug ในภาวะ Stable narrow complex tachycardia (reentry SVT) หรือในภาวะ unstable narrow complex regular tachycardia แต่ต้องเตรียมพร้อมทำ cardioversion ไว้ด้วย
ภาวะ regular monomorphic wide complex tachycardia
ขนาดยาที่ใช้และการบริหารยา
Adenosine 6 mg/2 ml/vial IV ขนาด 6 mg ฉีดเร็ว ๆ ภายใน 1–3 วินาที ตามด้วย NSS bolus 20 ml พร้อมกับยกแขนสูง (double syringe technique) ให้ยาซ้ำได้อีก 12 mg
กลไกการออกฤทธิ์
เป็น purine nucleoside สามารถยับยั้งการนำไฟฟ้าผ่าน AV node เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย ยาจะถูกจับ และทำลายที่เม็ดเลือดแดงและผนังหลอดเลือดอย่างรวดเร็ว มีค่าครึ่งชีวิตน้อยกว่า 10 วินาที จึงต้องทำการฉีดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้มียาเหลือไปถึงที่หัวใจ
ผลข้างเคียง
อาการหน้าแดง (flushing) เหนื่อยและแน่นหน้าอก อาการไม่รุนแรงและมักจะหายไป
การพยาบาล
เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้เร็ว (10 วินาที) และหมดฤทธิ์เร็ว จึงต้องฉีดเร็วๆ บริเวณ upper extremities และ flush NSS ตาม 20 ml ด้วยวิธี double syringe technique
ถ้าฉีดยาช้า ยาจะถูกทำลายหมดก่อนถึงหัวใจ เนื่องจากยามี half-life สั้นมากเพียง 0.5-5 วินาที
Digoxin (Lanoxin ®)
การนำไปใช้
Heart failure
หัวใจเต้นผิดจังหวะแบบ atrial fibrillation (AF), atrial flutter และ supraventricular Tachycardia (SVT)
การบริหารยา
การให้ยาแบบ IV bolus จะต้องให้ช้า ๆ นานกว่า 5 นาที ยาฉีดที่ให้อาจไม่ต้องเจือจางแต่ถ้าเจือจาง ใช้ sterile water for injection, NSS, D5W โดยใช้สารละลายมากกว่า 4 เท่า เพื่อป้องกันการตกตะกอนและควรใช้ทันทีที่ผสม
กลไกการออกฤทธิ์
มีผลเพิ่ม vagal tone ทำให้การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น จากการลดการทำงานของระบบประสาท sympathetic ทำให้อัตราเต้นของหัวใจลดลง
ผลข้างเคียง
หัวใจเต้นช้าชนิด Sinus bradycardia, S-A arrest
หัวใจเต้นผิดจังหวะ AV block, Atrial fibrillation
การเป็นพิษจากยา อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ปวดท้อง เบื่ออาหาร กระสับกระส่าย สับสบ ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจหยุดเต้น (heart block)
การพยาบาล
กรณียาฉีด ประเมินสัญญาณชีพก่อนให้ยา และหลังให้ยาทุก 15 นาทีติดต่อกัน 2 ครั้ง ต่อไปทุก 30 นาที ติดต่อกัน 3 ครั้ง ต่อไปทุก 1 ชั่วโมงจนครบ 6 ชั่วโมง
monitor EKG ขณะฉีดยา และหลังฉีดยา 1 ชั่วโมง หรือในผู้ป่วยที่มีลักษณะการเต้นของหัวใจผิดปกติซึ่งอาจเกิดจากพิษของยา
รายงานแพทย์เมื่อ HR < 60 ครั้ง/นาที หรือ >100 ครั้ง/นาที BP < 90/60 mmHg RR < 14 ครั้ง/นาที หรือพบ Arrhythmia
ยากระตุ้นความดันโลหิต (Vasopressor)
Dobutamine
การนำไปใช้
เพิ่ม cardiac output ในผู้ป่วยหัวใจวาย หรือ cardiogenic shock
Dobutamine 2-20 mcg/kg/min ขนาดยามากกว่า 20 mcg/kg/min ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ซึ่งทำให้ภาวะหัวใจขาดเลือดแย่ลงได้
การบริหารยา
ยา 1 Vial บรรจุ 20 ml มีความเข้มข้นของยา 250 mg หรือ 12.5 mg/ml แผนการรักษาของแพทย์นิยมเขียนเป็น 1:1, 2:1, 4:1 ใช้สารละลาย D5W หรือ NSS ให้ขนาดตามแผนการรักษา การคำนวณขนาดยาเหมือน Dopamine
กลไกการออกฤทธิ์
เป็นยาในกลุ่ม Adrenergic agonist ออกฤทธิ์กระตุ้นที่ Beta-1 และAlpha-1 Adrenergic receptors ที่หัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวแรงขึ้น และหลอดเลือดส่วนปลายขยายตัว ทำให้ช่วยลด afterload ทำให้การบีบตัวของหัวใจดีขึ้น ดังนั้นจึงเพิ่ม Cardiac out put
ผลข้างเคียง
ยาอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูงหัวใจเต้นเร็วและเต้นผิดจังหวะได้
บางรายอาจมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเพิ่มขึ้นได้เนื่องจากยาทำให้หัวใจต้องการใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้นจากฤทธิ์ของยาที่ทำให้หัวใจเพิ่มแรงบีบตัว
การรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตายได้
การพยาบาล
เหมือนกับยา Dopamine
Norepinephrine (Levophed®)
การบริหารยา
ยา 1 Amp บรรจุ 4 ml มีความเข้มข้นของยา 4 mg (1 mg/ml) แผนการรักษานิยมเขียนเป็น 4:100, 8:100 สารละลายที่ใช้เจือจางยาคือ D5W เท่านั้น ห้ามผสมใน NSS ตามสัดส่วนในแผนการรักษา สำหรับ peripheral line ไม่ควรผสมเกินกว่า 4 mg/D5W 250ml
ผลข้างเคียง
หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง กระวนกระวาย หายใจลำบาก
การรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตายได้ ตรวจดู IV site ทุก 1 ชั่วโมงเพื่อเฝ้าระวังการเกิดยารั่วออกนอกหลอดเลือด หากพบรอยแดง บวม ให้เปลี่ยนตำแหน่งใหม่ทันที
การนำไปใช้
รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะ septic shock และ cardiogenic shock ระดับรุนแรง หรือภาวะ shock หลังจากได้รับสารน้ำเพียงพอแล้ว
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและ monitor ECG อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ทุก 0.5 -1 ชั่วโมง
ตรวจดู IV site ทุก 1 ชั่วโมงเพื่อเฝ้าระวังการเกิดยารั่วออกนอกหลอดเลือด หากผสมยาความเข้มข้นเกินกว่า 4 mg/D5W 250ml ควรให้ทาง central line
กลไกการออกฤทธิ์
ยาออกฤทธิ์กระตุ้น beta1 และ alpha adrenergic receptors ส่งผลให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจมีการบีบตัวและคลายตัวเพิ่มขึ้นแต่อัตราการเต้นของหัวใจไม่เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นน้อยโดยเมื่อฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำยาจะออกฤทธิ์ภายใน 1-2 นาที
Dopamine (Inopin®)
ขนาดยาที่ใช้และการบริหารยา
ยา 1 Amp บรรจุ 10 ml มีความเข้มข้นของยา 250 mg (25 mg/ml) แผนการรักษาของแพทย์นิยมเขียนเป็น 1:1, 2:1, 4:1 (ความเข้มข้นของยา:สารละลาย) สารละลายที่ใช้เจือจางยาคือ NSS หรือ D5W การคำนวณ dose และ drip rate
ผลข้างเคียง
การรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตายได้
ผลข้างเคียงเกิดจากการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ
การนำไปใช้
ขนาดต่ำ ใช้ในผู้ป่วยที่ปัสสาวะออกน้อย เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่ไต (renal blood flow) และสมอง
ขนาดปานกลาง เพิ่มการบีบตัวของหัวใจ เพิ่ม Cardiac out put
ขนาดสูง ทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะ shock จากการติดเชื้อในกระแสเลือด
การพยาบาล
เลือกตำแหน่งให้ยาบริเวณหลอดเลือดดำเส้นใหญ่และควบคุมอัตราการไหลของยาโดยใช้เครื่องควบคุมอัตราการไหลของสารน้ำอัตโนมัติ (Infusion pump)
ตรวจดู IV site ทุก 1 ชั่วโมงเพื่อเฝ้าระวังการเกิดยารั่วออกนอกหลอดเลือด หากพบรอยแดง บวม ให้เปลี่ยนตำแหน่งใหม่ทันที
ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต monitor ECG urine out put อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ทุก 0.5 -1 ชั่วโมง
ปรับเพิ่มหรือลดยาได้ทีละ 2μd/min keep BP ≥ 90/60 และ ≤140/90 หรือตามแผนการรักษา
กลไกการออกฤทธิ์
ยาออกฤทธิ์กระตุ้น Adrenergic และ Dopaminergic receptors ตามขนาดยา
alpha1adrenergic receptors ทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดเพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ
จับกับ beta 1 receptors กระตุ้นการปลดปล่อย norepinephrine ทำให้เพิ่มการบีบตัวของหัวใจ
กระตุ้น dopaminergic receptors ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังไต
ยาที่ใช้ในภาวะ Bradyarrhythmia
การนำไปใช้
ใช้แก้ไขภาวะหัวใจเต้นช้าผิดปกติและ AV block
กลไกการออกฤทธิ์
เป็น anticholinergic drug ทำงานโดยการไปยับยั้งการทำงานของ valgus nerve ที่หัวใจ ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของ heart rate
การบริหารยา
Atropine 0.6 mg/ml/ampule ให้ IV Bolus: Undiluted or dilute 1-10 ml ฉีด 15–30 วินาที
ผลข้างเคียง
ทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็ว (tachycardia) และในกรณีที่มี acute myocardial infarction อาจทำให้เกิดภาวะ ischemia มากขึ้น ท้องอึด การเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลง
การพยาบาล
ควรระวังการให้ขนาดที่ต่ำกว่า 0.5 mg อาจเกิดการตอบสนองชนิดหัวใจเต้นช้าลงไปอีกได้ (paradoxical bradycardia) เนื่องจากยาในขนาดต่ำมีผลกระตุ้น central หรือ peripheral parasympathetic
ติดตามสัญญาณชีพ monitor EKG อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
ไม่ควรให้ถ้า HR > 60 ครั้ง/นาที
รายงานแพทย์เมื่อ HR > 120 ครั้ง/นาที โดยให้ monitor HR ทุก 5 นาที
ยาขยายหลอดเลือด (Vasodilators)
Sodium Nitroprusside
ขนาดยาที่ใช้และการบริหารยา
การเตรียมยาผสม 50 mg ใน D5W 250 ml เริ่มให้ 0.1 mcg/kg/min ปรับยาขึ้นครั้งละ 10 mcg/min ค่อยๆ เพิ่มขนาดยาโดยไม่ทำให้เกิดความดันโลหิตลดลง เพิ่มทุก 3-15 นาที ขนาดโดยเฉลี่ย 3 mcg/kg/min ขนาดสูงสุด 5-10 mcg/kg/min การลดยาควรทำช้า ๆ เพื่อป้องกันหลอดเลือดหดเกร็งกลับมาอีก
ผลข้างเคียง
หากลดความดันโลหิตเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ เหงื่อออกมาก
เกิดพิษจาก cyanide มักพบในผู้ป่วยที่ได้รับยาในขนาดสูง (10-15 mcg/kg/min) นานมากกว่า 1 ชั่วโมง โดยผู้ป่วยจะมีความรู้สึกตัวลดลงและมีภาวะความเป็นกรดในเลือดสูงขึ้น
การนำไปใช้
ลด afterload ในภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
ใช้ในการลดความดันโลหิตในผู้ป่วย hypertensive emergency
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต ทุก 5 นาทีหลังให้ยา และติดตามทุก 1 ชั่วโมง พิจารณาตามอาการของผู้ป่วย
ป้องกันยาในขวดน้ำเกลือทำปฏิกิริยากับแสงด้วยกระดาษ ผ้า หรือ aluminum foil ให้สังเกตว่าสีของยาจะเปลี่ยนไปหากทำปฏิกิริยากับแสง
กลไกการออกฤทธิ์
ยาขยายหลอดเลือดแดงและดำ โดย free nitroso group (NO) จะไปยับยั้ง excitation-contraction coupling ของผนังหลอดเลือด (vascular smooth muscle)
Nicardipine
ขนาดยาที่ใช้
ยา 1 Amp ขนาด 2mg/2 ml หรือ 10 mg/10 ml
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หน้าแดง
ใจสั่น หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ
การรั่วออกของยาออกนอกเสนเลือด เพราะอาจทำให้หลอดเลือดอักเสบ
การนำไปใช้
ในผู้ป่วยที่มีภาวะ Hypertensive crisis
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและ monitor ECG อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ทุก 0.5 -1 ชั่วโมง
กรณี Emergency ให้ยาทาง IV bolus ติดตามทุก 5 นาที จน BP, HR ได้ระดับที่ต้องการ จากนั้น
ติดตามทุก 15 นาที
กรณีให้ IV drip ติดตามทุก 15 นาที ในชั่วโมงแรก จากนั้น ทุก 1 ชั่วโมงขณะให้ยา
รายงานแพทย์ทันทีถ้า BP < 90/60 mmHg หรือ HR< 60 ครั้ง/นาที หรือ HR > 120 ครั้ง/นาที
กลไกการออกฤทธิ์
เป็นยากลุ่ม Calcium channel blocker ออกฤทธิ์ยับยั้งแคลเซียมเข้าเซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของผนังหลอด
Nitroglycerin (NTG)
การบริหารยา
NTG 1 vial มี 10 ml บรรจุยา 50 mg เจือจางใน 5%D/W หรือ 0.9%NSS โดยผสม Nitroglycerin 500-1000 มก. ใน D5W หรือ NSS 250 ml
ผลข้างเคียง
Hypotension, Tachycardia, Flushing, headache
การนำไปใช้
Acute coronary syndrome, Chest pain (angina pectoris)
Heart failure โดยช่วยในการลด preload
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต ยามีผลทำให้ความดันโลหิตต่ำ
monitor EKG ยาทำให้เกิดหัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia)
กลไกการออกฤทธิ์
ยาขยายหลอดเลือดโดยการหลั่ง nitric oxide (NO) เข้าสู่กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด กระตุ้น guanylate cyclase ใน cytoplasm ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดดำขยายตัวเลือดไหลกลับหัวใจลดลง ลดปริมาณเลือดในห้องหัวใจ (preload ) แรงในการบีบตัวของหัวใจลดลง ช่วยลดความต้องการออกซิเจนของร่างกาย
ยาที่ใช้ในภาวะ Pulseless Arrest
Epinephrine หรือ Adrenaline
การบริหารยา
IV; Undilute (1:1,000) หรือ dilute ให้ได้ 1:10,000 ยา (1 amp: สารน้ำ 10 ml) อัตราตามแผนการรักษา
ผลข้างเคียง
tachycardia, arrhythmias, hypertension
การนำไปใช้
ใช้เป็นยาตัวแรกในการทำ CPR ทั้งในภาวะ systole/PEA และ VF/pulseless VT
ใช้ในภาวะ symptomatic bradycardia ที่ไม่ตอบสนองต่อการให้ atropine
Cardiac arrest
การพยาบาล
ปรับเพิ่ม/ลดขนาดยา เมื่อ BP< 90/60 หรือ >140/90 mmHg หรือ HR>120 ครั้ง/นาที หรือตามแผนการรักษา
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ ทุก 15 นาที ติดต่อกัน 2 ครั้ง เมื่อเริ่มให้ยา
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์กระตุ้น Alpha adrenergic receptor และ beta adrenergic receptor ทำให้หลอดเลือดดำส่วนปลายหดตัว (vasoconstriction) เพิ่มเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ (coronary perfusion) และเพิ่มเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง (cerebral perfusion) เพิ่มความสามารถในการบีบตัวของหัวใจ (positive inotropic effect) และอัตราการเต้นของหัวใจ
Amiodarone (Cordarone®)
กลไกการออกฤทธิ์
เป็น class III antiarrhythmic drugs ใช้รักษาภาวะ tachyarrhythmia ได้หลายชนิด ทั้งที่เป็น supraventricular หรือ ventricular arrhythmia
การนำไปใช้
ยารักษาหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะชนิด Atrial fibrillation และ Atrial flutter
หัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะชนิด Ventricular fibrillation (VF) และ Ventricular tachycardia (VT)
การบริหารยา
Amiodarone injection 150 mg/ 3 mL เจือจางใน D5W เท่านั้น
ผลข้างเคียง
อาจทำให้เกิด vasodilatation และ hypotension ได้
Bradycardia, hypothyroidism, hyperthyroidism, thrombophlebitis
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและ monitor EKG ทุก 15 นาที 3 ครั้ง หลัง loading dose รายงานแพทย์เมื่อ BP < 90/60 mmHg, HR < 60 BPM