Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาพยนตร์สั้น A beautiful mind, อ้างอิง นิตยา ศรีจำนง.…
ภาพยนตร์สั้น A beautiful mind
คำถามที่สงสัย
ความคิดหลงผิดกับจิตเภทแตกต่างกันอย่างไร
ช่วงเวลาวัยเด็กมีส่วนทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคนี้หรือไม่
ครอบครัวมีส่วนช่วยดูแลผู้ป่วยได้อย่างไร
ถ้าผู้ป่วยหาย มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำไหม
คาดดารณ์โรคที่จะเป็น
โรคจิตหลงผิด
การมีความเชื่อ หรือความคิดไม่ตรงกับความเป็นจริง เรียกว่า อาการหลงผิด (delusion) ตั้งแต่ 1 เรื่องนานตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป โดยอาการหลงผิดที่พบบ่อยที่สุดคือ ระแวงว่าตนถูกกลั่นแกล้ง หรือถูกปองร้าย ผูกเรื่องเชื่อมโยงไปในแนวทางเดียวกัน ส่วนใหญ่ไม่พบว่ามีประสาทหลอน เช่น หูแว่ว ผู้ป่วยมักจะยังคงทำหน้าที่ได้ตามปกติ ยกเว้นบางกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความหลงผิด
โรคจิตเภท (Schizophrenia)
เป็นโรคทางจิตที่มีความบกพร่องด้านมนุษยสัมพันธ์ เช่น เงียบเฉยไม่ค่อยสนใจผู้อื่น เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำใหเ้ครียดมากระตุ้นอาจทำให้มีอาการผิดปกติเด่นชัดขึ้นมา มักเริ่มปรากฏเด่นชัดในช่วงวัยที่กำลังเจริญเติบโตหรือวัยรุ่น
สาเหตุ
ปัจจัยด้านพันธุกรรม (Genetic factors) : ได้มีการศึกษาด้านพันธุกรรมของบุคคลที่ป่วยเป็นโรคจิตเภท พบว่า มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
ปัจจัยด้านชีวเคมีของสมอง (Biological factors) : มีการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยจิตเภท มีความสัมพันธ์กับ dopamine ในสมอง โดยมีข้อค้นพบ 3 ประการ คือผู้ป่วยจิตเภท มีปริมาณ dopamine ที่ synapse ในสมองมากเกินไป มีจำนวน post synaptic recepter มากเกินไป มีความไม่สมดุลระหว่าง excitatory action ของ acetycholine กบั inhibitory action ของ dopamine และ
Gamma -amino butyric acid
ปัจจัยด้านจิตใจ (Psychological factors) : จากทฤษฎีจิตวิเคราะห์และทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ พบว่าเป็นความผิดปกติจากพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคลในวัยเด็ก โดยเฉพาะในขวบปีแรก มีผลใหเ้กิดพยาธิสภาพส่วนที่ทำหน้าที่ในการปรับตัว
การควบคุมพฤติกรรม และการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น โดยเฉพาะพัฒนาการด้าน ภาษา สติปัญญาการคิด การจำ การตัดสินใจ ความสนใจ และการรับรู้ผู้ป่วยอาจมีการรับรู้และไวต่อความเครียดมากกว่าปกติ และสามารถตอบสนองต่อความเครียดได้ไม่ดี
ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรม (Sociocultural factors) : จากการศึกษาพบว่า สภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีผลต่อการป่วยเป็นโรคจิตเภท ก็คือประชากรที่มีฐานะยากจนป่วยเป็น โรคจิตเภทมากกว่า ประชากรที่มีฐานะดีประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำต้องเผชิญกับสภาวะเครียดมากกว่า ประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูง
อาการและอาการแสดง
ความผิดปกติของความคิด
เป็นอาการสำคัญที่พบในผู้ป่วยทุกราย มี 2 ชนิด
รูปแบบความคิดผิดปกติ(Disorder of form)
ผู้ป่วยโรคจิตเภท จะมีปัญหาในด้านการคิด ขาดการเชื่อมโยงเหตุผลไม่สามารถลำดับความคิดตาม
ขั้นตอนของเหตุการณ์ ดังนั้น เวลารับฟังผู้ป่วยพูด หรือตอบคำถาม จึงไม่ค่อยเขา้ใจ หรือฟังไม่รู้เรื่อง เพราะคำพูดจะไม่ต่อเนื่องกันเป็นเรื่องราว จะเปลี่ยนจากเรื่องหน่ึ่งไปเป็นอีกเรื่องหน่ึง มักพูด ไม่ตรงจุด อาจพดูซ้า ๆ โดยไม่มีความหมาย
เนื้อหาความคิดผิดปกติ (Disorder of content)
ความผิดปกติของการคิดโดยขาดการเชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นจริงและเหตุผลผู้ป่วยจะมีความคิด
เข้าหาตนเอง (autism) ไม่มองสิ่งแวดล้อมจนในที่สุดมีอาการหลงผิด (delusion)
Delusion of persecution หลงผิดคิดว่าผู้อื่นปองร้าย
Delusion of reference หลงผิดคิดว่าผู้อื่นพูดเรื่องราวเกี่ยวกับตนว่าร้ายนินทา
Delusion ofbeing controlled หลงผิดคิดว่า การกระทำของตนถูกควบคุมโดยอำนาจภายนอก
Delusion of somatic หลงผิดคิดว่าตนเจ็บป่วยทางร่างกาย
Delusion of grandeur หลงผิดคิดว่าตนเป็นใหญ่
Delusion ofnihilistic หลงผิดคิดว่าส่วนใดส่วนหน่ึ่งของร่างกายขาดหายไป
ความผิดปกติของการรับรู้
อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่อาการประสาทหลอน (Hallucination) เป็นการรับรู้โดยที่ไม่มีสิ่งมากระตุ้นจากภายนอก
Auditory hallucination : อาการประสาทหลอนทางการได้ยิน หรือหูแว่ว
Visual hallucination : อาการประสาทหลอนทางการเห็น ภาพหลอน เห็นภาพเป็นคนหรือ
สิ่งของ บางรายเห็นภาพคนจะมาทeร้าย
Gastatory hallucination : อาการประสาทหลอนทางการรับรส รู้สึกรสแปลกๆ
Tactile hallucination : อาการประสาทหลอนทางการสัมผัส
Alfactory hallucination : อาการประสาทหลอนทางการได้กลิ่น รู้สึกกลิ่นแปลกๆ
ความผิดปกติด้านอารมณ์
เป็นอาการสำคัญ แต่การแปลผลค่อนขา้งยาก นอกจากรายที่มีอาการรุนแรงผู้ป่วยโรคจิตเภท
Apathy : ผู้ป่วยจะมีอารมณ์เฉยเมยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ไม่มีปฏิกิริยาโตต้อบต่อการ
เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
Appropriate mood : แสดงอารมณ์ไม่สอดคล้อง หรรือเหมาะสมกับความคิดหรือเหตุการณ์ขณะนั้น
ความผิดปกติของพฤติกรรมการเคลื่อนไหว
Steriotypy : เป็นการกระทำซ้ำๆเกิดขึ้นเองเรื่อยๆและสม่าเสมอ
Catalepsy : ผู้ป่วยอยู้ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ
Waxy flexibility : จับให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งก็จะคงอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานาน
Stupor : ผู้ป่วยไม่มีการเคลื่อนไหว
Mutism : ผู้ป่วยไม่พูด
การรักษา
Psychotherapy, Individual, Group, Behavioral, Supportive, Family Therapy อาจเลือกใช้ตาม
ความเหมาะสม
Milieu Therapy เน้นที่การจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ลดภาวะเครียด พัฒนาความสามารถในการปรับตัวรายบุคคล
การรักษาด้วยยา เช่น ยา Antipsychotic drugs, Antiparkinson agents อาจต้องเตรียมไว้เพื่อลด
อาการ extra pyramidal side effect ของยา
Somatic or Electroconvulsive Therapy
ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้าอย่างมากร่วมด้วย บางรายมีอารมณ์เศร้ารุนแรงและคิดฆ่าตวัตาย
Severe Schizophrenia ผู้ป่วยรายที่ใช้ยาไม่ได้ผล ภายหลังทำ 2-3 ครั้งโดยใหยาจิตบำบัดร่วมไปด้วย
ผู้ป่วยที่มีอาการคลุ้มคลั่งมากไม่สามารถควบคุมด้วยยา ทำสัปดาห์ละ3 ครั้ง ทำ 6-12 สัปดาห์ต่อการรักษาครั้งหนึ่ง
แนวทางการพยาบาล
การวางแผนการพยาบาลควรกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น เป้าเหมายระยะสั้นสำหรับ
ผู้ป่วยที่มีอาการระยะวิกฤต และอาการไม่รุนแรงมากเป้าเหมายระยะยาว สำหรับผู้ป่วยที่พร้อมจะกลับบ้าน
เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยและผู้อื่นเนื่องจากมีความคิดหลงผิด
ประเมินความคิดของผู้ป่วยว่ามีผลอย่างไรต่อพฤติกรรมและการกระทำของผู้ป่วย
ยอมรับในความคิดหลงผิดของผู้ป่วยโดยพยาบาลไม่ควรโต้แย้ง หรือท้าทายว่า ที่ผู้ป่วยเล่าให้ฟังนั้นไม่จริง และพยาบาลไม่ต้องปฏิบัติตามที่ผู้ป่วยเชื่อ
ให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ป่วยได้พูดถึงความคิดของเขาได้อย่างอิสระ
สนทนากับผู้ป่วยต้องแนะนำตัวและบอกวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
ปฏิบัติต่อผู้ป่วยต้องคงเส้นคงวาเมื่อมีข้อตกลงต่อกันแล้วจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลง
เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยและผู้อื่นเนื่องจากมีอาการประสาทหลอน
ประเมินอาการประสาทหลอนที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยว่า เกี่ยวข้องกับระบบรับสัมผัสใด ผู้ป่วยแสดงปฏิกิริอย่างไรต่อการรับรู้นั้นๆ
หลีกเลี่ยงการเข้าไปจับต้องตัวผู้ป่วยก่อนผู้ป่วยจะรู้ตัวเพราะผู้ป่วยมีแนวโนม้จะตีความหรือรับรู้ผิด
ไม่ส่งเสริมและลดโอกาสในการเกิดอาการประสาทหลอนต่างๆ โดยการสนทนากับผู้ป่วย
ด้วยถ้อยคำที่ชัดเจนเรียกชื่อผู้ป่วยให้ถูกต้อง
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยพูดถึงอาการประสาทหลอน และหาวิธีที่จะให้ผู้ป่วยเผชิญอาการประสาทหลอนของเขาอย่างเหมาะสม
ความบกพร่องในการสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจความต้องการของตนเนื่องจากมีพฤติกรรมแยกตัวจากผู้อื่น
ประเมินลักษณะการสื่อสารของผู้ป่วยว่ามีความบกพร่องอย่างไร
สร้างสัมพันธภาพแบบ one to one เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย และไว้วางใจ จัดเวลาเข้าไปพบและพูดคุยกับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอถึงแม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ป่วยพูด
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เป็นตัวของตัวเอง โดยกระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมกับสมาชิกอื่นที่ผู้ป่วยพอใจ
พรบสุขภาพจิตปี 2551
มาตรา ๑๗
การบําบัดรักษาโดยการผูกมัดร่างกาย การกักบริเวณ หรือแยกผู้ป่วยจะกระทํา
ไม่ได้ เว้นแต่เป็นความจำเป็นเพื่อป้องกันอันตรายต่อตัวผู้ป่วยเอง บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของผู้บำบัดรักษาตามมาตราฐานวิชาชีพ
มาตรา ๑๘
การรักษาทางจิตเวชด้วยไฟฟ้า การกระทำต่อสมองหรือระบบประสาท ที่อาจเป็นผลทำให้ร่างกายไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างถาวรในกรณีดังต่อไปนี้ กรณีให้ผู้ป่วยยินยอมเป็นหนังสือยินยอมเพื่อการบำบัดรักษา โดยให้ผู้ป่วยทราบเหตุผลจำเป็น และกรณีฉุกเฉินหรือมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
มาตรา ๒๑
การบำบัดรักษาจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยได้รับการอธิบายเหตุผลความจำเป็นในการรักษาบำบัด รายละเอียดและประโยชน์ของการรักษา
มาตรา ๒๒
บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตใจ ดังต่อไปนี้ต้องได้รับการรักษา มีภาวะอันตราย มีความจำเป็นในการรักษา
อ้างอิง
นิตยา ศรีจำนง.
การพยาบาลผู้ที่มีความผิดปกติทางด้านความคิดและการรับรู้
.สืบค้นจาก
http://www.elnurse.ssru.ac.th/nitaya
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.(2560)
โรคจิตหลงผิด คิดไปเอง ต้องพบแพทย์
.สืบค้นจาก
https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/home/article
กรมสุขภาพจิต. (2551).
พระราชบัญญัติ กรมสุขภาพจิต
. สืบค้นจาก
https://sp.mahidol.ac.th/pdf/law/mental-health-51.pdf
นางสาวณิชากร บุญวรรณ ห้อง 2A เลขที่ 26 รหัสนักศึกษา 613601027