Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 9 การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพ -…
บทที่ 9 การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพ
การบาดเจ็บจากการคลอด (Birth Injury)
ความหมาย
การบาดเจ็บที่เกิดกับทารกระหว่างคลอดจากแรงที่
กระทำกับทารกโดยตรง และไม่เกี่ยวกับโรคที่มารดาเป็นระหว่างการตั้งครรภ์
สาเหตุ
. ปัจจัยเสี่ยงจากมารดา
ความผิดปกติที่มีมาก่อนการตั้งครรภ์ เช่น มารดามีภาวะเบาหวาน เชิงกรานแคบไม่ได้สัดส่วนกับทารก (cephalopelvic disproportion: CPD)
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์ เช่น ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ รกลอกตัวก่อนกำหนด ภาวะน้ำคร่ำน้อย
ระยะเวลาของการคลอด เช่น การคลอดเฉียบพลัน
ปัจจัยเสี่ยงจากทารก
ทารกมีส่วนนำผิดปกติ เช่น หน้า ไหล่ ก้น
ทารกมีขนาดตัวโตมากทำให้เกิดการคลอดยาก
อายุครรภ์ของทารกไม่ครบกำหนด หรือเกินกำหนด
การคลอดไหล่ยาก
ทารกมีความพิการแต่กำเนิด
ปัจจัยเสี่ยงจากการคลอด
การคลอดด้วยคีม หรือเครื่องดูดสุญญากาศ
การใช้แรงดึงมากเกินไปในการช่วยคลอดทารก
ปัจจัยเสี่ยงจากผู้ทำคลอด
ขาดความชำนาญหรือขาดการเอาใจใส่อย่างเพียงพอ
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
การบาดเจ็บที่ศีรษะทารก (Skull injuries)
ภาวะก้อนบวมน้ำใต้หนังศีรษะ
เกิดจากการคั่งของของเหลวในระหว่างชั้นของหนังศีรษะกับชั้นเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะก้อนบวมโนนี้จะข้ามรอยต่อ(suture) ของกระดูกกะโหลกศีรษะ มีขอบเขตไม่แน่นอน
สาเหตุ
กแรงดันที่กดลงบนศีรษะทารกระหว่างการคลอดท่าศีรษะ ทำให้มีของเหลวไหลซึมออกมานอกหลอดเลือดในชั้นใต้เยื่อหุ้มหนังศีรษะ
การใช้เครื่องดูดสุญญากาศช่วยคลอด
(vacuum extraction)
การวินิจฉัย
คลำศีรษะทารก จะพบก้อนบวมโน มีลักษณะนุ่ม กดบุ๋ม ขอบเขตไม่ชัดเจนข้ามแนวรอยต่อของกระดูกกะโหลกศีรษะและพบทันทีภายหลังคลอด
อาการและอาการแสดง
สังเกตพบได้ด้านข้างของศีรษะ ลักษณะการบวมของก้อนโนนี้จะมี
ความกว้างและมีขนาดโตประมาณไข่ห่าน ทำให้ศีรษะมีความยาวมากกว่าปกติ
แนวทางการรักษา
จะหายไปได้เองภายหลังคลอด
ประมาณ 2 -3 วันหลังคลอด
ถ้าเกิดจากการคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศจะหายได้ช้ากว่าเกิดจากการคลอดปกต
การประเมินสภาพ
การซักประวัติ
มารดามีประวัติคลอดยาก เบ่งคลอดนานหรือเบ่งคลอดก่อนปากมดลูก
เปิดหมด มีประวัติการได้รับการช่วยคลอดโดยเครื่องดูดสุญญากาศ
การตรวจร่างกาย
ประเมินลักษณะก้อนบวมน้ำที่ใต้ศีรษะทารก
บทบาทการพยาบาล
สังเกตลักษณะ ขนาด การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ของก้อนบวมโนที่ศีรษะ
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทของทารก
อธิบายให้มารดาและบิดาเข้าใจถึงอาการที่เกิดขึ้นเพื่อคลายความวิตกกังวล
บันทึกอาการและการพยาบาล
ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ
หรือบางทีเรียกว่าก้อนโนเลือดที่ศีรษะ เป็นการคั่งของเลือดบริเวณใต้เยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ มีขอบเขตชัดเจน
สาเหตุ
มารดามีระยะเวลาการคลอดยาวนาน ศีรษะทารกถูกกดจากช่องทางคลอดหรือการใช้เครื่องดูดสูญญากาศช่วยคลอดเป็นผลทำให้หลอดเลือดฝอยบริเวณเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะของทารกฉีกขาด เลือดจึงซึมออกมานอกหลอดเลือดใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อน
ในรายที่มีอาการรุนแรง ก้อนโนเลือดมีขนาดใหญ่ จะเกิดภาวะระดับบิลลิรูบินในเลือดสูง ภายหลังเกิดหรืออาจเกิดการติดเชื้อจากการดูดเลือดออกจากก้อนโนเลือดในกรณีมีแผนการรักษา
การวินิจฉัย
จากการซักประวัติการเบ่งคลอดนานหรือการช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ
จากการตรวจร่างกายทารกพบบริเวณศีรษะมีก้อนบวมโนบนกระดูกกะโหลกศีรษะชิ้นใดชิ้นหนึ่ง มีลักษณะแข็งหรือค่อนข้างตึง คลำขอบเขตได้ชัดเจน เมื่อใช้นิ้วกดจะไม่เป็นรอยบุ๋ม
อาการและอาการแสดง
จะปรากฏให้เห็นชัดเจนหลัง 24ชั่วโมงไปแล้ว เนื่องจากเลือดจะค่อย ๆ ซึมออกมานอกหลอดเลือด ลักษณะการบวมจะมีขอบเขตชัดเจนบนบริเวณกระดูกกะโหลกศีรษะชิ้นใดชิ้นหนึ่งในรายที่เป็นรุนแรงอาจพบอาการแสดงทันทีหลังเกิดและพบว่าก้อนโนเลือดมีสีผิดปกติ คือ เป็นสีดำหรือน้ำเงินคล้ำ เนื่องจากการแข็งตัวของเลือด และอาจพบว่าทารกมีภาวะซีดได้จากการสูญเสียเลือดมาก
แนวทางการรักษา
ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก้อนโนเลือดจะค่อยๆหายไปเองได้ แต่อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน
แต่ถ้ามีภาวะตัวเหลืองร่วมด้วยและมีระดับบิลลิรูบินในเลือดสูงจำเป็นต้องได้รับการส่องไฟ
ในรายที่ก้อนเลือดขนาดใหญ่อาจรักษาโดยการดูดเลือดออก
การประเมินสภาพ
การซักประวัติ
มารดาเบ่งคลอดนานหรือเบ่งคลอดก่อนปากมดลูกเปิดหมด มีประวัติการได้รับการช่วยคลอดโดยเครื่องดูดสุญญากาศ
การตรวจร่างกาย
ประเมินลักษณะก้อนโนเลือดที่กระดูกชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ภายหลังเกิดหลาย
ชั่วโมงอาจพบก้อนโตขึ้น ต่อมาอาจพบภาวะตัวและตาเหลืองร่วมด้วย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ทารกได้รับกรณีมีแผนการรักษา เช่น ระดับความเข้มข้นของเลือด การตรวจหาระดับบิลลิรูบิน
บทบาทการพยาบาล
สังเกต ลักษณะ ขนาด และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เกี่ยวกับภาวะเลือดออกในสมอง
ให้ทารกนอนตะแคงด้านตรงข้ามกับก้อนโนเลือด เพื่อป้องกันการกดทับที่จะกระตุ้นให้เลือดออกมากขึ้น
สังเกตอาการซีด การเจาะหาค่า Hct และดูแลให้เลือดตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลเกี่ยวกับการหาค่า microbilirubin ถ้ามีภาวะตัวเหลือง ให้การพยาบาลทารกที่ได้รับการส่องไฟตามแผนการรักษาของแพทย์
อธิบายมารดาและบิดาให้เข้าใจถึงอาการที่เกิดขึ้นของทารกเพื่อลดความวิตกกังวล และแนะนำไม่ใช้ใช้ยาทา ยานวด ประคบหรือเจาะเอาเลือดออกเอง
ภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะi(ntracranial hemorrhage)
เป็นภาวะที่เลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ อาจเกิดขึ้นที่ตำแหน่งเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นดูรา (epidural)ใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นดูรา (subdural)ใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นอะแรคนอยด์(subarachnoid)ภายในเนื้อสมอง (intracerebral)ใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นอีเพนไดมัล (subependymal) ภายในห้องสมอง (intraventricular)
สาเหตุ
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ภาวะขาดออกซิเจนเป็นเวลานานในขณะคลอดหรือเกิดภายหลังคลอด
การได้รับอันตรายรุนแรงจาการคลอด
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดออกกดศูนย์หายใจทำให้ทารกหายใจลำบาก
ทารกอาจเกิดปัญญาอ่อน (mental retardation)
การวินิจฉัย
จากประวัติการคลอด เช่น เชิงกรานแม่เล็กกว่าปกติ ทารกอยู่ในท่าท้ายทอยหันหลัง ท่าหน้า หรือท่าก้น ภาวะ CPD การช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศหรือคีมช่วยคลอด ระยะการคลอดยาวนาน การคลอดเร็ว (precipitate labor)
อาการและอาการแสดง
Reflex ลดน้อยลงหรือไม่มี โดยเฉพาะ moro reflex จะเสียไป
กำลังกล้ามเนื้อไม่ดี มีอาการอ่อนแรง
มีภาวะซีด หรือมีอาการเขียว (cyanosis)
ซึม ไม่ร้อง
ดูดนมไม่ดี หรือไม่ยอมดูดนม
ร้องเสียงแหลม
การหายใจผิดปกติ มีหายใจเร็ว ตื้น ช้า ไม่สม่ำเสมอ หรือหยุดหายใจ
กระหม่อมโป่งตึง
ชัก
แนวทางการรักษา
ถ้ามีความดันในกะโหลกศีรษะสูง อาจได้รับการรักษาโดยเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อบรรเทาอาการความดันในสมอง
ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายทารกถ้าตัวเย็น
ดูแลให้ได้รับยาระงับการชัก และให้วิตามินเค
ดูแลให้ออกซิเจนถ้าทารกมีภาวะพร่องออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับนมและน้ำอย่างเพียงพอ
การประเมินสภาพ
การซักประวัติการคลอด
การตรวจร่างกายเพื่อค้นหาอาการผิดปกติ
การฉายภาพรังสีเพื่อดูบริเวณและขอบเขตที่เลือดออก
บทบาทการพยาบาล
ดูแลให้ทารกหายใจสะดวกและได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
กรณีที่ให้ออกซิเจน ควรสำรวจปริมาณออกซิเจนที่ทารกได้รับความไม่ควรเกิน 40% หรือตามแผนการรักษา
ดูแลให้ได้รับนมและน้ำที่เพียงพอ
ให้ทารกอยู่ในตู้อบ (incubator) ที่มีการควบคุมอุณหภูมิตู้ไว้เพื่อให้อุณหภูมิของร่างกายคงที่
เตรียมเครื่องมือในการให้ความช่วยเหลือทารกไว้ให้พร้อม ได้แก่ เครื่องดูดเสมหะ ลูกยางแดง ออกซิเจน laryngoscope endotracheal tube และเครื่องช่วยหายใจ
ตรวจสอบสัญญาณชีพ และบันทึกไว้ทุก 2- 4 ชั่วโมง
ดูแลให้ทารกได้พักผ่อน รบกวนทารกให้น้อยที่สุด พลิกตะแคงตัวทารกได้แต่ไม่บ่อยครั้งควรทำหลังจากให้นมไปแล้ว และต้องทำด้วยความระมัดระวัง
ดูแลฉีดวิตามินเค จำนวน 1 มิลลิกรัม เข้ากล้ามเนื้อเพื่อป้องกันเลือดที่จะออกเพิ่ม
ประคับประคองจิตใจมารดาและบิดาเพื่อลดความวิตกกังวล
การบาดเจ็บของกระดูก (Bone injuries)
กระดูกต้นแขนหัก
สาเหตุ
การคลอดท่าก้น ผู้ทำคลอดดึงทารกออกมา แขนเหยียดหรือการคลอดท่าศีรษะที่ไหล่คลอดยาก
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าทารกจะไม่งอแขน เมื่อจับแขนขยับทารกจะร้องไห้เนื่องจากรู้สึกเจ็บ
อาการและอาการแสดง
ในรายที่มีกระดูกหักสมบูรณ์ (complete) อาจได้ยินเสียงกระดูกหัก
ขณะคลอด แขนข้างที่หักจะมีอาการบวมและทารกไม่เคลื่อนไหวแขนข้างที่หักเนื่องจากรู้สึกเจ็บ
แนวทางการรักษา
ถ้าอาการไม่รุนแรงเป็นเพียงกระดูกแขนเดาะ จะรักษาโดยการตรึงแขนให้แนบกับลำตัวเพื่อไม่ให้แขนเคลื่อนไหว 1-2 สัปดาห์
แต่ถ้าหากกระดูกแขนหักสมบูรณ์ จะรักษาโดยการจับแขนตรึงกับผนังทรวงอก ศอกงอ 90 องศา แขนส่วนล่างและมือทาบขวางลำตัวใช้ผ้าพันรอบแขนและลำตัวหรือใส่เฝือกอ่อนจากหัวไหล่ถึงสันหมัด
กระดูกต้นขาหัก
สาเหตุ
การคลอดท่าก้น ผู้ทำคลอดดึงขาทารกขณะที่ติดอยู่ที่ทางเข้าเชิงกราน (pelvic inlet)
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าทารกไม่ยกขา และสังเกตว่าทารกจะไม่เคลื่อนไหวขาข้างที่หัก
อาการและอาการแสดง
อาจได้ยินเสียงกระดูกหักขณะทารกคลอด
อาจไม่ทราบว่ากระดูกหักจนเวลาผ่านไปหลายวันจะพบว่าขาทารกมีอาการบวมเนื่องจากเลือดเข้าไปในกล้ามเนื้อใกล้เคียงบริเวณที่หัก
เมื่อจับทารกเคลื่อนไหวหรือถูกบริเวณที่กระดูกต้นขาหักทารกจะร้องไห้เพราะรู้สึกเจ็บ
แนวทางการรักษา
ถ้ากระดูกไม่หักแยกจากกัน (incomplete) รักษาโดยการใส่เฝือกขายาว ประมาณ 3 -4สัปดาห์
ถ้ากระดูกหักแยกจากกัน (complete) รักษาโดยการห้อยขาทั้งสองข้างไว้กับราวที่ขวางปลายเตียง ขาเหยียดตรง ให้ก้นและสะโพกลอยจากพื้นเตียง ดึงขาไว้นาน 2-3 สัปดาห์
กระดูกไหปลาร้าหัก
สาเหตุ
การคลอดทารกท่าศีรษะที่ไหล่คลอดยาก ทารกตัวโตหรือคลอดท่าก้นที่แขนเหยียดซึ่งผู้ทำคลอดดึงแขนออกมา
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าแขนทั้งสองข้างของทารกเคลื่อนไหวไม่เท่ากัน โดยทารกจะยกแขนข้างที่ดีได้เท่านั้น หรือในกรณีที่กระดูกเดาะทารกอาจยกแขนได้ก็ได้
แต่ถ้าคลำตรงบริเวณที่หักอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบ
อาการและอาการแสดง
ทารกเคลื่อนไหวแขนข้างที่กระดูกไหปลาร้าหักน้อยหรือไม่เคลื่อนไหวเลย
ทารกจะมีอาการหงุดหงิดหรือร้องไห้เมื่อสัมผัสบริเวณที่กระดูกหัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจับใต้แขนยกตัวทารกขึ้น
อาจพบว่ามีอาการบวมห้อเลือด (ecchymosis) ตรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
ปมประสาทใต้ไหปลาร้า (brachial plexus) ของทารกอาจได้รับอันตรายร่วมด้วย
บางรายหลังจากจำหน่ายทารกกลับบ้านไปแล้วหลายสัปดาห์ พบว่าอาจมีก้อนนูนที่ไหปลาร้าหรือคลำได้ก้อนแข็ง ซึ่งแสดงถึงการมีกระดูกเกิดขึ้นใหม่แทนที่กระดูกที่หัก
แนวทางการรักษา
ส่วนใหญ่หายได้เองค่อนข้างเร็ว มักเกิดกระดูกงอกใหม่ภายใน 1 สัปดาห์
รักษาโดยให้แขนและไหล่ด้านที่กระดูกไหลปลาร้าหักอยู่นิ่ง ๆ โดยการกลัดแขนเสื้อติดกับตัวเสื้อประมาณ 10 – 14 วัน
บทบาทการพยาบาลทารกที่มีอาการบาดเจ็บของกระดูก
ดูแลไม่ให้กระดูกส่วนที่หักเคลื่อนไหว และจัดให้บริเวณที่หักอยู่ในท่าที่ถูกต้องตามแผนการรักษา
จัดกิจกรรมการพยาบาลไม่ให้เคลื่อนไหวร่างกายทารกบ่อย ๆ เพื่อให้ส่วนที่เจ็บอยู่นิ่งส่งเสริมการหายและบรรเทาความเจ็บปวด
ดูแลให้ได้รับความสุขสบาย และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเพิ่ม
ดูแลให้ทารกได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ การที่ทารกถูกตรึงร่างกายไว้ตามแผนการรักษา ทำให้การให้นมจากอกมารดาอาจไม่สะดวก สามารถให้นมทารกได้โดย
ดูแลความสุขสบายจากการขับถ่าย ป้องกันการระคายเคืองจากอุจจาระและปัสสาวะ
ดูแลให้ความอบอุ่นทางด้านจิตใจแก่ทารก
ดูแลบรรเทาความวิตกกังวลของมารดาและบิดา
การบาดเจ็บของเส้นประสาท
การบาดเจ็บของเส้นประสาทที่มาเลี้ยงใบหน้า (facial nerve injury)
สาเหตุ
การคลอดยาก
การใช้คีมช่วยคลอดทำให้กดเยื่อประสาทสมองคู่ที่ 7
การตรวจร่างกาย
จากการสังเกตสีหน้าของทารกเวลานอน เวลาร้องไห้หรือแสดงสีหน้าท่าทาง
อาการและอาหารแสดง
มีอาการอัมพาตชั่วคราวของกล้ามเนื้อใบหน้า โดยทั่วไปมักเป็นด้าน
เดียวทำให้ใบหน้าด้านที่เป็นไม่มีการเคลื่อนไหว ทารกจะลืมตาได้เพียงครึ่งเดียว ตาปิดไม่สนิท บางรายอาจมีอันตรายเฉพาะแขนงประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนล่างของใบหน้า ปากข้างที่เป็นจะถูกดึงลงมาทำให้มุมิมฝีปากล่างตก ไม่มีรอยย่นที่หน้าฝาก เมื่อจับใบหน้าให้ตรง รูปหน้าทั้ง 2 ด้านจะไม่เท่ากัน เห็นได้ชัดเจน
ที่สุดเมื่อทารกร้องไห้ กล้ามเนื้อด้านที่เป็นอัมพาตจะไม่เคลื่อนไหว ทำให้หน้าเบี้ยวไปข้างที่ดี
แนวทางการรักษา
ถ้าประสาทที่เลี้ยงใบหน้าเพียงถูกกดอาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน ถึงสัปดาห์ แต่ถ้าเส้นประสาทขาดต้องได้รับการทำศัลยกรรมซ่อมประสาท
การพยาบาล
ดูแลไม่ให้ดวงตาของทารกได้รับอันตราย
.ดูแลให้ทารกได้รับอาหารเหมาะสมตามความต้องการของทารก เนื่องจากทารกไม่สามารถได้ริมฝีปากอมหัวนมมารดาได้กระชับเช่นทารกปกติ
ดูแลให้ทารกได้รับการตอบสนองด้านจิตใจ
.ดูแลบรรเทาความวิตกกังวลของมารดาและบิดา
การบาดเจ็บของเส้นประสาท Brachial
สาเหตุ
เกิดจากข่ายประสาท Brachial ถูกดึงหรือกด จะพบในทารกที่คลอดโดยมีส่วนนำเป็นก้นหรือคลอดยากบริเวณแขนหรือไหล่จากการที่ดึงไหล่ออกไปจากศีรษะในระหว่างการคลอดจำแนกอันตราย
เป็น 2 ส่วน คือ อันตรายต่อส่วนบน (C5-C6) และอันตรายต่อส่วนล่าง (C7-C8และ T1)
อาการและอาหารแสดง
กล้ามเนื้อแขนข้างที่เป็นจะอ่อนแรง วางแนบลำตัว ศอกเหยียด แขนช่วงล่างหมุนเข้าด้าน
ใน มือคว่ำ ทารกไม่สามารถวางแขนเหยียดออกจากไหล่หรือหมุนแขนออกด้านนอกและหงายแขนส่วนล่างได้ กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่เคลื่อนไหวมือและนิ้วยังดี ทารกจึงสามารถขยับข้อมือ และมือได้ตามปกติ กำนิ้วมือได้
เรียกว่า Erb Duchenne Paralysis ส่วนอันตรายที่เกิดกับเส้นประสาทจากกระดูกสันหลังตอนคอท่อนที่ 7-8 และเส้นประสาทที่มาเลี้ยงทรวงอกคู่ที่ 1 ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อแขนส่วนปลายและข้อมือทำหน้าที่เสียไป ข้อมือ
ตก นิ้วคลายกำมือไม่ได้ เรียกว่า Klumpke’ s paralysis
การตรวจร่างกาย
ในรายที่เป็น Erb Duchen Paralysis ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex)พบว่า แขนข้างที่เป็นยกขึ้นไม่ได้หรือยกได้น้อยการเคลื่อนไหวและการงอของแขนลดลง การตอบสนองต่อการกำมือ (grasp reflex) ปกติ่วนในรายที่เป็น Klumpke’ s paralysis ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่า ไหล่และแขนส่วนบนเหยียดกางออกเป็นปกติแต่ข้อมือ นิ้วมือตกไม่มีแรง ทดสอบการ ตอบสนองต่อการกำมือจะไม่ตอบสนองต่อการกำมือ
แนวทางการรักษา
ให้แขนไม่เคลื่อนไหว ในท่ากางหมุนแขนออก ข้อศอกตั้งฉากกับลำตัว
ทำกายภาพบำบัด
ถ้าไม่หายอาจต้องทำศัลยกรรมซ่อมประสาท
การพยาบาล
ดูแลให้ส่วนที่ได้รับอันตรายไม่เคลื่อนไหว โดยจัดแขนให้อยู่ในท่าตามแผนการรักษา ในท่าที่ ผ่อนคลายที่สุด และให้มืออยู่ในท่าหงาย
ดูแลให้แขนที่ได้รับอันตรายได้ออกกำลัง หลังจากการรักษาพยาบาลในช่วงแรกดีขึ้นและส่งกายภาพบำบัด ซึ่งพยาบาลจะมีส่วนร่วมในการฟื้นฟู
ดูแลความสุขสบายและการผ่อนคลายให้ทารกที่ต้องตรึงแขน
ดูแลตอบสนองความต้องการทั้งด้านร่างกายและจิตใจจากการที่ทารกถูกจำกัดการเคลื่อนไหว พยาบาลจึงควรเพิ่มความรัก แตะต้องสัมผัสมากกว่าทารกปกติ
ช่วยให้มารดาและบิดามั่นใจในการดูแลทารก
ทารกน้ำหนักตัวผิดปกติ ความผิดปกติเกี่ยวกับอายุครรภ์ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
ทารกคลอดก่อนกำหนด (Preterm baby) และน้ำหนักตัวน้อย (Low birth weight infant)
ทารกที่เกิดเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์เต็มหรือน้อยกว่า 259 วัน และมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม
ผลกระทบของภาวะคลอดก่อนกำหนดต่อทารก
ระบบทางเดินหายใจ
ทารกหายใจลำบาก (respiratory distress syndrome; RDS)
โรคปอดเรื้อรังในเด็ก (bronchopulmonary dysplasia)
ภาวะปอดมีลมรั่ว(pneumothorax)
. ระบบประสาท
ภาวะอุณหภูมิกายต่ำหรือสูงเกินไป (hypothermia and
hyperthermia)
ภาวะพิษของออกซิเจนต่อตาในทารกคลอดก่อนกำหนด (retinopathy of prematurity; ROP)
ภาวะเลือดออกในโพรงสมอง (intraventricular hemorrhage; IVH)
ระบบหัวใจและระบบเลือด
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดหลอดเลือดที่เชื่อม
ระหว่างหลอดเลือดดำเข้าสู่ปอดและหลอดเลือดแดงออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย (patent ductus arteriosus; PDA)
ภาวะบิลิรูบินในกระแสเลือดสูง (hyperbilirubinemia)
ระบบทางเดินอาหารและภาวะโภชนาการ
ภาวะลำไส้ขาดเลือดมาเลี้ยง
(necrotizing enterocolitis; NEC)
ภาวะขาดสารอาหาร (malnutrition)
ระบบภูมิต้านทาน
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis)
ระบบเมตาบอลิซึมและต่อมไร้ท่อ
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia)
ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (hypocalcemia)
ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยผิดปกติแต่กำเนิด
(congenital hypothyroidism / cretinism)
บทบาทการพยาบาลทารกแรกเกิดคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักน้อย
1.ดูแลควบคุมอุณหภูมิร่างกายโดยการห่อตัวและให้อยู่ใต้ radiant warmer 36.5-37 องศาเซลเซียส
2.ดูแลทางเดินหายใจ โดยทำทางเดินหายใจให้โล่ง จัดให้นอนตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งหรือนอนศีรษะสูง
3.ดูแลให้ได้รับนมมารดาหรือนมผสมตามแผนการรักษาที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
4.ดูแลและแนะนำมารดาบิดาในการป้องกันการติดเชื้อ เนื่องจากทารกมีภูมิคุ้มกันยังทำงานไม่สมบูรณ์ โดยดูแลทำความสะอาดร่างกาย ทำความสะอาดสะดือ ป้ายตาด้วยยาปฏิชีวนะ
5.ดูแลให้วิตามินเค 1 มิลลิกรัมฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพื่อป้องกันภาวะเลือดออกง่าย
ทารกแรกเกิดน้ำหนักมากกว่าอายุครรภ์ (Large for gestational age)
ทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า percentile ที่ 90 หรือมากกว่า 4,000 กรัมในทารกคลอดครบกำหนด
สาเหตุ
มักพบในมารดาที่มีระดับน้ำตาลในเลือดที่มีระดับสูงจากภาวะเบาหวาน โดยกลูโคสจะผ่านรกมาสู่ทารกในครรภ์ ทำให้ทารกมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้น จะเกิดภาวะอินซูลินในเลือดมากเกิน (Hyperinsulinemia) และมีผลให้มีการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไกลโคเจนเพิ่มขึ้น มีการสะสมไขมันตามอวัยวะต่างๆ ทารกจึงมีน้ำหนักมากกว่าปกต
ผลกระทบต่อทารก
คลอดยาก เนื่องจากตัวใหญ่ ทำให้เกิดอัมพาตของแขน (Brachial paralysis) กระดูกกะโหลกศีรษะแตกจากแรงกด อัมพาตของกล้ามเนื้อหน้า สมองได้รับบาดเจ็บจากการขาดออกซิเจน กระดูกหัก เช่นกระดูกไหปลาร้าหัก กระดูกต้นขาหัก
น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ภายหลังคลอด
ภาวะบิลิรูบินในเลือดสูง (Hyperbilirubinemia)
ภาวะเลือดข้น (Polycythemia)
ภาวะแคลเซียม แมกนีเซียมในเลือดต่ำ
ความพิการแต่กำเนิด ส่วนใหญ่เป็นความพิการของหัวใจ เช่น หลอดเลือดใหญ่ที่หัวใจอยู่สลับที่กัน
ผนังกั้นหัวใจห้องล่างมีรูรั่ว หลอดเลือดแดงใหญ่ตีบตัน
ทารกคลอดเกินกำหนด (Postterm baby)
ทารกที่เกิดเมื่ออายุครรภ์มากกว่า 42 สัปดาห์
บทบาทการพยาบาลทารกแรกเกิดที่คลอดเกินกำหนด
ในระยะรอคลอดให้ติดตามผลการตรวจ EFM ทุก 1-2 ชั่วโมง
ในระยะคลอด ดูแลป้องกันการได้รับบาดเจ็บจากการคลอด เนื่องจากทารกมีขนาดตัวใหญ่อาจเกิดการคลอดติดไหล่ได้
ในระยะหลังคลอด ดูแลดูดสิ่งคัดหลั่งจากปากและจมูก เพื่อป้องกันการสูดสำลักขี้เทาในน้ำคร่ำ
ทารกที่มี APGAR score ปกติให้ดูแลเหมือนทารกแรกเกิดทั่วไป แต่ทารกที่มี APGARscore ต่ำกว่าปกติให้ดูแลให้เหมาะสมตามระดับของภาวะพร่องออกซิเจนแรกคลอด
ทารกแรกเกิดติดเชื้อ
โรคซิฟิลิส (Syphilis)
เกิดจากเชื้อ Treponema pallidum
congenital syphilis
น้ำหนักตัวน้อย (small for gestational age)ศีรษะเป็นรูปสี่เหลี่ยม หน้าผากโหนก ดั้งจมูกแบน (syphilitic face)จมูกบี้ ฟันมีรอยหยัก ตาอักเสบ ตับโต ม้ามโต ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วตัว ซีด ผิวหนังที่ฝ่ามือฝ่าเท้าอักเสบและลอกเป็นขุย
ภาวะ Hydrop fetalis
บวมทั่วตัว ซีด ตับม้ามโตหายใจลำบากหรือไม่หายใจหลังคลอด มีน้ำในช่องท้องและปอดโดยรกจะหนา น้ำหนักรกมากกว่าปกติ
แนวทางการรักษา
ทารกที่คลอดจากมารดาที่เป็นโรคซิฟิลิส พยาบาลจะต้องสังเกตภาวะ congenital syphilis และส่ง cord blood for VDRL ติดตามผลเลือด
แยกทารกออกจากทารกคนอื่น ๆ
ดูแลให้ยาตามแผนการรักษา
โรคหัดเยอรมัน (Rubella)
เกิดจากเชื้อ rubella virus
ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับเชื้อหัดเยอรมันในช่วง 4 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ แม้จะมีผื่นหรือไม่มีผื่นขึ้นก็ตามเชื้อจะเข้าไปยับยังการแบ่งตัวของ cellทารกในครรภ์ และทำให้โครโมโซมของทารกแตก ทำให้ทารกแท้ง ตายคลอด หรือพิการแต่กำเนิดได้
ภาวะทารกพิการแต่กำเนิดจากการติดเชื้อหัดเยอรมัน (congenital rubella syndrome:CRS)
แนวทางการรักษา
ทารกแรกเกิดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมันในระยะตั้งครรภ์ แม้ไม่มีอาการแสดงใด ๆ ควรได้รับการแยกจากทารกปกติ เพื่อสังเกตอาการและประเมินความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง
เก็บเลือดทารกส่งตรวจเพื่อยืนยันการติดเชื้อและตรวจร่างกายทารกอย่าง
ละเอียด
โรคสุกใส (Chickenpox
แนวทางการรักษา
ทารกแรกเกิดจากมารดาเป็นโรคสุกใสและมีอาการขณะคลอด มารดาและทารกควรได้รับการแยกกันดูแลจนกระทั่งมารดามีการตกสะเก็ดของตุ่มสุกใสจนหมด และทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อควรได้รับการแยกจากทารกที่คลอดจากมารดาปกติด้วย
ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อสุกใสภายใน 5 วันก่อนคลอดหรือ 2 วันหลังคลอดมีโอกาสติดเชื้อได้ร้อยละ 10 - 25 จึงควรได้รับ varicella-zoster immunoglobulin (VZIG) ทันทีที่คลอด
โรคหนองในแท้ (Gonorrhea)
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhea
ทารกจะได้รับเชื้อโดยตรงหลังจากมีถุงน้ำคร่ำแตก หรือผ่านช่องทางคลอดที่ติดเชื้อ เชื้อจะเข้าสู่ตาทารกเป็นส่วนใหญ่ทำให้เยื่อบุตาอักเสบ
แนวทางการรักษา
การติดเชื้อหนองในที่ตา นอกจากการป้ายตาด้วยยาปฏิชีวนะ เช่น 0.5%
erythromycin หรือ 1%tetracyclin ointment หลังจากนั้นทารกต้องได้รับยา Cefixin 1 mg/kg ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อของทารกวันละ 1 ครั้งติดต่อกัน 7 วัน
ต้องเช็ดตาของทารกด้วย NSS หรือล้างตาทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าหนองจะแห้ง
โรคเริม (Herpes)
เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus
แนวทางการรักษา
ทารกที่คลอดจากมารดาที่เป็นโรคเริม จะต้องถูกแยกจากทารกคนอื่น ๆ และดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม อย่างน้อย 7-10 วัน
การติดเชื้อเริมจากการคลอดทางช่องคลอด ดูแลให้ได้รับยา Acyclovir ตามแผนการรักษา
โรคเอดส์(AIDS)
เกิดจากเชื้อไวรัส HIVการติดต่อจากมารดาไปสู่ทารกสามารถติดต่อได้โดยผ่านทางรกการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งจากมารดาขณะคลอด และหลังคลอด และการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
แนวทางการรักษา
ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV ให้หลีกเลี่ยงการใส่สายยางสวนอาหารในกระเพาะอาหารทารกโดยไม่จำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดบาดแผล
ารรักษาด้วยยา ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ จะต้องได้รับยา NVP ชนิดน้ำขนาด6 มิลลิกรัมทันทีหรือภายใน 8 -12 ชั่วโมงหลังคลอดร่วมกับ AZT 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หลังจากนั้นจะให้ยาAZT ต่อทุก 2 ชั่วโมง
ทารกจะต้องได้รับการตรวจหาการติดเชื้อ HIV โดยการตรวจ เพื่อหา viral load ด้วยวิธี real time PCR assayปกติจะตรวจไม่พบเชื้อ HIV-RNA ใน 6 สัปดาห์ถ้าพบเชื้อ HIV-RNA ใน 48ชั่วโมงแรกหลังคลอดแสดงว่าทารกติดเชื้อตั้งแต่ในครรภ์ ถ้าตรวจพบใน 6 สัปดาห์ แสดงว่าติดเชื้อในระยะคลอด
โรคตับอักเสบบี
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (hepatitis B virus: HBV)
แนวทางการรักษา
ทารกแรกคลอดต้องดูดมูกและเลือดออกจากปากและจมูกของทารกออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำความสะอาดทารกทันทีที่คลอด
ทารกสามารถดูดนมมารดาได้ทันทีหลังคลอดโดยไม่จำเป็นต้องรอให้ทารกได้รับวัคซีนก่อน
ดูแลให้ทารกแรกเกิดได้รับ Hepatitis B immune globulin (HBIG) เข้ากล้ามเนื้อโดยเร็วที่สุด
แนะนำให้มารดาพาทารกมาตรวจเลือดตามนัดเมื่ออายุ ๙ – ๑๒ เดือน เพื่อตรวจหาHBsAg และ Anti-HBs
บทบาทการพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะติดเชื้อ
ประเมินสัญญาณชีพ
ดูแลให้ได้รับนมมารดาและน้ำอย่างเพียงพอ
. สังเกตอาการผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจและให้การช่วยเหลือเมื่อทารกมีภาวะหายใจลำบากหรือขาดออกซิเจน
. ดูแลและแนะนำเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดของร่างกายทารก
แยกของใช้ของมารดากับทารกและมีการทำลายเชื้ออย่างเหมาะสม
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
แจ้งอาการและแนวทางการรักษาที่ทารกได้รับแก่มารดาบิดา
ทารกแรกเกิดจากมารดาติดสารเสพติด
ผลกระทบ ของสารเสพติดต่อทารกในการตั้งครรภ
ทารกเจริญเติบโตช้า
ทารกเสียชีวิตในครรภ์
ทารกติดเชื้อในครรภ์ หรือติดเชื้อตั้งแต่ก้าเนิด (congenital infection)
ทารกพิการแต่ก้าเนิด (congenital anomaly)
น้าหนักแรกคลอดต่้า (low birth weight)
ทารกแรกคลอดมีอาการของการขาดยา (neonatal abstinence syndrome, NAS)
โอกาสเกิด sudden infant death syndrome (SIDS) สูง
ผลกระทบของสารเสพติดแต่ละชนิด
เฮโรอีน
fetal distress , preterm , PPROM, พิการแต่ก้าเนิด,IUGR
อาการถอนยา neonatalabstinence syndrome, (NAS)
้องเสียงแหลมร้องกวนมากกล้ามเนื้อเกร็ง เหงื่อออกตัวเย็น ไวต่อการกระตุ้น แขนขาสั่นทั้งตัว ชัก เสียชีวิต
แอมเฟตามีนและอนุพันธ
จะส่งผลให้มีน้าหนักแรกเกิดน้อย มีความผิดปกติของหัวใจแต่ก้าเนิด ภาวะเลือดออกในสมอง ภาวะสมองตายท้าให้มี
การท้าลายเซลล์ประสาท เส้นรอบศีรษะมีขนาดเล็กึ่งมีผลต่อสมาธิความจ้า และมีผลท้าให้เด็กมีปัญหาพฤติกรรมในระยะยาว
สุรา
Fetal Alcohol Syndrome (FAS)
บุหรี่
เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนเรื้อรัง จากหลอดเลือดหดรัดตัวร่วมกับมีระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดมากขึ้น
การขนส่งออกซิเจน
การเจริญเติบโตช้า มีน้ำหนักน้อย
คลอดก่อนกำหนด และเกิดภาวะหายใจลำบาก
มีสติปัญญาต่ำ
ภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด (Birth Asphyxia)
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะ Birth asphyxia
ปัจจัยขณะตั้งครรภ์
อายุมากกว่า 35 ปี หรือน้อยกว่า 16 ปี
โรคเบาหวาน
เลือดออกในระยะตั้งครรภ์
มารดาได้รับยารักษาในการรักษาโรคบางอย่าง เช่น magnesium,adrenergic blocking agents
ติดยาเสพติดหรือสุรา
มีประวัติการตายในระยะเดือนแรกของชีวิต (neonatal death) ในครรภ์ก่อนๆ
PIH /chronic hypertension
Oligohydramnios /Polyhydramnios
Post term gestation
ตั้งครรภ์มากกว่า 1 คน
มารดาป่วยด้วยโรคบางอย่างเช่น โรคหัวใจ ไทรอยด์ เป็นต้น
ทารกในครรภ์มีความพิการ
คลอดก่อนก้าหนดหรือถุงน้ำคร่ำแตกก่อนก้าหนด
ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง
ปัจจัยขณะคลอด
ท่าก้นหรือส่วนน้าผิดปกติ
การติดเชื้อ
การเจ็บครรภ์คลอดยาวนาน
สายสะดือย้อย
มารดาได้รับ sedative หรือยาแก้ปวด
การคลอดโดยการผ่าตัดทางหน้าท้อง
Meconium stain amniotic fluid
จังหวะหรืออัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ผิดปกติ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1.เนื้อเยื่อร่างกายขาดออกซิเจนเนื่องจากทารกมีภาวะหายใจลำบาก
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ทารกได้รับการเจาะเลือดเพื่อประเมินระดับออกซิเจนในเลือด ถ้าพบผิดปกติรายงานแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมทันท่วงที
ให้ทารกพักผ่อนอย่างเพียงพอ
สังเกตอาการของการขาดออกซิเจน เช่น ริมฝีปาก ปลายมือปลายเท้าเขียว หายใจปีกจมูกบาน หายใจออกมีเสียงคราง หน้าอกบุ๋ม ควรรีบรายงานแพทย์
บันทึกอัตราการหายใจ การเต้นของหัวใจ ถ้าพบผิดปกติ ควรรีบรายงานแพทย์
รักษาความอบอุ่นให้ร่างกายทารกเพื่อลดการใช้ออกซิเจน
ให้ออกซิเจนกับทารกตามแผนการรักษา โดยต้องให้ออกซิเจนผ่านน้ำ สังเกตอาการแทรกซ้อนจากการให้ออกซิเจน
ช่วยดูดเสมหะเพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง กระตุ้นการหายใจ และจับทารกนอนหงายใช้หมอนรองใต้ไหล่ เพื่อให้ทางเดินหายใจตรง
มีโอกาสชักเนื่องจากสมองถูกทำลายจากการขาดออกซิเจน
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ความอบอุ่นแก่ทารก ให้ทารกได้พักมากที่สุด เพื่อลดการใช้ออกซิเจน
สังเกตอาการของการขาดออกซิเจน เช่น ริมฝีปาก ปลายมือปลายเท้าเขียว ควรรายงานแพทย์ และให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
เตรียมเครื่องมือช่วยทารกกรณีมีอาการชักเกร็งจากสมองถูกทำลาย เนื่องจากการขาดออกซิเจน เช่น ไม้กดลิ้น เครื่องดูดเสมหะ
ถ้ามีอาการของการขาดออกซิเจนมากขึ้น ต้องเตรียมเครื่องช่วยหายใจ สังเกตอาการของสมองถูกทำลาย เกร็ง กระตุก ชัก ถ้าพบต้องรีบให้การช่วยเหลือ
สังเกตและบันทึกระดับการรู้สติของทารก
ให้ยาตามแผนการรักษาพร้อมทั้งสังเกตอาการข้างเคียงของยา
มีโอกาสหัวใจเต้นผิดปกติ ไตทำงานผิดปกติ และเนื้อเยื่อลำไส้ตามเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงส่วนปลายไม่เพียงพอ
มีโอกาสเกิดการเจริญเติบโตและพัฒนาการล่าช้าเนื่องจากภาวะเจ็บป่วย
มารดาและบิดาวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเจ็บป่วยของทารกและแผนการรักษาที่ทารกได้รับ
ภาวะสูดสำลักขี้เทาเข้าปอด (Meconium aspiration syndrome)
ภาวะหายใจลำบากที่เกิดจากการที่ทารกสูดสำลักขี้เทาซึ่งปนในน้ำคร่ำเข้าทางเดินหายใจ ปอด มีความสัมพันธ์กับการขาดออกซิเจนของทารกขณะอยู่ในมดลูก หรือขณะ
ค ล อ ด
สาเหต
เมื่อทารกได้รับออกซิเจนระหว่างที่อยู่ในครรภ์ไม่พอ จะทำให้ทารกถ่ายขี้เทาออกมา ซึ่งการถ่ายขี้เทาออกมาเป็นเพราะว่ากล้ามเนื้อหูรูดที่ทวารหนักมีการคลายออก ร่วมกับมีการหายใจเข้า และการหายใจเข้าระหว่างที่อยู่ในครรภ์ (ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำคร่ำ) จะทำให้ทารกหายใจเอาน้ำคร่ำเข้าสู่ปอด แล้วอุดกั้นทางเดิน
หายใจ
ปัญหาจากการสูดสาลักขี้เทา
ขี้เทาเข้าไปอุดในท่อทางเดินหายใจและถุงลม ทำให้ทารกขาดออกซิเจนและอาจมีถุงลมฉีกขาดเกิดลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดได้ (air leak syndrome) และทำให้ถุงลมโป่งและแตก (pneumothorax)
ขี้เทาทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุในปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ (chemical inflammation)
ขี้เทายับยั้งการทำงานของสารลดแรงตึงผิว ทำให้ปอดแฟบ (Atelectasis)
การดูแลทารกที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสูดสำลักขึ้เทา
ระยะก่อนคลอด
๑. เฝ้าระวังการตั้งครรภ์ที่มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะขี้เทาปนเปื้อนในน้ำคร่ำ เช่น ครรภ์เกินกำหนด ทารกน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์
๒. ติดตาม FHS อย่างใกล้ชิด
๓. ในรายที่ทารกมีความผิดปกติของ FHS แพทย์พิจารณาการคลอด
ระยะคลอด
๑. เตรียมเครื่องมือ ประสานกุมารแพทย์
๒. เมื่อพบขี้เทาปนเปื้อนในน้ำคร่ำ ทำการดูดน้ำคร่ำและขี้เทาด้วยลูกยางแดง ในปากและจมูกตามลำดับทันทีที่ศีรษะพ้นช่องคลอด ก่อนที่จะคลอดไหล่หน้า เพื่อลดการสูดสำลักขี้เทาเมื่อทารกเริ่มหายใจครั้งแรก
๓. พิจารณาใส่ETT เพื่อดูดขี้เทาในรายที่มีasphyxia โดยทำการดูดก่อนช่วยด้วยแรงดันบวก และดูดออกให้มากที่สุด
๔. ภายหลังการดูดขี้เทาในหลอดลม ควรใส่สายยางดูดขี้เทาจากกระเพาะอาหารด้วย
ระยะหลังคลอด
๑. ดูแลให้ได้รับ oxygen
๒. รักษาระดับของ oxygen ให้อยู่ในระดับ 80-100 มม.ปรอท
๓. พิจารณาใช้เครื่องช่วยหายใจ