Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 การพยาบาลผู้ป่วยวิฏฤตที่ใช้เทคโนโลยี และยาที่ใช้บ่อยในICU - Coggle…
บทที่ 5 การพยาบาลผู้ป่วยวิฏฤตที่ใช้เทคโนโลยี และยาที่ใช้บ่อยในICU
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจและการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ข้อบ่งใช้การใช้เครื่องช่วยหายใจ
เป้าหมาย: ลดการทำงานของการหายใจ โดยเฉพาะกลุ่มมีแลกเปลี่ยนก๊าซและไหลเวียนผิดปกติ
ใช้ในกลุ่ม
ภาวะพร่องออกซิเจน(Oxygenation failure): ร่างกายไม่แลกเปลี่ยนก๊าซจะเกิดกรดในร่างกาย เครื่องช่วยหายใจลดการทำงานกล้ามเนื้อหายใจ
ความล้มเหลวของการระบายอากาศ(ventilation failre): เช่นผู้ป่วยซึม โรคหืด จะเกิดกรดในเลือด มีCo2มากกว่าปกติ
กล้ามเนื้อกะบังลมไม่มีแรง(diaphragm fatigue): เช่นรับยากดศูนย์หายใจ
ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายผิดปกติ เช่น ภาวะช็อก
ชนิดของเครื่องช่วยหายใจ
1.Non-invasive positive ventilator: NPPV เครื่องช่วยหายใจความดันบวกที่ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ: ช่วยแลกเปลี่ยนก๊าซ แก้ไขภาวะกรดจากหายใจ ลดอัตราการหายใจ ไม่เหมาะผู้ป่วยมีพยาธิปอด NPPV 2 แบบ คือ CPAP และBIPAP เหมาะผู้ป่วยหายใจล้มเหลวแบบเรื้อรัง
2.Invasive positive ventilator: IPPV เครื่องช่วยหายใจความดันบวกใส่ท่อช่วยหายใจ เป็นการอัดอากาศเข้าในปอดผ่านทาง endotracheal tube ใช้แรงดันบวก
การแบ่งประเภทของเครื่องช่วยหายใจ (Mode of ventilator)
1.Control mandatory ventilation(CMV) วิธีช่วยหายใจจะถูกกำหนดเครื่องช่วยหายใจทั้งหมด ผู้ป่วยจะไม่หายใจเอง ใช้เมื่อรับยานอนหลับ
2.Synchronized intermittent mandatory ventilation(SIMV) วิธีหายใจที่หายใจเองและเครื่องหายใจ ให้กระตุ้นการหายใจกับเครื่องจะสัมพันธ์กัน
3.Spontaneous ventilation การหายใจผู้ป่วยเริ่มหายใจเอง กำหนดระยะเวลาและปริมาตรอากาศหายใจเข้าเองหมด แบ่งเป็น
Continuous positive airway pressure(CPAP) วิธีหายใจแรงดันบวกต่อเนื่องหายใจเข้าและออก ไม่มีแรงดันเพิ่ม
Pressure support ventilator (PSV) วิธีหายใจที่เครื่องช่วยขณะผู้ป่วยหายใจได้เอง เครื่องช่วยจ่ายก๊าซได้ระดับที่ตั้งไว้
ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ
1.ผลต่อระบบหัวใจและไหลเวียนเลือด: ทำให้เลือดดำกลับหัวใจลดลง ส่งผลให้ปริมาตรเลือดแดงส่งจากหัวใจลดลง
2.การบาดเจ็บของปอดจากใช้ปริมาตรการหายใจสูงเกินไป: พบในผู้ป่วยโรคปอด การตั้งปริมาตรหายใจสูงเกิน ส่งผลความดันสูงสุดในทางเดินหายใจ ทำให้ถุงลมถ่างขยายมาก
3.ภาวะถุงลมปอดแตก: ภาวะลมรั่วจากถุงลม จากการใช้เครื่องช่วยชนิดบวก
4.การบาดเจ็บของทางเดินหายใจ พบผู้ป่วยใส่ท่อหลอดลมคอเป็นเวลานาน ความดันในกระเปาะไม่ควรเกิน 20-25 mmHg
5.ภาวะปอดแฟบ: พบจากตั้งปริมาตรการหายใจต่ำและไม่มีการถอนหายใจ ดังนั้นควรช่วยหายใจด้วยมือ
6.การเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ: ผู้ใช้เครื่องช่วยเกิน48ชั่วโมง จะเกิดจากปอดติดเชื้อ ป้องกัน ล้างมือก่อนและหลังที่มีการดูดเสมหะ
7.ภาวะพิษจากออกซิเจน: รับความเข้มข้นมากกว่า0.6 เกิน 24-48ชั่วโมง แก้ไข ใช้ออกซิเจนระดับต่ำสุด
8.ระบบทางเดินอาหาร: จากการเคลื่อนไหวลำไล้ลดลงจากพร่องO2
ผลต่อภาวะโภชนาการ: เนื่องจากNPO ทำให้ขาดน้ำอาหาร
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ
1.ด้านจิตใจ: ควรประเมินและดูแลใกล้ชิด ประคับประคองจิตใจโดยอธิบายการเจ็บป่วย วิธีรักษา สร้างความมั่นใจ ดูแลความสุขสบาย
2.ดูแลด้านร่างกาย
ประเมินสภาพผู้ป่วยและภาวะแทรกซ้อน รายงานแพทย์ทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
ดูแลท่อหลอดลมและความสุขสบายในช่องปากของผู้ป่วย
ป้องกันไม่ให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ
ดูแลให้เครื่องช่วยหายใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และดูแลTubing systemของเครื่องช่วยหายใจเป็นระบบปิด
ป้องกันภาวะปอดแฟบ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การหย่าเครื่องช่วยหายใจ(Weaning)
ความหมาย: การลดการช่วยหายใจในผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยจนหายใจเอง และหยุดใช้เครื่องช่วยหายใจ
ขั้นตอนการหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ขั้นที่ 1 ก่อนหย่าเครื่องช่วยหายใจ
ประเมินความพร้อมของผู้ป่วย ได้แก่ โรคทุเลา การแลกเปลี่ยนก๊าซเพียงพอ ค่าPEEPน้อยกว่า5cm ผู้ป่วยรู้สึกตัว สัญญาณชีพปกติ ค่าSpontaneous tidal volume เมื่อถอดเครื่องช่วยมากกว่า5mm/น้ำหนักตัว1kg. หายใจเองได้ ใช้ยาระงับประสาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช้ยากระตุ้นหัวใจ สามารถไอได้ดี
วิธีการหย่าเครื่องช่วยหายใจ 2 วิธี
1.ผู้ป่วยหายใจเองทางT piece หรือหายใจเองสลับเครื่องช่วยหายใจพักๆ วิธี ให้ผู้ป่วยหายใจผ่าน T piece ต่อกับ collugated tube ให้O2 10 L/min ใช้เวลา 1 ชม.
2.การใช้เครื่องช่วยหายใจ mode SIMV PSV CPAP
2.1SIMV โดยการหย่าเครื่องช่วยหายใจเครื่องค่อยๆลดการช่วยเหลือจากเครื่องโดยการตั้งค่าหายใจเครื่องให้ต่ำกว่าการหายใจของผู้ป่วย วิธีช่วยผู้ป่วยได้ปรับตัวและลดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใช้หายใจในผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานาน
2.2PSV วิธีช่วยลดการหายใจผู้ป่วย เครื่องจะปล่อยแรงดันช่วงผู้ป่วยหายใจเข้าด้วยตนเองทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องออกแรงมาก ผู้ป่วยจะกำหนดอัตรา เวลา เมื่อระดับเหมาะสม เครื่องจะเริ่มหย่า
2.3CPAP การหย่าใช้เครื่องช่วยปล่อยแรงดันบวกเข้าปอดตลอด
ขั้นที่ 2 ขณะหย่าเครื่องช่วยหายใจ
การพยาบาลผู้ที่หย่าเครื่องช่วยหายใจ
ควรเริ่มหย่าเครื่องในตอนเช้าหลังพักผ่อนเต็มที่
อธิบายวิธีการหย่าคร่าวๆ
ดูดเสมหะเพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
จัดท่าศีรษะสูง ส่งเสริมขยายตัวของปอด
เริ่มทำการหย่าเมื่อประเมินสภาพพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
วัดสัญญาณชีพและความเข้มข้นออกซิเจนปลายนิ้ว ก่อน ขณะหย่าทุก5-10 นาที
เฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงทุก 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
การถอดท่อช่วยหายใจ
แพทย์พิจารณาถอดท่อช่วยหายใจ
สามารถหายใจผ่านT piece 10L/min เกิน2ชม.
ไอขับเสมหะออกมาได้
รู้สึกตัวดี GCS>10 ประเมิน cuff leak test ผ่าน
วิธีการถอดท่อช่วยหายใจ: จัดท่านั่งหัวสูง ดูดเสมหะ แกะพลาสเตอร์ เอาลมในกระเปาะออก ให้ผู้ป่วยกลั้นหายใจ ค่อยๆดึงท่อช่วยหายใจ ให้O2 วัดสัญญาณชีพทุก 15 30 นาทีและ1ชั่วโมง เฝ้าระวังติดตามใกล้ชิด
ขั้นที่3 หลังหย่าเครื่องช่วยหายใจ
จัดท่านั่งหัวสูง ให้O2 วัดสัญญาณชีพ
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงเกิดภาวะพร่องออกซิเจน เนื่องจากมีการอุดกั้นทางเดินหายใจ
การแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง เนื่องจากมีการติดเชื้ออย่างรุนแรงของเนื้อปอด
การกำซาบไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากถุงลมปอดเสียหน้าที่
ผู้ป่วยและญาติกังวล เนื่องจากอยู่ในภาวะวิกฤตคุกคาม
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีสายสวนหลอดเลือด(central line monitor)
การวัดการไหลเวียนเลือดและความดันโลหิตในผู้ป่วยวิกฤต
1.การวัดความดันในหลอดเลือดแดง(intra-arterial monitoring)
วิธีการสอดใส่สายยางเข้าไปในเส้นเลือดแดงและนำมาต่อกับเครื่องวัด
ข้อบ่งชี้ในการวัด
ในผู้ป่วยมีการไหลเวียนลดลง
รับการผ่าตัดเสียเลือดมาก
ตรวจarterial blood gas บ่อยๆ
ใช้inotropic drugs และ vasoactive drug
วัดความดันโลหิตยาก เช่ย ถูกไฟไหม้
ตำแหน่งของเส้นเลือดที่นิยมใส่ ได้แก่Redial artery
การพยาบาลผู้ป่วยที่ใส่สายหลอดเลือดแดง(arterial line)
1.ตรวจสอบความแม่นยำของการปรับเทียบค่า
2.ดูแลระบบของarterial lineให้มีประสิทธิภาพ ใช้continuous flush systemใช้สารน้ำ0.9%NSS 500cc ผสมกับHeparin 2000-2500 unit ใส่ความดัน300mmHg
3.ป้องกันภาวะแทรกซ้อน: การติดเชื้อ การเกิดเนื้อตาย Air embolization ภาวะเลือดออกเนื้อเยื่อ การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายลดลง
4.ป้องกันการติดเชื้อ: ใช้sterile technique ทุกขั้นตอน เลี่ยงการปลดสายข้อต่อต่างๆ ประเมินอาการและอาการแสดงการติดเชื้อ ทำแผลทุก7วัน เปลี่ยนชุดtransducerและชุดสารน้ำทุก3วัน
5.มีการเก็บเลือดส่งตรวจต้องflushสายไม่ให้มีฟองอากาศค้างสาย
6.ตรวจสอบข้อต่างๆให้แน่น
7.ป้องกันการหลุดเลื่อน ควรimmobilized are
8.ตรวจดูคลื่นที่แสดงการอุดตัน
9.จดบันทึกค่าArterial blood pressure ทุก15-60นาที
10.กรณีแพทย์ถอดสายยางออกควรกดตำแหน่งแผลไว้นาน10นาที ทำความสะอาดแผลและปิดด้วยplaster
2.การวัดค่าความดันในหลอดเลือดดำส่วนกลาง(central venous pressures:CVP)
หรือแรงดันเลือดของหัวใจห้องบนขวา เพื่อประเมินระดับปริมาณน้ำและเลือดในร่างกาย การวัดCVPบอกถึงค่าpreloadของRV
ข้อบ่งใช้
ผู้ที่เสียเลือดจากอุบัติเหตุหรือผ่าตัด
มีภาวะน้ำเกิน
ต้องประเมินการทำงานหัวใจและหลอดเลือด
ตำแหน่งเส้นเลือดที่ใช้สำหรับmonitor CVP
สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง(central line) รวมทั้งpic line เพื่อสอดใส่ทางหลอดเลือดดำให้อยู่ปลายสายSVC
ตำแหน่งแทง subclavain vein รองมาinternal iugular และfemoral
การแปลค่าCVP
ค่าปกติ 6-12 cmH2O (2-12mmhg)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีสายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง
1.ความแม่นยำของการเปรียบเทียบค่า
2.ป้องกันการเลื่อนหลุดของสายสวน ระวังการเคลื่อนย้ายและขณะทำแผล ไม่ให้ดึงรั้ง
3.ป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือจากการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง: พิจารณาความจำเป็นคาสาย ประเมินแผลรอบๆ ทำความสะอาดแผล สวมปิดข้อต่อด้วยจุกปิด เฝ้าระวังและดูแลระบบการให้สารน้ำ
4.ป้องกันการอุดตันของสายสวน: ตรวจสอบตำแหน่งสายและทดสอบก่อนใช้งานทุกครั้ง ดูแลไม่ให้สายพับงอ
5.ป้องกันฟองอากาศเข้าหลอดเลือดเป็นระบบปิด: ต้องไล่ฟองอากาศทุกครั้ง
สำคัญ พยาบาลต้องติดตามและเฝ้าระวังระบบไหลเวียนโลหิตให้รับเลือดและออกซิเจนเพียงพอ
ยาที่ใช้บ่อยในผู้ป่วยวิกฤต(common drugs used in ICU)
1.ยาใช้ภาวะPulseless Arrest
1.1Epinephrine หรือ Adrenaline
กลไกการออกฤทธิ์: กระตุ้น Alpha adrergic receptor และ beta adrenergic receptor ทำให้หลอดเลือดดำส่วนปลายหอดตัว เพิ่มเลือดไปเลี้ยงหัวใจ สมอง
การนำไปใช้: ภาวะ systole/PEA ภาวะsymptomatic bradycardia และcardiac arrest
ขนาดยา:
cardiac arrest 1mg IV ซ้ำทุก3-5min จนอาการดี
Hypotension 1mg ในNSS 500ml ขนาด2-10mcg/min
บริหารยา: IV;Undilute(1:1000)
ผลข้างเคียง: tachycardia arrhythmias
การพยาบาล
V/S
ปรับ/ลดขนาดยา เมื่อBP<90/60 หรือ >140/90 mmHg HR>120ครั้ง/นาที
1.2Amiodarone
กลไก: เป็น class III antiarrhythmic drugs ใช้รักษาภาวะ tachyarrhythmia
การนำไปใช้:
ยารักษาหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะชนิด Atrial fibrillation และ Atrial flutter
หัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะชนิด Ventricular fibrillation (VF) และ Ventricular tachycardia (VT)
ขนาดที่ใช้
ทำ CPR ขนาด 300mg หรือ 5 mg/kg เจือจางใน D5W 20 ml. IV push
หัวใจห้องล่างผิดปกติ เพิ่ม 150 mg หรือ 2.5 mg/kg
การบริหารยา
Amiodarone injection 150 mg/ 3 mL เจือจางใน D5W เท่านั้น
ผลข้างเคียง
เกิด vasodilatation และ hypotension
Bradycardia, hypothyroidism, hyperthyroidism, thrombophlebitis
การพยาบาล
V/S โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและ monitor EKG ทุก 15 นาที x 3 ครั้ง หลัง loading dose รายงานแพทย์เมื่อ BP < 90/60 mmHg, HR < 60 BPM
ยาที่ใช้ในภาวะ Bradyarrhythmia
2.1 Atropine
กลไกการออกฤทธิ์
เป็น anticholinergic drug ไปยับยั้ง vagus nerve ที่หัวใจ ทำให้การเพิ่มขึ้นของ heart rate
การนำไปใช้
แก้ไขภาวะหัวใจเต้นช้าผิดปกติและ AV block
ขนาดยาที่ใช้
0.6-1 mg ทุก 3-5 นาที
การบริหารยา
Atropine 0.6 mg/ml/ampule ให้ IV Bolus: Undiluted or dilute 1-10 ml ฉีด 15 – 30 วินาที
ผลข้างเคียง
หัวใจเต้นเร็ว (tachycardia)
การพยาบาล
ระวังการให้ขนาดที่ต่ำกว่า 0.5 mg อาจเกิดการตอบสนองชนิดหัวใจเต้นช้าลงได้
ติดตามสัญญาณชีพ monitor EKG
ไม่ควรให้ถ้า HR > 60 ครั้ง/นาที
รายงานแพทย์เมื่อ HR > 120 ครั้ง/นาที โดยให้ monitor HR ทุก 5 นาที
ยาที่ใช้ในภาวะ Tachyarrhythmia
3.1 Adenosine
กลไกการออกฤทธิ์
เป็น purine nucleoside ยับยั้งการนำไฟฟ้าผ่าน AV node เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย ยาจะถูกจับ และทำลายที่เม็ดเลือดแดงและผนังหลอดเลือดอย่างรวดเร็ว ต้องฉีดรวดเร็ว เพื่อให้มียาเหลือไปถึงที่หัวใจ
การนำไปใช้
เป็น first line drug ในภาวะ Stable narrow complex tachycardia (reentry SVT)
ภาวะ regular monomorphic wide complex tachycardia
ขนาดยาที่ใช้และการบริหารยา
Adenosine 6 mg/2 ml/vial ฉีดทางหลอดเลือดดำขนาด 6 mg ฉีดเร็ว ๆ ภายใน 1 – 3 วินาที ตามด้วย NSS bolus 20 ml พร้อมกับยกแขนสูง
ผลข้างเคียง
หน้าแดง เหนื่อยและแน่นหน้าอก หายในเวลา< 1 นาที
การพยาบาล
เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว (10 วินาที) และหมดฤทธิ์เร็ว ต้องฉีดเร็วๆ บริเวณ upper extremities และ flush NSS ตาม 20 ml ด้วยวิธี double syringe technique
ถ้าฉีดยาช้าเกินไปยาจะถูกทำลายหมดก่อนถึงหัวใจ
3.2 Digoxin
กลไกการออกฤทธิ์
เพิ่ม vagal tone ทําให้การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น จากการลดการทำงานของระบบประสาท sympathetic ทำให้อัตราเต้นของหัวใจลดลง
การนำไปใช้
Heart failure
หัวใจเต้นผิดจังหวะแบบ atrial fibrillation (AF), atrial flutter
ขนาดที่ใช้
Digoxin injection 0.5 mg/ 2 mL amp
การบริหารยา
ให้ยาแบบ IV bolus จะต้องให้แบบช้าๆ นานกว่า 5 นาที
ผลข้างเคียง
หัวใจเต้นช้าชนิด Sinus bradycardia, S-A arrest
หัวใจเต้นผิดจังหวะ AV block, Atrial fibrillation
พิษจากยา อ่อนเพลีย คลื่นไส้ปวดท้อง เบื่ออาหาร กระสับกระส่าย สับสบ
การพยาบาล
กรณียาฉีด ประเมินสัญญาณชีพก่อนให้ยา และหลังให้ยาทุก 15 นาทีติดต่อกัน 2 ครั้ง ต่อไปทุก 30 นาที ติดต่อกัน 3 ครั้ง ต่อไปทุก 1 ชั่วโมงจนครบ 6 ชั่วโมง
monitor EKG ขณะฉีดยา และหลังฉีดยา 1 ชั่วโมง
รายงานแพทย์เมื่อ HR < 60 ครั้ง/นาที หรือ >100 ครั้ง/นาที BP < 90/60 mmHg RR < 14 ครั้ง/นาที
ยากระตุ้นความดันโลหิต (Vasopressor)
4.1 Dopamine
กลไกการออกฤทธิ์
ยาออกฤทธิ์กระตุ้น Adrenergic และ Dopaminergic receptors
ขนาดต่ำ (0.5-3 mcg/kg/min) กระตุ้น dopaminergic receptors ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัวเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังไต
ขนาดปานกลาง (3-10 mcg/kg/min) ยาจับกับ beta 1 receptors กระตุ้นการปลดปล่อย norepinephrine ทำให้เพิ่มการบีบตัวของหัวใจ
ขนาดสูง (10-20 mcg/kg/min) มีผลต่อ alpha1adrenergic receptors ทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดเพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ
การนำไปใช้
ขนาดต่ำ ใช้ในผู้ป่วยที่ปัสสาวะออกน้อย เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่ไต
ขนาดปานกลาง เพิ่มการบีบตัวของหัวใจ เพิ่ม Cardiac out put
ขนาดสูง ทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ
ขนาดที่ใช้และการบริหารยา
ยา 1 Amp บรรจุ 10 ml มีความเข้มข้นของยา 250 mg (25 mg/ml)
ผลข้างเคียง
การรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตาย
เกิดจากการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว
การพยาบาล
เลือกตำแหน่งให้ยาบริเวณหลอดเลือดดำเส้นใหญ่และควบคุมอัตราการไหลของยา
ตรวจดู IV site ทุก 1 ชั่วโมงเพื่อเฝ้าระวังการเกิดยารั่วออกนอกหลอดเลือด
ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
ปรับเพิ่มหรือลดยาได้ทีละ 2µd/min keep BP ≥ 90/60 และ ≤140/90
4.2 Dobutamine
กลไกการออกฤทธิ์
ยาในกลุ่ม Adrenergic agonist ออกฤทธิ์กระตุ้นที่ Beta-1 และAlpha-1 Adrenergic receptors ที่หัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวแรงขึ้น และหลอดเลือดส่วนปลาย ขยายตัว ทำให้ช่วยลดafterload ทำให้การบีบตัวของหัวใจดีขึ้น จึงเพิ่ม Cardiac out put
การนำไปใช้
ผู้ป่วยหัวใจวาย
ขนาดที่ใช้
Dobutamine 2-20 mcg/kg/min
การบริหารยา
ยา 1 Vial บรรจุ20 ml มีความเข้มข้นของยา 250 mg หรือ 12.5 mg/ml
ผลข้างเคียง
เกิดความดันโลหิตสูงหัวใจเต้นเร็วและเต้นผิดจังหวะได้
มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเพิ่มขึ้น
รั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตาย
การพยาบาล
เลือกตำแหน่งให้ยาบริเวณหลอดเลือดดำเส้นใหญ่และควบคุมอัตราการไหลของยา
ตรวจดู IV site ทุก 1 ชั่วโมงเพื่อเฝ้าระวังการเกิดยารั่วออกนอกหลอดเลือด
ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
ปรับเพิ่มหรือลดยาได้ทีละ 2µd/min keep BP ≥ 90/60 และ ≤140/90
4.3 Norepinephrine
กลไกการออกฤทธิ์
ยาออกฤทธิ์กระตุ้น beta1 และ alpha adrenergic receptors ส่งผลให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจมีการบีบตัวและคลายตัวเพิ่มขึ้นแต่อัตราการเต้นของหัวใจไม่เพิ่มขึ้นเมื่อฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำออกฤทธิ์ภายใน 1-2 นาที
การนำไปใช้
รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะseptic shock และ cardiogenic shock
ขนาดยาที่ใช้
0.01-3 mcg/kg/min
การบริหารยา
ยา 1 Amp บรรจุ 4 ml มีความเข้มข้นของยา 4 mg (1 mg/ml) แผนการรักษาของแพทย์นิยมเขียนเป็น 4:100, 8:100 สารละลายที่ใช้เจือจางยาคือ D5W
ผลข้างเคียง
หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง
การรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตาย
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและ monitor ECG
ตรวจดู IV site ทุก 1 ชั่วโมงเพื่อเฝ้าระวังการเกิดยารั่วออกนอกหลอดเลือด
5.ยาขยายหลอดเลือด (Vasodilators)
5.1 Nicardipine
กลไกการออกฤทธิ์
ยากลุ่ม Calcium channel blocker ออกฤทธิ์ยับยั้งแคลเซียมเข้าเซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของผนังหลอด
การนำไปใช้
ผู้ป่วยที่มีภาวะ Hypertensive crisis
ขนาดยาที่ใช้และการบริหารยา
ยา 1 Amp ขนาด 2mg/2 ml หรือ 10 mg/10 ml
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หน้าแดง
ใจสั่น หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ
กรณี Emergency ให้ยาทาง IV bolus ติดตามทุก 5 นาที จน BP, HR ได้ระดับที่ต้องการ
กรณีให้ IV drip ติดตามทุก 15 นาที ในชั่วโมงแรก จากนั้น ทุก 1 ชั่วโมงขณะให้ยา
รายงานแพทย์ทันทีถ้า BP < 90/60 mmHg หรือ HR< 60 ครั้ง/นาทีหรือ HR > 120 ครั้ง/นาที
5.2 Sodium Nitroprusside
กลไกการออกฤทธิ์
ยาขยายหลอดเลือดแดงและดำ โดย free nitroso group (NO) จะไปยับยั้ง excitation-contractioncoupling ของผนังหลอดเลือด (vascular smooth muscle)
การนำไปใช้
ลดความดันโลหิตในผู้ป่วย hypertensive emergency
ลด afterload ในภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
ขนาดที่ใช้และการบริหารยา
การเตรียมยาผสม 50 mg ใน D5W 250 ml
ผลข้างเคียง
หากลดความดันโลหิตเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ เหงื่อออกมาก
เกิดพิษจาก cyanide มักพบในผู้ป่วยที่ได้รับยาในขนาดสูง (10-15 mcg/kg/min)
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต ทุก 5 นาทีหลังให้ยา และติดตามทุก 1 ชั่วโมง
ป้องกันยาในขวดน้ำเกลือทำปฏิกิริยากับแสงด้วยกระดาษ ผ้า หรือ aluminum foil
5.3 Nitroglycerin (NTG)
กลไกการออกฤทธิ์
ยาขยายหลอดเลือดโดยการหลั่ง nitric oxide (NO) เข้าสู่กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด กระตุ้นguanylate cyclase ใน cytoplasm ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดดำขยายตัวเลือดไหลกลับหัวใจลดลง ลดปริมาณเลือดในห้องหัวใจ (preload ) แรงในการบีบตัวของหัวใจลดลง ช่วยลดความต้องการออกซิเจนของร่างกาย
การนำไปใช้
Acute coronary syndrome, Chest pain (angina pectoris)
Heart failure
ขนาดที่ใช้
เริ่มขนาด 5-10 mcg/min เพิ่มทีละ 5-10 mcg/min ทุก 5-10 นาที
การบริหารยา
NTG 1 vial มี 10 ml บรรจุยา 50 mg เจือจางใน 5%D/W หรือ 0.9%NSS
ผลข้างเคียง
Hypotension, Tachycardia, Flushing, headache
การพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต
monitor EKG