Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หนังสั้นเรื่อง A Beautiful mind, นางสาวอัญมณี แอสมจิตร์ ปี2ห้องB เลขที่100…
หนังสั้นเรื่อง A Beautiful mind
ข้อมูลทั่วไป
ข้อมูลส่วนตัว
นายจอห์น ฟอบส์ แนช จูเนียร์
อายุ 24 ปี
เชื้อชาติอเมริกัน สัญชาติอเมริกัน
ประวัติการเจ็บป่วย
2 ปีก่อนมาโรงพยาบาลทํางานอย่างลับๆ
จนกระทั่งพบว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่ตลอดและพยายามจะทําร้ายเขา
1 วันก่อนมาโรงพยาบาล เห็นกลุ่มคนสะกดรอยตามไปถึงที่ทํางานและรู้สึกกลัวมากจึงวิ่งหนี
ประวัติและความสัมพันธ์ภายในครอบครัว
ผู้ป่วยเป็นลูกชายคนเดียวและมีน้องสาว1คน
เป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง
มีความคิดหมกมุ่นเกี่ยวกับเรื่องตัวเลขอย่างมากจนเกือบทําร้ายภรรยาและลูก
พัฒนาการตามช่วงวัย
วัยเด็ก
เรียนเก่ง
ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง
เก็บตัว ชอบอยู่คนเดียว
ไม่มีเพื่อนสนิท
มักมีปัญหาการปรับตัว
รู้สึกว่าเพื่อนชอบแกล้งตน
ไม่ชอบกิจกรรมนันทนาการ สนใจด้านวิทย์และการทดลองด้วยตนเอง
วัยรุ่น
เรียนจบปริญญาโท ตอนอายุ 20 ปี
เก็บตัว
ไม่มีเพื่อนสนิท
เรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน
โดดเด่นด้านการเรียนระดับอัจฉริยะ
เริ่มมีความคิดว่านักคณิตศาสตร์มีความสําคัญต่ออนาคตของอเมริกา
มีเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมห้องพัก
เริ่มมีความคิดหมกมุ่นและมีพฤติกรรมแปลกๆเพิ่มมากขึ้น
หลังจบปริญญาเอก
ทํางานทั้งงานที่วีลเลอร์แลปส์และงานสายลับ
เห็นภาพหลอน
แต่งงานกับแฟนสาว
คาดการณ์โรคที่คิดว่าผู้ป่วยเป็น
โรคจิตเภท
อาการจากทฤษฎี
อาการหลงผิด
คือการปักใจเชื่อในบางสิ่งบางอย่างอย่างฝังแน่น ไม่ว่าจะมีใครมาชี้แจงหรือมีหลักฐานคัดค้านที่เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาเชื่อนั้นผิด เขาก็ยังฝังใจเชื่อเช่นนั้น อาการหลงผิดนี้บางครั้งก็เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีเหตุการหรือสถานการณ์ชวนให้เกิดมาก่อน
อาการจากกรณีศึกษา
ประสาทหลอน
ไม่ชอบเข้าสังคม/เก็บตัว
หลงผิดคิดว่าใครจะมาทำร้าย
ทำร้ายตนเองและผู้อื่น
คิดช้า เหม่อลอย
พูดตะกุกตะกัก/พูดคนเดียว สีหน้าเรียบเฉย
อาการประสาทหลอน
เกิดการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ทั้งที่ตามจริงแล้วไม่มีสิ่งที่รับรู้นั้นเกิดขึ้น อาการประสาทหลอนเกิดขึ้นได้กับการรับรู้ทั้งในด้าน รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ตัวอย่างเช่น หูแว่ว ภาพหลอน
พฤติกรรมผิดปกติ
โดยมักเกี่ยวข้องกับความคิดและความเชื่อที่ผิดปกติ เช่น ทำร้ายคนอื่น อยู่ในท่าแปลกๆ ซ้ำๆ
ความคิดผิดปกติ
ผู้ป่วยคิดแบบมีเหตุผลอย่างต่อเนื่องไม่ได้ ทำให้คุยกับคนอื่นไม่เข้าใจ ผู้ป่วยมักพูดไม่เป็นเรื่องราว พูดไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนเรื่องพูดโดยไม่มีเหตุผล
เก็บตัว ซึม ไม่อยากพบปะผู้คน แยกตัว
ไม่ดูแลตัวเอง ไม่สนใจเรื่องการแต่งกาย กลางคืนไม่นอน
ไม่มีความคิดริเริ่ม เฉื่อยชาลง ไม่ทำงาน นั่งเฉยๆ ได้ทั้งวัน ผลการเรียนหรือการทำงานตกต่ำ
พูดน้อย ใช้เวลานานกว่าจะตอบ พูดจาไม่รู้เรื่อง เนื้อความไม่ปะติดปะต่อกัน การแสดงออกทางอารมณ์ลดลงมาก ไร้อารมณ์ มักมีสีหน้าเฉยเมย ไม่มีอาการยินดียินร้าย
กลุ่มอาการของโรคที่มีความผิดปกติของความคิด ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดและการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้มีผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การดูแลตัวเอง การใช้ชีวิตในสังคม ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะเริ่มเป็นเมื่ออายุประมาณ 14-16 ปี หรือช่วงปลายวัยรุ่น โรคนี้พบได้ ประมาณร้อยละ 1 ของประชากร
สาเหตุจากทฤษฎี
กรรมพันธุ์
ระบบสารเคมีในสมอง
ความผิดปกติในส่วนอื่นๆ ของสมอง
มีเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าลดลง และการทำงานของสมองส่วนหน้ามีไม่เต็มที่
สภาพครอบครัว
สาเหตุจากกรณีศึกษา
จากกรณีศึกษาไม่มีข้อมูลที่บ่งบอกถึงสาเหตุของโรค
การรักษาจากทฤษฏี
ยารักษาโรคจิต
ระยะควบคุมอาการ เป็นการรักษาในช่วงอาการกำเริบ
ระยะให้ยาต่อเนื่อง หลังจากที่อาการสงบลงแล้ว
การรักษาด้วยไฟฟ้า
เป็นวิธีการรักษาโดยใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นต่ำผ่านสมองเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดอาการชัก ซึ่งจะส่งผลให้อาการทางจิตดีขึ้น
การดูแลรักษาด้านจิตใจและสังคม
การช่วยเหลือด้านจิตใจ
การให้คำแนะนำแก่ครอบครัว
กลุ่มบำบัด
นิเวศน์บำบัด
การรักษาจากกรณีศึกษา
รักษาโดยการทานยา
รักษาด้วยไฟฟ้า
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคจิตเภท
ก. มีอาการต่อไปนี้ตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไป นาน 1 เดือน
พูดจาสับสนมาก มักเปลี่ยนเรื่องจนฟังไม่เข้าใจ
พฤติกรรมเรื่อยเปื่อย วุ่นวาย หรือมีท่าทางแปลกๆ
อาการประสาทหลอน
อาการด้านลบ ได้แก่ อารมณ์เฉยเมย ไม่ค่อยพูด หรือเฉื่อยชา
อาการหลงผิด
ข. กิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน การคบหาพูดคุยกับผู้อื่นแย่ลงมาก หรือไม่สนใจดูแลสุขอนามัยของตนเองอย่างมาก
ค. มีอาการต่อเนื่องกันนาน 6 เดือนขึ้นไป โดยต้องมีระยะอาการกำเริบ (ตามข้อ ก) นานอย่างน้อย 1 เดือน และระยะที่เหลืออาจเป็นระยะเริ่มมีอาการ หรือระยะอาการหลงเหลือ
อาการและอาการแสดงจากกรณีศึกษา
หวาดระแวง
กลัวใครจะมาทำร้าย
ประสาทหลอน
เห็นภาพหลอน
คิดว่ามีคนตามมาทำร้าย
หมกมุ่น
การรับรู้ผิดปกติ
คิดว่าตนเองเป็นสายลับทั้งๆที่ตนเองเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์
ไม่ชอบเข้าสังคม
เก็บตัว ชอบอยู่คนเดียว
ควบคุมตนเองไม่ได้
ทำร้ายตนเอง
ทำร้ายผู้อื่น
สีหน้าเรียบเฉย
พูดตะกุกตะกักในบางครั้ง
คิดช้า
เหม่อลอยบ้างเล็กน้อย
เดินหลังค่อม มองซ้ายขวาเกือบตลอดเวลา
พูดคนเดียวเหมือนกําลังสนทนากับใคร
ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาเท่าที่ควร
ไม่คิดว่าตนเองเจ็บป่วยทางจิต
ประเด็นที่สงสัย
ความคิดหลงผิดกับภาพหลอนต่างกันอย่างไร
ความคิดหลงผิด
คือการปักใจเชื่อในบางสิ่งบางอย่างอย่างฝังแน่น ไม่ว่าจะมีใครมาชี้แจงหรือมีหลักฐานคัดค้านที่เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาเชื่อนั้นผิด เขาก็ยังฝังใจเชื่อเช่นนั้น
ภาพหลอน
หรืออาการประสาทหลอน คือเกิดการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ทั้งที่ตามจริงแล้วไม่มีสิ่งที่รับรู้นั้นเกิดขึ้น
ทำไมผู้ป่วยไม่กินยาอย่างต่อเนื่อง
ผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาลหากแพทย์ดูแล้วเห็นว่าอาการสงบลง พูดจาพอรับฟัง ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ก็มักจะให้กลับบ้าน โดยที่ไม่จำเป็นต้องอยู่จนให้อาการต่างๆ หายไปหมด เนื่องจากหากผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาลนานเกินความจำเป็นก็มักจะมีผลเสียมากกว่าผลดี ผู้ป่วยจึงอาจคิดว่าตนหายดีแล้ว หรือกินยาไปก็มีผลข้างเคียงของยาที่ทำให้ไม่อยากกินจึงตัดสินใจที่จะหยุดกินยา หรืออาจเกิดจากความหลงลืม จึงทำให้กินยาไม่ต่อเนื่อง
ครอบครัวจะมีส่วนช่วยในการดูแลอย่างไร
ช่วยดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ครวเพิ่ม หยุด หรือลดยาเอง
ช่วยพาผู้ป่วยไปรับการบำบัดรักษาให้สม่ำเสมอ ตรงตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้การดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอ
ถ้าผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่ดูสับสน วุ่นวาย ดื้อ ไม่ยอมกินยา ไม่ยอมมาพบแพทย์ ญาติควรจะมาติดต่อกับแพทย์ เพื่อเล่าอาการของผู้ป่วยให้แพทย์ทราบซึ่งญาติจะได้รับคำแนะนำเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป
หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของผู้ป่วย ถ้าพบความผิดปกติ เช่น พูดพร่ำ พูดเพ้อเจ้อ พูดคนเดียว เอะอะ อาละวาด หงุดหงิด ฉุนเฉียว หัวเราะหรือยิ้มคนเดียว เหม่อลอย หลงผิด ประสาทหลอน หวาดกลัว ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที
จัดหากิจกรรมให้ผู้ป่วยทำโดยเฉพาะในเวลากลางวัน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยคิดมาก ฟุ้งซ่าน แต่ก็ไม่ต้องถึงกับบังคับมากเกินไป
ผลข้างเคียงของการรักษามีอะไรบ้าง
ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยยา
ยาต้านโรคจิตก็เหมือนยาทั่วๆไปคือมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ในช่วงแรกหลังจากที่ได้รับยาผู้ป่วยมักจะมีอาการง่วงนอน กระสับกระส่าย ปวดเมื่อย ตัวสั่น ตาพร่ามัว ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถรักษาได้ด้วยยาอีกตัวหนึ่งที่แก้ผลข้างเคียงเหล่านี้
ผลข้างเคียงของการรักษาด้วยไฟฟ้า
อาจมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไม่สบายตัว สับสน สูญเสียความจำชั่วคราว บางรายมีผลข้างเคียงที่รุนแรงอาจทำให้กระดูกหัก ข้อเคลื่อน หรืออาจเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคทางกายร่วม เช่น โรคหัวใจ โรคทางสมอง โรคกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นต้น
นางสาวอัญมณี แอสมจิตร์ ปี2ห้องB เลขที่100 รหัสนักศึกษา613601209