Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
3.การส่งเสริมสุขอนามัยและการพักผ่อนนอนหลับ - Coggle Diagram
3.การส่งเสริมสุขอนามัยและการพักผ่อนนอนหลับ
3.1 การดูแลสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล
3.1.2 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสุขอนามัยส่วนบุคคล
สุขอนามัยส่วนบุคคลเป็นสิ่งสำคัญที่พยาบาลต้องมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับความ ต้องการการดูแลสุขวิทยาของผู้ปุวยซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวัน เป็นพฤติกรรมสุขภาพในการดูแลความ สะอาดของร่างกาย และสิ่งแวดล้อมของบุคคล ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันออกไปแล้วแต่วัฒนธรรม ศาสนา ฯลฯ
3. ภาวะสุขภาพ
เมื่อมีการเจ็บปุวยที่รุนแรงหรือเรื้อรัง หรือเจ็บปวดหรือมีการเจ็บปุวย ทางสุขภาพจิต ทำให้ขาดความสนใจ
4. การศึกษา
บุคคลที่มีการศึกษา มักจะศึกษาค้นคว้า และมีความรู้ในการดูแลรักษา ความสะอาดของร่างกายและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งทราบถึงประโยชน์ และโทษของการดูแลสุขอนามัย
2. เพศ
ความแตกต่างของเพศจะมีความต้องการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน เช่น เพศหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ
5. เศรษฐกิจ
บุคคลที่มีฐานะดี ย่อมมีโอกาสเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผม ปาก ฟัน และให้เวลากับดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลมากขึ้น หากเศรษฐกิจไม่พอเพียง ผู้ปุวยอาจต้องทำงานเพื่อ หารายได้จนไม่มีเวลาดูแลตนเอง
1. อายุ
ความแตกต่างของอายุจะมีความต้องการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลที่แตกต่าง กัน เช่น เด็กเล็กไม่สามารถดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลได้ด้วยตนเองผู้ปกครองต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
6. อาชีพ
บุคคลที่มีอาชีพเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจะมีความรู้ ความเข้าใจและให้ ความสำคัญของการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
7. ถิ่นที่อยู่การดำเนินชีวิตภายใต้ถิ่นที่อยู่ที่แตกต่างกัน
เช่น การดำเนินชีวิตในเขตเมือง และเขตชนบท จะมีการใช้ชีวิตและมีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันส่งผลให้การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
8. ภาวะเจ็บป่วย
ในภาวะการเจ็บป่วย อาจส่งผลในการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลลดลง เช่น โรคหัวใจ ระยะที่ร่างกายอ่อนเพลียทำให้การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลลดลงจึงต้องการการดูแล
9. สิ่งแวดล้อม
ในฤดูร้อนอุณหภูมิจะสูงทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าว บุคคลที่อาศัยอยู่ในที่ อากาศร้อนก็จะอาบน้ำ หรือลูบตัวบ่อยครั้ง
10. ขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อ
และวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล จะเป็นผล ต่อการดูแลตนเองเกี่ยวกับสุขอนามัยส่วนบุคคล
11.ความชอบ
เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคลที่ได้รับการฝึกอบรมด้านการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคลมาจากครอบครัว โรงเรียน และปลูกฝังจนเป็นอุปนิสัยในการดูแลตนเองด้าน ความสะอาดร่างกาย และความชอบของแต่ละบุคคล อาจไม่เหมือนกัน
3.1.3 การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
2. การพยาบาลตอนเช้า (Morning care/ A.M care)
เป็นหน้าที่ของพยาบาลเวรเช้า ที่จะให้การพยาบาลภายหลังผู้ป่วยรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เป็นการพยาบาลเพื่อดูแล สุขอนามัยส่วนบุคคลประจำวัน
3. การพยาบาลตอนบ่ายหรือตอนเย็น (Afternoon care/ P.M. care)
เป็นหน้าที่ของ พยาบาลเวรเช้า หากทำกิจกรรมภายในช่วงก่อนเวลา 16.00 น.
1. การพยาบาลตอนเช้าตรู่หรือเช้ามืด (Early morning care)
เป็นหน้าที่ความ รับผิดชอบของพยาบาลเวรดึก ที่ให้การพยาบาลตอนเช้าตรู่หรือเช้ามืด เมื่อผู้ป่วยตื่นนอนแล้ว พยาบาลจะดูแลผู้ป่วย
5. การพยาบาลเมื่อจำเป็นหรือเมื่อผู้ป่วยต้องการ (As needed care/ P.r.N. care)
พยาบาลให้การพยาบาลตามความต้องการของผู้ปุวยตลอด 24 ชั่วโมง
การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลของผู้ป่วย เป็นบทบาทอิสระของพยาบาลที่สามารถ พิจารณากระทำได้ทันทีโดยไม่ต้องมีคำสั่งของแพทย์เมื่อผู้ป่วยเข้านอนรักษาโรงพยาบาลจนถึง จำหน่ายกลับบ้าน โดยการใช้กระบวนการพยาบาลในการจัดกิจกรรมการดูแลสุขอนามัยที่ตรงกับความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันของผู้ปุวยย่อมต้องเปลี่ยนไปจากการใช้ชีวิตตามปกติที่ บ้าน พยาบาลจะให้การดูแลเพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของผู้ปุวยในเรื่องความสะอาด
4. การพยาบาลตอนก่อนนอน (Evening care/ Hour of sleep care/ H.S. care)
เป็นหน้าที่ของพยาบาลเวรบ่าย เป็นการพยาบาลที่ให้การดูแลเรื่องการให้หม้อนอนหรือกระบอกปัสสาวะ การล้างมือ ล้างหน้าทำความสะอาดปากฟัน
3.1.1 ความหมายและความสำคัญของการดูแลสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล
เมื่อบุคคลอยู่ในภาวะเจ็บป่วย จะไม่มีความสุขทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ พยาบาล จะเป็นผู้ให้การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบายแก่บุคคลเมื่ออยู่ในภาวะเจ็บปุวยนั้น การดูแล สุขอนามัยเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่พยาบาลควรตระหนักถึงเนื่องจากความสุขสบายทั้งทางร่างกาย และจิตใจจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ปุวยมีความสุขกายสุขใจ สามารถอดทน เผชิญต่อความเจ็บป่วยได้
พยาบาลใช้บทบาทอิสระในการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคลของผู้ป่วยได้อย่าง มีประสิทธิภาพ โดยใช้กระบวนการพยาบาลเป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรมการพยาบาล ดังนั้น พยาบาลจึงจำเป็นต้องรู้และเข้าใจถึงหลักการและเทคนิคปฏิบัติการพยาบาล เพื่อช่วยขจัดสิ่งที่ทำให้ ผู้ป่วยไม่สุขสบาย ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดความสุขสบายทั้งร่างกายและจิตใจ มีคุณภาพที่ดีและมี ความสุข
การดูแลสุขภาพตนเองเป็นสิ่งที่มนุษย์ปฏิบัติกันมาช้านาน การทำความสะอาดร่างกาย ตนเองเป็นพฤติกรรมสุขภาพขั้นพื้นฐานที่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ทุก วัน เพื่อสร้างความมั่นใจ ในการอยู่รวมกับสังคมได้อย่างมีความสุข
ความหมาย
สุขอนามัย (Hygiene)
หมายถึง หลักการและความรู้ของการคงไว้หรือรักษาไว้ซึ่งสุขภาพและ การปูองกันโรค โดยการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ในการส่งเสริมความสะอาดเพื่อคงไว้ซึ่งการมีสุขภาพดี
สุขอนามัยส่วนบุคคล (Personal hygiene)
คือ การดูแลตนเอง เช่น การอาบน้ำ การขับถ่าย ปัสาวะ อุจจาระ การดูแลสุขอนามัยทั่วไปของร่างกาย การแต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้า การออกกำลัง และ การพักผ่อนนอนหลับ ซึ่งขึ้นอยู่กับุคคลในการตัดสินใจ ให้คุณค่า และปฎิบัติตนเองในชีวิตประจำวันของมนุษย์ในขณะที่บุคคลนั้นมีสุขภาพดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
3.1.4 การดูแลความสะอาดร่างกาย
3.1.4.5 การดูแลทำความสะอาดของหู การดูแลทำความสะอาดหู (Ear care)
วิธีปฏิบัติ
2.ยกเครื่องใช้ไปที่เตียงของผู้ป่วยจัดวางให้สะดวกในการใช้
3.จัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่านอนหงาย
1.แนะนำตัวและอธิบายให้ผู้ป่วยทราบวัตถุประสงค์
4.สวมถุงมือ และmask
5.ใช้สำลีชุบ 0.9% NSS
6.เก็บของใช้ไปทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
7.ลงบันทึกทางการพยาบาล
เครื่องใช้
1.0.9% NSS หรือน้ำสะอาด
2.สำลีสะอาด หรือไม้พันสำลี 4 อัน
3.ผ้าสะอาด
ชามรูปไต
กระดาษเช็ดปาก
จุดประสงค์
1.กำจัดสิ่งสกปรกภายในช่องหู
2.ทำความสะอาดใบหูและหลังใบหู
3.1.4.6 การดูแลทำความสะอาดของจมูก การทำความสะอาดจมูก (Nose care)
จุดประสงค์
2.ป้องกันสารคัดหลั่งแห้งยึดขนจมูกกับสายที่คาไว้
3.ป้องกันการเกิดแผลกดทับที่ด้านในรูจมูกจากสายที่คาไว้
1.กำจัดสิ่งขับถ่ายและสิ่งสกปรกภายในจมูก
เครื่องใช้
4.ชามรูปไต
5.กระดาษเช็ดปาก
3.ผ้าก๊อซ
6.อับสำลีชุบแอลกอฮอล์70%
2.ไม้พันสำลีขนาดเล็ก 4-8 อัน
7.พลาสเตอร์ ถุงมือสะอาด และmask
1.ถาดใส่แก้วใส่น้ำสะอาดหรือ 0.9% NSS
3.1.4.4 การดูแลความสะอาดของตา การดูแลความสะอาดของตา (Eye care)
จุดประสงค์
1.กำจัดขี้ตา ทำให้ดวงตาสะอาด
2.ความสุขสบายของผู้ป่วย
3.ส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้ป่วย
เครื่องใช้
1.ถาดใส่อับสำลีชุบ 0.9% NSS และชามรูปไต
2.ถุงมือสะอาด และmask
การทำความสะอาดตา
ผู้ป่วยบางรายอาจมีขี้ตามากกว่าปกติ ขี้ตาอาจแห้งติดหนังตาหรือขนตา ซึ่งจำเป็นต้อง กำจัดออก ไปวันละ 2-3 ครั้ง
วิธีปฏิบัติ
2.ยกของใช้ไปที่เตียงผู้ป่วย จัดวางให้สะดวกในการใช้
3.จัดให้ผู้ป่วยนอนนอนตะแคงด้านที่ต้องการทำความสะอาด
1.แนะนำตัวและอธิบายให้ผู้ป่วยทราบ
4.ใส่ถุงมือสะอาด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
5.ใช้สำลีชุบ 0.9% NSS พอหมาด เช็ดจากหัวตาไปหางตา
6.พลิกตัวผู้ป่วยตะแคงด้านตรงข้าม
7.สังเกตลักษณะและจำนวนของขี้ตา
8.เก็บของใช้ทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
9.ลงบันทึกทางการพยาบาล
3.1.4.9 กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมสุขอนามัยส่วนบุคคลของผู้ป่วย
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
การประเมินผู้ปุวย (Health assessment)
3.1.4.3 การดูแลความสะอาดของเล็บ การดูแลความสะอาดของเล็บ (Nail care)
เครื่องใช้
2.อ่างใส่น้ำอุ่น
3.ถุงมือสะอาด และmask
1.ถาดใส่สบู่ ผ้าถูตัว ผ้าเช็ดตัว กรรไกรตัดเล็บ ตะไบเล็บ กระดาษรอง
วิธีการปฏิบัติ
4.ใช้ผ้าเช็ดตัวถูสบู่พอกขัดตามซอกเล็บ ง่ามนิ้ว
5.ยกอ่างน้ำออก เช็ดมือหรือเท้าให้แห้ง
3.คลี่ผ้าเช็ดตัวรองอ่างน้ำ แช่มือ หรือเท้าสักครู่
6.ปูกระดาษรอง ตัดเล็บให้ปลายเล็บตรงและข้างไม่โค้งไม่ตามซอกเล็บ
2.ยกเครื่องใช้ไปที่เตียงผู้ป่วย จัดวางให้เรียบร้อยเพื่อสะดวกในการใช้
7.ใช้ตะไบถูเล็บให้ขอบเล็บเรียบ เพื่อป้องกันผิวหนังเกิดแผลถลอกจากการขีด ข่วนของเล็บ
1.แนะนำตัวและอธิบายให้ผู้ป่วยทราบวัตถุประสงค์
เปลี่ยนน้ำล้างมือหรือล้างเท้าอีกครั้งหนึ่ง เช็ดให้แห้ง
เก็บของใช้ไปทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
10.ลงบันทึกทางการพยาบาล
จุดประสงค์
1.ให้เล็บสะอาด และสุขสบาย
2.ป้องกันการเกิดเล็บขบ
3.1.4.8 การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกของชายและหญิง
เครื่องใช้
ถุงมือสะอาด
หม้อนอน (bed pan) พร้อมผ้าคลุมหม้อนอน (bed pad) ผ้ายางผืนเล็ก
1.ผ้าปิดตา
ถาดใส่ของ ประกอบด้วย
4.3 ชุดชำระ (P-care set) ประกอบด้วย ชามกลม (bowl) สำลีก้อนใหญ่ สำหรับชำระ 7 ก้อนและปากคีบ (forceps) 1 ตัว
4.4 ภาชนะใส่ขยะ หรือกระโถน
4.2 น้ำสบู่ หรือสบู่เหลว
4.5 กระดาษช าระ 2-3 ชิ้น
4.1 น้ำเกลือ (0.9% NSS) ใช้ภายนอกหรือน้ำสะอาด
3.1.4.2 การดูแลความสะอาดปากและฟัน การดูแลทำความสะอาดปากและฟัน (Mouth care)
หลักการทำความสะอาดปากและฟัน
ผู้ป่วยที่มีปัญหาในช่องปาก มีแผล ปากแห้ง ไม่สามารถรับประทานอาหาร
ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว พยาบาลต้องทำความสะอาดปากและฟันให้เป็นพิเศษ
แปรงฟันทุกซี่ ทุกด้าน นาน 5 นาที เพื่อขจัดคราบหินปูน และเศษอาหารใน เวลาเช้า
วิธีการทำความสะอาดปากและฟันผู้ป่วยที่ช่วยตนเองได้
นำเครื่องใช้ไปที่เตียงผู้ป่วย เพื่อประหยัดเวลาและแรงงาน
ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าศีรษะสูง หรือท่านั่ง เพื่อความสะดวกของผู้ป่วย
พยาบาลแนะนำตนเอง บอกให้ผู้ป่วยทราบและอธิบายวัตถุประสงค์
ล้างมือและสวมถุงมือ เพื่อป้องกันจุลินทรีย์
ปูผ้ากันเปื้อนใต้คาง วางชามรูปไตใต้คาง
ให้บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด และแปรงฟันตามขั้นตอน
6.2 แปรงฟันล่าง วางขนแปรงที่รอยต่อระหว่างเหงือกและฟัน
6.3 วางขนแปรงบนด้านบนของฟันบดเคี้ยว
6.1 แปรงฟันบนด้านนอกและด้านใน วางแปรงหงายขึ้น
6.4 บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด
6.5 ควรแปรงลิ้น (ถ้าทำได้) วางแปรงบริเวณกลางลิ้น
6.6 ให้บ้วนปากและกลั้วคอด้วยน้ ายาบ้วนปาก เพื่อให้ปากสะอาดสดชื่น
6.7 ถ้าริมฝีปากแห้ง ให้ทาด้วยวาสลินทาปาก
6.8 เก็บของใช้ไปท าความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
6.9 ลงบันทึกทางการพยาบาล
วัตถุประสงค์
กำจัดกลิ่นปาก ลมหายใจสดชื่น ปูองกันฟันผุ
ลดการอักเสบของเหงือก กระพุ้งแก้ม
ปากและฟันสะอาด มีความชุ่มชื่น
สังเกตฟัน เหงือก กระพุ้งแก้ม ลิ้น มีแผล หรือการติดเชื้อ หรือเลือดออกหรือฝ้าในช่องปาก
การทำความสะอาดปากฟันในผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อยเครื่องใช้
น้ำยาบ้วนปาก เช่นน้ำเกลือ น้ำยาบ้วนปาก (special mouth wash)
แก้วน้ำ
ลูกสูบยางแดง (baby ball หรือ syringe ball)
ไม้พันสำลี
syringe 10 cc
ชามรูปไต
ไม้กดลิ้น หรือไม้กดลิ้นพันสำลี
3% hydrogen peroxide
สารหล่อลื่นทาริมฝีปาก เช่น วาสลินทาปาก
วิธีทำความสะอาดปากฟันผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย
ใช้ไม้กดลิ้น พันด้วยผ้าก๊อซเพื่อช่วยอ้าปาก
ตรวจดูสภาพของเยื่อบุปาก เหงือก ฟัน และลิ้น ถ้าหาเยื่อบุช่องปากแห้ง
ทำความสะอาดเหมือนการแปรงฟันด้านนอก
ทำความสะอาดเหมือนการแปรงฟันด้านใน ด้านบดเคี้ยวให้ทั่ว
ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำยาบ้วนปาก
สูบฉีดล้างช่องปากให้ทั่ว ดูดน้ำออกให้หมด
ตรวจดูสภาพของปากและฟัน
เช็ดปากให้ผู้ป่วย ถ้าริมฝีปากแห้งทาด้วยวาสลิน
เก็บของใช้ไปทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
ลงบันทึกทางการพยาบาล
ใช้ลูกสูบยางดูดน้ำฉีดล้างช่องปากและในซอกระหว่างกระพุ้งแก้มและฟัน
3.1.4.7 การดูแลความสะอาดของเส้นผมและหนังศีรษะ
วัตถุประสงค์
2.ความสุขสบายและสดชื่นของผู้ป่วย
3.ส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้ป่วยและรู้สึกมีความมั่นใจ
1.ขจัดความสกปรกและสารที่ใส่บนผม และหนังศีรษะเพื่อการตรวจรักษา
เครื่องใช้
รถเข็นสระผมเคลื่อนที่ พร้อมถังรองน้ำทิ้ง
ผ้ายางรองสระผม
1.ถาดใส่ยาสระผม หวีหรือแปรงผม ที่หนีบผ้า (ถ้าใช้ผ้ายางเป็นอุปกรณ์รองรับ น้ำจากศีรษะ) ผ้าเช็ดตัว 2 ผืน สำลี 2 ก้อน ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก 1 ผืน แก้วน้ำ และน้ำมันมะกอก (ถ้ามี)
เครื่องเป่าผม
ถุงมือสะอาด และmask
3.1.4.1 การดูแลความสะอาดของผิวหนัง/ การอาบน้ำ (Bathing)
2.การอาบน้ำผู้ป่วยบนเตียงเฉพาะบางส่วน (Partial bath)
3. การอาบน้ำผู้ป่วยบนเตียงชนิดสมบูรณ์ (Complete bed bath)
จุดประสงค์การนวดหลัง
ให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดความตึงตัว
กระตุ้นผิวหนังและต่อมเหงื่อให้ทำงานดีขึ้น
ป้องกันแผลกดทับ
สังเกตความผิดปกติของผิวหนังบริเวณหลัง
กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
เครื่องใช้
ครีมหรือโลชั่นทาตัวหรือแป้ง
ผ้าห่ม 1 ผืน และผ้าเช็ดตัว 1ผืน
การนวดหลัง (Back rub or back massage)
เป็นศิลปะที่ใช้การสัมผัสด้วยมือที่ นุ่มนวลมีจังหวะ มีความหนักเบาและยังเป็นการสื่อสารติดต่ออย่างหนึ่งในการพยาบาลผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจและมีสัมพันธภาพที่ดีกับพยาบาล มักจะกระทำหลังจากการอาบน้ำหรือก่อน นอน มีหลักการนวดหลัง
จัดท่าให้ผู้ป่วยสุขสบาย
ไม่นวดบริเวณที่มีการอักเสบ มีแผล กระดูกหัก ผู้ปุวยโรคหัวใจ ภาวะมีไข้ โรค ผิวหนัง โรคมะเร็งระยะลุกลามแพร่กระจาย
ไม่นวดแรงเกินไปจนผู้ป่วยเจ็บ
นวดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
เลือกใช้แปูงหรือโลชันหรือครีม เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
ใช้เวลานวดประมาณ 5-10 นาที
วิธีปฏิบัติ
นำเครื่องใช้ต่าง มาวางที่โต๊ะข้างเตียง กั้นม่านให้มิดชิด
ล้างมือ
แนะนำตนเองบอกให้ผู้ป่วยทราบและอธิบายวัตถุประสงค์
จัดท่านอนคว่ำและชิดริมเตียงด้านพยาบาลยืนมีหมอนเล็ก รองใต้หน้าอก ศีรษะไปข้างใดข้างหนึ่ง
เลื่อนผ้าห่มมาบริเวณก้นกบ ปูผ้าเช็ดตัวทับบนผ้าห่ม ถ้านอนตะแคงให้ปู ผ้าเช็ดตัวตามแนวยาวบนหลังผู้ป่วย เพื่อป้องกันผ้าปูที่นอนเปื้อนและไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกอาย
ทาแป้งหรือทาครีม หรือโลชั่น (เพียงอย่างเดียว)
นวดบริเวณหลังเรียงลำดับตามขั้นตอน ดังนี้
7.1 Stroking
7.2 Friction
7.3 Kneading
7.4 Beating
7.5 Hacking
7.6 Clapping
7.7 Stroking
ลงบันทึกทางการพยาบาล
เก็บของเครื่องใช้ไปทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
สวมเสื้อผ้าให้ผู้ป่วยและจัดให้นอนในท่าที่สบาย
จุดประสงค์การอาบน้ำผู้ป่วยบนเตียง
ประเมินการเคลื่อนไหวของร่างกายและส่งเสริมการออกกำลังกายของข้อต่าง
สังเกตความผิดปกติของผิวหนัง
ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย สดชื่นและผ่อนคลาย
กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและปูองกันแผลกดทับ การอาบน้ำผู้ป่วยบนเตียงชนิดสมบูรณ์
กำจัดสิ่งสกปรก ที่สะสมบนผิวหนังและส่งเสริมความมั่นใจในตนเอง
1. การอาบน้ำที่ห้องน้ำ (Bathing in bath room/ Shower)
3.2 การส่งเสริมการพักผ่อนนอนหลับ
3.2.4 วงจรการนอนหลับ
1.ช่วงหลับธรรมดา (Non-rapid eye movement sleep: NREM)
ระยะที่ 2 (หลับตื้น)
การหลับในช่วงต้น เป็นสภาพที่ไม่ได้ยินเสียงรบกวน จากภายนอก เป็นระยะแรกที่มีการหลับอย่างแท้จริง แต่ยังไม่มีการฝัน ระยะนี้จะถูกปลุกให้ตื่นได้ โดยง่าย
ระยะที่ 3 (หลับปานกลาง)
ทั้งคลื่นสมองและชีพจรจะเต้นช้าลง ความมีสติ รู้ตัวจะหายไป การเคลื่อนไหวของตาจะหยุดลง แม้ได้รับสิ่งเร้าจากภายนอกก็จะไม่ตื่นโดยง่าย ขั้นนี้จะ ใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที
ระยะที่ 1 (เริ่มมีความง่วง)
เป็นช่วงเริ่มหลับที่เปลี่ยนจากการตื่นไปสู่ การ นอน ในคนทั่วไปใช้เวลาตั้งแต่ 30 วินาที - 7 นาทีเป็นสภาพที่แม้จะได้รับการกระตุ้นเพียงเล็กน้อยก็ จะตื่น
ระยะที่ 4 (หลับลึก)
เป็นช่วงหลับสนิทของการนอน ใช้เวลา 30 - 50 นาที หากว่าร่างกายนอนหลับโดยปราศจากระยะที่ 4 นี้
2. ช่วงหลับฝัน (Rapid eye movement sleep: REM)
ช่วงเวลาหลับฝันนี้จะกินเวลาประมาณ 30 นาที หลังจากผ่านช่วงหลับฝันไปแล้ว ก็จะกลับเริ่ม ที่ระยะที่ 1 ของ NREM ใหม่ หมุนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อย โดยแต่ละรอบจะใช้เวลา 80-120 นาที ใน คืนหนึ่งที่เรานอนจะหมุนผ่านวงจรแบบนี้ไปหลายรอบ ขึ้นกับระยะเวลาการนอน บางคืนจึงฝันได้ หลายเรื่อง นอกจากนี้ระยะเวลาของ REM จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ในแต่ละรอบในรอบใกล้เช้าหรือรอบหลัง เวลาของ REM จึงยาวนานมากขึ้น
3.2.5 ปัจจัยที่มีผลต่อการพักผ่อนและการนอนหลับ
3.2.5.1 ปัจจัยภายใน
2.ความไม่สุขสบาย มีสาเหตุความไม่สุขสบายที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล
2.การใส่สายยางและท่อระบายต่างๆ
จากสายยางและท่อ ระบายต่าง เช่น สายน้ าเกลือ สายสวนปัสสาวะ สายให้ออกซิเจน
3.ท่านอนที่ไม่เหมาะสม
ท่านอนมีผลต่อคุณภาพการนอนหลับ พบว่า ท่านอนของผู้ปุวยที่นอนหลับไม่ เพียงพอ มักเป็นท่านอนหงาย หรือนอนในท่าที่หลัง และไหล่เหยียดตรงเป็นเวลานาน
1.ความเจ็บปวด
พบว่าความเจ็บปวดเป็นปัจจัยกวนการนอน หลับด้านร่างกายมากที่สุด
4.อาการคลื่นไส้ อาเจียน
มักพบหลังจากได้รับยาระงับรู้สึกทั่ว ร่างกาย (general anesthesia) หรือการได้รับยาชาเฉพาะที่ (local anesthesia)
5.ภาวะไข้หลังผ่าตัด
การมีอุณหภูมิร่างกายสูงหลังผ่าตัดเป็น ปฏิกิริยา การตอบสนองของร่างกาย จะมีไข้ต่ำ หลังการผ่าตัด 3-4 วัน ท าให้เกิดความไม่สุข สบาย และนอนไม่หลับได้
3.ความวิตกกังวล
จากผลงานวิจัยของนงลักษณ์ ทัศเกตุ พบว่า ความกลัวและความวิตกกังวลในเรื่องต่าง เป็นปัจจัยรบกวนคุณภาพของการนอนหลับ อยู่ในระดับ 3.03 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน ความวิตกกังวลมักเกิดจากสิ่งที่คุกคามต่อสวัสดิภาพของร่างกาย และจิตใจ
1.ปัจจัยส่วนบุคคล
1.อายุ
เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ท าให้แบบแผนการนอนหลับ เปลี่ยนแปลง โดยมีผลต่อวงจรการนอนหลับ ตั้งแต่วัยทารกถึงวัยสูงอายุ ในผู้สูงอายุการนอนหลับจะ ลดลงทั้งปริมาณและคุณภาพ
2.เพศ
โดยธรรมชาติแล้วเพศชายจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบ แผนการนอนหลับได้เร็วและมากกว่าเพศหญิง 10-20 ปี เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น พบว่าการนอน หลับระยะ REM ลดลง ตื่นขณะหลับ เพศหญิงจะพบการนอนที่เปลี่ยนแปลงนี้ในวัยกลางคน
3.2.5.2 ปัจจัยภายนอก
4.ความไม่คุ้นเคยต่อสถานที่สิ่งแวดล้อมของโรงพยาบาล
การ เปลี่ยนที่นอนเกิดความไม่คุ้นเคยต่อสถานที่
3.แสง
แสงเป็นปัจจัยที่รบกวนการนอนหลับ โดยส่งผลต่อระยะการ เริ่มต้นของการนอนหลับ
5. กิจกรรมการรักษาพยาบาล
กิจกรรมการรักษาพยาบาลที่ผู้ป่วย ได้รับตามเวลา
2.อุณหภูมิ
อุณหภูมิที่ต่ำหรือสูงเกินไป จะทำให้ผู้ปุวย กระสับกระส่ายเพิ่มขึ้น และตื่นบ่อยขึ้น
6. อาหาร
การรับประทานอาหารที่มีสารทริพโทแฟ็น(tryptophan) ซึ่งมีอยู่ในนมจะส่งเสริมการนอนหลับ
1.เสียง
เสียงเป็นปัจจัยสำคัญที่เกิดขึ้นในขณะนอนใน โรงพยาบาล แหล่งของเสียงรบกวนพบบ่อยที่สุด
7. ยา
ยาที่รบกวนการนอนหลับ ได้แก่ ยาบาบิทูเรต (barbiturates) โดยยาจะไปออกฤทธิ์รบกวนการนอนหลับในระยะ REM เกิดฝันร้ายและภาพหลอน
3.2.3 ผลกระทบจากปัญหาการนอนหลับ
3.2.3.2 ผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์
ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของ อารมณ์ได้ง่าย
3.2.3.3 ผลกระทบต่อสติปัญญาและการรับรู้เมื่อนอนหลับไม่เพียงพอ
ทำให้การปฏิบัติกิจกรรมในช่วงกลางวันลดลง สมาธิไม่ดี
3.2.3.1 ผลกระทบต่อร่างกาย
ทำให้เกิดอาการเปลี่ยนแปลงต่าง เช่น อาการเมื่อยล้าคลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก ปวดศีรษะ วิงเวียนเหมือนบ้านหมุน (vertigo) ความทนต่อ ความเจ็บปวดลดลง กล้ามเนื้อคออ่อนแรง ความคิดและการรับรู้บกพร่อง เหนื่อยล้า เฉื่อยชา การพูด เสียไป ตัดสินใจได้ช้าและรู้สึกว่าตนเองมีการตอบสนองต่อการกระตุ้นจากสิ่งเร้าได้ง่าย
3.2.3.4 ผลกระทบทางสังคม
บุคคลที่นอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลทาง สังคม ได้แก่การมีปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวและสังคมลดลง
3.2.6 การประเมินคุณภาพการนอนหลับและ การนอนหลับที่ผิดปกติ
3.2.6.2 Hypersomnia เป็นการนอนหลับมาก หรือง่วงนอนมากกว่าปกติ ซึ่ง จะแสดงออก ในแง่การนอนหลับในที่ไม่ควรหลับ
3.2.6.3 Parasomnia
2.ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในช่วงจากหลับมาตื่น หรือจากตื่นมาหลับ
ได้แก่ อาการขากระตุกขณะกำลังหลับ (hypnic jerks) ละเมอพูด (sleep talking) ศีรษะโขกก าแพง (head banging)
3.กลุ่มอาการที่เกิดขึ้นขณะหลับชนิดที่มีการกรอกตา
ได้แก่ ภาวะฝัน ร้าย (nightmares) ภาวะผีอำ (sleep paralysis)
1.ความผิดปกติของการตื่น (around disorder)
ได้แก่อาการ สับสน (confusion arousals) ละเมอเดิน (sleepwalking) ฝันร้าย (sleep terror)
4.กลุ่มอื่นๆ
ได้แก่ การนอนกัดฟัน (sleep bruxism) การปัสสาวะรด ที่นอนขณะหลับ (sleep enuresis) การกรน (primary snoring)
3.2.6.1 Insomnia
2.การนอนหลับไม่เพียงพอระยะสั้น (Short term insomnia)
เป็นการนอนหลับไม่เพียงพอเป็นระยะเวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์
3.การนอนหลับไม่เพียงพอแบบเรื้อรัง (Chronic insomnia)
เป็นการนอนหลับไม่เพียงพอเกิดขึ้นนานกว่า 1 เดือนขึ้นไป
1.การนอนหลับไม่เพียงพอชั่วคราว (Transient insomnia)
เป็น การนอนหลับไม่เพียงพอเป็นช่วงเวลาสั้น 3- 5 วัน
3.2.2 ความสำคัญของการพักผ่อนและการนอนหลับ
2. ซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อขึ้นใหม่
ช่วยส่งเสริมการหายของแผลรวมถึงมีการช่วย สะสมพลังงานไว้ใช้ในวันต่อไป
3. สงวนพลังงาน
พลังงานที่ใช้ของร่างกายและสมองจะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงตื่นขณะอยู่เฉย โดยประมาณการลดพลังงานร้อยละ 15 ช่วงการนอนหลับระยะนี้จะมีการสงวนพลังงาน
1. ส่งเสริมการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
โดยมีการสร้างและสะสมพลังงาน ในขณะหลับ เวลาที่หลับสนิทในช่วงแรกในสามส่วนของการหลับทั้งคืนนั้น
4. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และความจำเนื่องจากการนอนหลับในระยะ (Rapid eye movement sleep: REM)
จะมีการทำงานของระบบประสาทเต็มที่ มีการกระตุ้นให้ความจำระยะสั้น เป็นความจำระยะยาวได้
การนอนหลับ
เป็นพฤติกรรมพื้นฐานเพื่อก่อให้เกิดความสมดุลของร่างกายและจิตใจ ในการด ารงชีวิต การนอนหลับจึงเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดและมีความสำคัญ
5. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
โดยศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายอยู่ใต้สมองส่วน ไฮโปธาลามัสและต่อมใต้สมองส่วนหน้าทำหน้าที่ในการควบคุมอุณหภูมิเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
3.2.1 ความหมายและความสำคัญการพักผ่อนนอนหลับ
การพักผ่อน (Rest)
หมายถึง ผ่อนคลาย และมีความสงบทั้งจิตใจและร่างกาย รวมถึง ความไม่วิตกกังวล สงบหรือผ่อนคลายโดยไม่มีความเครียดทางอารมณ์
การพักผ่อนของผู้ป่วยในโรงพยาบาล
1. Absolute bed rest
เป็นการพักผ่อนโดยให้ผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียง ไม่ให้ ร่างกายออกแรงในกิจกรรมใด ที่จะทำให้รู้สึกเหนื่อย ห้ามลุกออกจากเตียง การทำกิจกรรมการ พยาบาล พยาบาลจะต้องเป็นผู้จัดกิจกรรมให้
2. Bed rest
เป็นการพักผ่อนโดยให้ผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียง สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ตามความสามารถของผู้ป่วย
การพักผ่อน (Rest)
หมายถึง การพักกิจกรรมการทำงานของร่างกาย หรือการพักการ ทำงานของอวัยวะต่าง โดยนั่งเฉย ชั่วขณะหนึ่ง อาจทำกิจกรรมเบา นันทนาการ เปลี่ยน อิริยาบท หรือชมวิว เพื่อให้อวัยวะได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ลดความกังวล
3.2.8 การทำเตียง
2.การทำเตียงผู้ปุวยลุกจากเตียงได้ (Open/unoccupied bed)
3.การทำเตียงผู้ปุวยลุกจากเตียงไม่ได้ (Occupied bed)
1.การทำเตียงว่าง (Close bed)
4.การทำเตียงรับผู้ปุวยหลังผ่าตัดและผู้ปุวยที่ได้รับยาสลบ (Surgical/ ether/anesthetic bed)
การทำเตียง (Bed making)
เป็นการส่งเสริมการพักผ่อนกลการนอนหลับให้มี ความสุข มีคุณภาพการนอนหลับที่ดี พยาบาลต้องดูแลจัดความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยให้ผู้ปุวย นอนหลับได้อย่างมีความสุขตลอดระยะเวลาขณะที่นอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
หลักปฏิบัติการทำเตียง
1.เตรียมของพร้อมใช้ตามลำดับก่อนหลังและวางให้ง่ายในการหยิบใช้สะดวก
2.จัดบริเวณรอบ ให้สะดวกต่อการปฏิบัติ
3.วางผ้าให้จุดกึ่งกลางของผ้าทับลงตรงจุดกึ่งกลางของที่นอน
4.ควรทำเตียงให้เสร็จทีละข้าง โดยเริ่มจากผ้าปูที่นอน ผ้ายางขวางเตียง ผ้าขวางเตียง ใส่ปลอก หมอน
5.คลุมผ้าคลุมเตียง วางผ้าห่มและและผ้าเช็ดตัวที่ราวพนักหัวเตียง จัดโต๊ะข้างเตียงให้เรียบร้อย
6.ไม่ควรสะบัดผ้าหรือปล่อยให้เสื้อผ้าที่สวมอยู่สัมผัสกับเครื่องใช้ของผู้ป่วย
7.หากมีปูเตียงที่มีผู้ป่วยควรแจ้งให้ผู้ปุวยทราบก่อนการปฏิบัติ
8.รักษาท่าทางให้อยู่ในลักษณะที่ดี
9.หันหน้าไปทิศทางในงานที่จะทำไม่ควรบิดหรือเอี้ยวตัว
10.ควรใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ในการหยิบของและควรย่อเข่าแทนการก้มทำงานอย่างนุ่มนวลและ สม่ำเสมอ
11.ยึดหลักการทำเตียงให้เรียบ ตึง ไม่มีรอยย่น สะอาด ไม่เปียกชื้น
การทำเตียงว่าง
เป็นการทำเตียงที่ผู้ป่วยจำหน่ายออกจากหอผู้ป่วย เพื่อเตรียมรับ ผู้ป่วยใหม่ หรือทำเตียงที่ผู้ป่วยสามารถลงเดินช่วยเหลือตนเองได้
จุดประสงค์
1.จัดสิ่งแวดล้อมสะอาดให้ส่งเสริมความสุขสบาย ให้หอผู้ป่วยเป็นระเบียบ เรียบร้อย สวยงามน่าอยู่พักอาศัย
2.จัดเตรียมความพร้อมเตรียมรับผู้ป่วยใหม่
3.2.7 การส่งเสริมการพักผ่อนการนอนหลับ
3.2.7.1 การจัดสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญยิ่งสำหรับผู้ปุวยที่เข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลเพราะช่วยให้ผู้ปุวยสุขสบาย พักผ่อนได้ และหายจากโรคเร็วขึ้น ผู้ปุวยที่เข้ามารักษาตัว ในโรงพยาบาลย่อมมีความรู้สึกไม่สบายทั้งร่างกาย และจิตใจ
3.2.7.2 การจัดท่าทางสำหรับผู้ป่วย
การจัดท่าทาง เป็นการ เปลี่ยนอิริยาบถของผู้ปุวยเพื่อส่งเสริมความสุข สบาย เมื่อนอนอยู่บนเตยง หรือลุกออกจากเตียง