Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สัญญาณชีพ และ อุณหภูมิร่างกาย - Coggle Diagram
สัญญาณชีพ
และ อุณหภูมิร่างกาย
สัญญาณชีพ (Vital signs)
ความหมาย
สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการมีชีวิต สามารถสังเกตและตรวจพบได้จาก อุณภูมิ ชีพจร การหายใจ และความดันโลหิต สิ่งเหล่านี้เกิดจากการทำการของอวัยวะของร่างกาย ได้แก่ หัวใจ ปอด สมอง ระบบไหลเวียนเลือด และระบบหายใจ
ข้อบ่งชี้ในการวัดสัญญาณชีพ
ก่อนและหลังการตรวจวินิจฉัยโรคที่ต้องใส่เครื่องมือตรวจเข้าไปภายในร่างกาย
ก่อนและหลัง การให้ยาชนิดที่มีผลต่อหัวใจและหลอดเลือด การกายใจ และ การควบคุมอุณหภูมิร่างกาย
ก่อนและหลังการผ่าตัด
เมื่ิอสภาพร่างกายของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลง
วัดตามระเบียบแบบแผนที่ปฏิบัติของโรงพยาบาล หรือ ตามแผนรักษาของแพทย์
ก่อนและหลังการให้การพยาบาลที่มีผลต่อสัญญาณชีพ
เมื่อแรกรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล
ค่าปกติของสัญญาณชีพ
ชีพจร 60 - 100 ครั้ง/นาที
หายใจ 12 - 20 ครั้ง/นาที
อุณหภูมิ 36.5 - 37.5 องศสเซลเซียส
ความดันโลหิต
Systolic 90 - 140 mmHg
Diastolic 60 - 90 mmHg
สัญญาณชีพของแต่ละบุคคล จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ การตรวจชีพจรในขณะพัก หรือหลังการเคลื่อนไหว
อุณหภูมิของร่างกาย
มีหน่วยเป็น
องศาเซลเซียส
องศาฟาเรนไฮต์
อุณหภูมิร่างกาย แบ่งเป็น 2 ชนิด
อุณหภูมิส่วนแกนกลาง (Core temperature)
เป็นอุณหภูมิของเนื้อเยื่อชั้นลึก (Deep tissue)
อุณหภูมิผิวนอก (Surface temperature)
เป็นอุณหภูมิเนื้อเยื่อชั้นผิว (Skin subcutaneous tissue fat)
หลอดเลือดส่วนปลาย และอวัยวะส่วนปลาย
เกิดจากความสมดุลของการสร้างความร้อนของร่างกาย และการสูญเสียความร้อนจากร่างกายไปยังสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างความร้อน และการระบายความร้อนออกจากร่างกาย
กลไกลของร่างกาย (Physiological mechanisms)
การทำงานของกล้ามเนื้อ
การเพิ่มการหลังฮอร์โมนไทร็อกซิน
อัตราการใช้พลังงานของร่างกายเพื่อกำรงกิจกรรมที่จำเป็น
ภาวะไข้
การเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย
ชนิดกลไกของร่างกาย
การนำความร้อน (Conduction)
การระบายความร้อนโดยอาศัยสื่อร่างกายต้องสัมผัสโดยตรงกับสิ่งที่เย็นกว่าซึ่งอาจจะเป็นอากาศรอบตัวหรือวัตถุ
การพาความร้อน (Convection)
การระบายความร้อนโดยอาศัยตัวกลาง
การแผ่รังสี (Radiation)
การส่งผ่านความร้อนในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
การระเหยเป็นไอ (Evaporation)
การระบายความร้อนออกมาโดยการระเหยจากพื้นผิวของร่างกาย
การระบายความร้อนออกมาโดยการระเหยของน้ำ
กลไกของการเกิดพฤติกรรม (Behavioral mechanism)
การลดกิจกรรมต่างๆ
เพิ่มพื้นที่ผิวให้สามารถระบายความร้อน
การถอดเสื้อผ้า หรือ สิ่งตกแต่งที่ทำให้อุ่น
เคลื่อนย้ายไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็น
ปัจจัยที่มีผลต่ออุณห๓ูมิของร่างกาย
การประเมินอุณหภูมิของร่างกาย
อุปกรณ์ที่ใช้
ถาดพร้อมแก้วที่บรรจุปรอท น้ำสบู่ และน้ำยาฆ่าเชื้อ
วาสลินสำหรับหล่อลื่น
เทอร์โมมิเตอร์
นาฬิกาที่มีเข็มวินาที
ภาชนะที่ใส่สำลี และ กระดาษชำระที่สะอาด
ชามรูปไต
ปากกาน้ำเงิน และ ปากกาแดง
กระดาษบันทึก
วิธีการประเมิน
ตรวจสอบการทำงานของปรอท
จัดท่าผู้ป่วย
บอกให้ผู้ป่วยทราบ
วัดอุณหภูมิร่างกาย
ล้างมือให้สะอาด
เอาเทอร์โมมิเตอร์ออก
อ่านค่าอุณหภูมิที่ได้
บันทึกลงกระดาษที่เตรียมไว้
นำอุปกรณ์ไปล้างให้สะอาด และ เก็บเข้าที่
ข้อควรระวัง
เทอร์โมมิเตอร์ที่ใช้วัดทางปาก และ ทางทวารหนัก ให้แยกภาชนะที่เก็บรักษา และ แยกทำความสะอาด
เทอร์โมมิเตอร์ที่ใช้วัดทางรักแร้ให้เช็ดรักแร้ให้แห้ง และหุบรักแร้ให้แน่น
ห้ามนำเทอร์โมมิเตอร์ที่วัดทางปากไปวัดทางทวารหนัก หรือ ห้ามนำเทอร์โมมิเตอร์ที่วัดทางทวารหนักไปวัดทางปาก
เทอร์โมมิเตอร์ที่วัดทางทวารหนัก ต้องทาวาสลินให้ลื่นเสียก่อน
ไม่ควรวัดอุณหภูมิทางปาก หลังจากดื่มน้ำเย็น หรือร้อน ให้รออย่างน้อย 15 นาที
สลัดเทอร์โมมิเตอร์ให้ต่ำกว่า 35 องศา้ซลเซียส หรือ 95 องศสฟาเรนไฮต์
เช็ดเทอร์โมมิเตอร์ทันทีหลังจากเอาออกจากผู้ป่วย
ห้ามนำเทอร์โมมิเตอร์ไปวางไว้นอกภาชนะที่ใส่เทอร์โมมิเตอร์
ถ้าอุณหภูมิที่วัดได้ต่ำ หรือ สูงมากกว่าปกติ ให้วัดซ้ำ
บันทึกผลที่ได้ลงในสมุดบันทึกทันที
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดอุณหภูมิของร่างกาย เรียกว่า Thermometer หรือ ปรอท
ตำแหน่ง
ทางรักแร้ (Axillary temperature)
ทางทวารหนัก (Rectal temperature)
ทางปาก (Oral temperature)
การใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic temperature)
การวัดทางหู
การวัดทางผิวหนัง
ภาวะอุณหภูมิร่างการผิดปกติ และ การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอุณภูมิของร่างกายผิดปกติ
อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ (Hyperthermia)
ทำให้เกิดภาวะไข้
ระยะไข้
เกิดขึ้นเมื่อกลไกการผลิตความร้อนของร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึงระดับใหม่ที่กำหนดไว้
อาการ อาการแสดง
หน้าแดง
ผิวหนังอุ่น
รู้สึกร้อน หรือ หนาว
กระสับกระส่าย
ง่วง หลับเกือบตลอดเวลา
เบื่ออาหาร
เหงื่อออกมาก
ปวดศีรษะ
ชีพจร และ หายใจเร็ว
ในเด็ก อาจมีอาการชัก
ระยะสิ้นสุดไข้
เกิดขึ้นเมื่อกลไกการผลิตความร้อนของร่างกายทำงานเพิ่มขึ้น พยายามที่จะลดอุณหภูมิภายในร่างกาย ไปสู่อุณหภูมิใหม่
อาการ อาการแสดง
ผิวหนังแดง และอุ่น
มีเหงื่อออก
อาการหนาวสั่นลดลง
เกิดภาวะขาดน้ำ
ระยะเริ่มต้น
เกิดขึ้นเมื่อกลไกการผลิตความร้อนของร่างกาย พยายามเพิ่มอุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้น
อาการ อาการแสดง
อัตราการเต้นของชีพจรและการหายใจ เพิ่มขึ้น
หนาวสั่น
ซีด
ผิวหนังเย็น
เหงื่อออกน้อย
การลูบตัวลดไข้
ด้วยน้ำเย็นจัด (Cold sponge)
ด้วยน้ำอุ่น (Warm sponge)
ด้วยน้ำธรรมดา (Tepid sponge)
ด้วยแอลกอฮอล์ (Alcohol sponge)
การพยาบาลผู้ป่วย
วัดอุณหภูมิร่างกายภายหลังการเช็ดตัวหรือหลังให้ยาลดไข้ 30 นาที
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อทำลายเชื้อจุลชีพ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาลดไข้ตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อลดอุณหภูมิ Set point ให้อยู่ในระดับต่ำลง
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
ดูแลเช็ดตัวลดไข้ (Tepid sponge bath)
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับความอบอุ่นในระยะที่มีอาการหนาวสั่น
จัดสภาพแวดล้อมให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตสูงอาหารอ่อนย่อยง่าย
ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนควรจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมแก่การพักผ่อน
แนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ ในรายที่ไม่มีข้อห้าม
บันทึกปริมาณน้ำเข้า-น้ำออก (VO)
ดูแลช่องปากให้เยื่อบุชุ่มชื้นทำความสะอาดช่องปากบ่อย ๆ ในกรณีที่ผู้ป่วยปากแห้งเนื่องจากการสูญเสียน้ำ
เตรียมเสื้อผ้าแห้งให้ผู้ป่วยใส่
ติดตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกาย
อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ (Hypothermia)
ภาวะที่อุณหภูมิแกนกลางของร่างกายต่ำกว่าอุณหภูมิปกติคือต่ำกว่า 36 ° C (97 ° F) เรียกว่า Subnormal temperature หรือ Hypothermia
การพยาบาลผู้ป่วย
จัดสิ่งแวดล้อมให้อบอุ่นปิดเครื่องปรับอากาศหรือปรับอุณหภูมิสูงขึ้น
เพิ่มความหนาของผ้าห่มหรือเพิ่มจำนวนผ้าห่มให้เกิดความอบอุ่นเพิ่มขึ้น
วางกระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าห่มไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความอบอุ่นระวังอันตรายจากไฟฟ้า
คลุมหรือโพกศีรษะด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อน
ให้ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มอุ่น ๆ เป็นการเพิ่มอุณหภูมิแก่ร่างกายโดยการนำความร้อน
ถูและนวดผิวหนังจะช่วยเพิ่มความร้อนให้กับผิวหนังโดยการเสียดสี
ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจใช้การโอบกอดเพื่อได้รับไออุ่นจากผู้สวมกอด
ให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วยโดยการอยู่กับผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวิตกกังวล
สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดค้นหาสาเหตุของอาการหนาวสั่น