Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดำเนินชีวิตและการดูแลสุขภาพ ตามความเชื่อของศาสนาพุทธ - Coggle Diagram
การดำเนินชีวิตและการดูแลสุขภาพ
ตามความเชื่อของศาสนาพุทธ
[1] หลักคำสอนในพุทธศาสนา
{1.1} ศีล 5 เป็นหลักปฏิบัติพื้นฐานของชาวพุทธ
ข้อ 1 ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
ศีลข้อ 3 กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
ศีลข้อ 4 มุสาวาทา เวรมณี งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
ศีลข้อ 5 สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
ข้อ 2 อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้
{1.2} ศาสนาพุทธ กับความจริงความจริงสูงสุด
อริยสัจ (The Four Noble Truths)
สมุทัย คือ เหตุเกิดแห่งทุกข์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง
นิโรธ คือหนทางการความดับทุกข์ ดับความอยาก
สิ้นราคะตันหา สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ
ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก อยู่ในภาวะบีบคั้น กดดัน ขัดแย้ง และมีความบกพร่อง
มรรค ทางปฏิบัติในการออกจากทุกข์ 8 ประการ
สัมมาทิฏฐิ = มีความเห็นถูกต้อง ความไม่รู้ก่อให้เกิดความเห็นผิด
สัมมาสังกัปปะ = มีความคิดถูกต้อง คู่กับสัมมาทิฏฐิ
สัมมาวาจา = ควบคุมวาจาของตน ไม่กล่าวเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ
สัมมากัมมันตะ = การประพฤติทที่ถูกต้อง รักษากริยาทางกาย ไม่ทำร้ายทำลายชีวตบุคคลอื่น ไม่ลักขโมยฉ้อโกง ไม่ละเมิดทางเพศ อยุ่ในกรอบศีลรรมจรรยา
สัมมาอาชีวะ = ประกอบอาชีพในทางสุจริต เว้นจากการค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ ยาพิษ เนื้อ สุรา ไม่ข่มขู่ กินสินบน เจ้าเล่ห์
สัมมาวายามะ = พยายามที่จะหยุดความคิดที่ชั่ว ควบคุมตนเอง มีวินัยในตนเอง ไม่ปลุกเร้าและหยุดอกุศลวิตก
สัมมาสติ = การรู้สึกตัวอยู่เสมอใจ มีสติกับ กำหนดการเคลื่อนไหวของกาย กำหนดที่ความรู้สึกเวทนา เจ็บ กำหนดความนึกคิด
สัมมาสมาธิ = การที่จิตใจสงบ มีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน พร้อมที่จะพิจารณาสัจภาวะ
ปฏิจจสมุปบาท (The Law of Cause and Effect)
คือ กระบวนธรรมของจิต ในการเกิดขึ้นและดับไปแห่งทุกข์ ใช้ในการปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งทุกข์หรือจางคลายจากทุกข์ตามควรแห่งฐานะตน
เพื่อความสุขจากการพ้นทุกข์
กฏไตรลักษณ์ (The Three Characteristics of Existence)
อนัตตา คือ ความไม่มีตัวตนที่แท้จริง
ทุกขัง คือ ความทุกข์ ถูกบีบคั้น ไม่สมอยาก ตั้งอยู่ไม่ได้
อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง ไม่คงตัว เสื่อมสลาย
นิพพาน (Nirvana)
อสังขตธรรม เป็นการสิ้นไปแห่ง ราคะ
โทสะ โมหะ
ความคลายกำหนัด กำจัดความเมา ความกระหาย ก่อนเสียชื่อ ความอาลัย
เป็นความดับสนิทของตัณหา ปล่อยวาง สลัดทิ้งโดยสิ้นเชิงซึ่งตัณหา
อายตนะ คือ ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์
ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง สิ้นตัณหา
{1.3} พุทธศาสนากับการปฏิบัติการพยาบาล
การปฏิบัติหน้าที่ในการดูแล เพื่อการบรรเทา/ดับทุกข์ ตามความสามารถและความเหมาะสม
ผู้ป่วยต้องเข้าใจเรื่อง ความทุกข์ด้วยว่ามนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้
ผู้ป่วยเมื่อยามเจ็บป่วย ต้องรู้จักทำใจให้สงบ ร่วมมือกับผู้ให้การดูแล/รักษา เพื่อทำให้ทุกข์ บรรเทาเบาบาง/หมดไป
[3] การนำผลการปฏิบัติศีล 5
มาเป็นเครื่องมือในการดูแลสุขภาพ
ศีลข้อ 1 ปาณาติปาตา เวรมณี
งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป ตามความเชื่อและความศรัทธา
ศีลข้อ 3 กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี
งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม สาเหตุของการเกิดโรคทางเพศสัมพันธุ์ที่ยังเป็นปัญหาสุขภาพของทั่วโลก มีการติดเชื้อเอชไอวี และกลายเป็นผู้ป่วยเอดส์เสียชีวิตในที่สุด
ศีลข้อ 4 มุสาวาทา เวรมณี
งดเว้นจากการกล่าวเท็จ การโกหก พูดไม่จริง เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่ได้รับข้อเท็จจริง
ศีลข้อ 5 สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี
งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท นอกจากมีผลร้ายต่อสุขภาพของตนเองแล้ว เช่น อาจเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดโรคมะเร็งตับ เป็นต้น
ศีลข้อ 2 อทินนาทานา เวรมณี
งดเว้นจากการไม่ต้องการอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตน ส่งผลให้เกิดความเครียด ความอิจฉาริษยา ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
[2] พุทธศาสน์กับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
{2.1} การดูแลรักษาด้านร่างกาย
หมอชีวกโกมารภัจจ์ ดูแลให้พระพุทธเจ้าเสวยยาคูปรุง งา ข้าวสาร ถั่วเขียว และให้ทรงสรงน้ำร้อนละลายด้วยน้ำอ้อย
{2.2} การดูแลรักษาด้านจิตใจ
พระพุทธเจ้าทรงฟังธรรมมหาจุนทะสาธยาย โพชฌงค์ที่เวฬุวัน แล้วหายจากอาการประชวร
{2.3} การดูแลรักษาด้านจิตวิญญาณ
ในพรรษาสุดท้ายของพระพุทธเจ้าทรงประชวรหนักที่เวฬุคาม เมืองเวสาลี เมื่อใกล้จะปรินิพพาน ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ไม่พรุ่นพรึง
{2.4} การดูแลรักษาด้านสังคม
อัครสาวกของพระพุทธเจ้า คือโมกคัลลานะ ดูแลรักษาพระสารีบุตร
[4] การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
แบบประคับประคองแนวทางพุทธศาสน์
{4.1} หลัก 7 ประการของการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยระยะท้าย
ช่วยให้เขายอมรับความตายที่จะมาถึงการพูดให้เขายอมรับความตายที่จะมาถึงการพูดจา ให้เขายอมรับความตายเป็นศิลปะ
ช่วยให้เขาจดจ่อในสิ่งที่ดีงาม
การให้ความรัก ความเข้าใจ ผู้ป่วยใกล้ตายมักจะมีความกลัวหลายอย่าง เช่น
กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวเป็นภาระ กลัวตายคนเดียว
ช่วยปล่อยว่างสิ่งต่าง ๆ แม้บางคนอาจไม่มีสิ่งค้างคาใจที่เป็นกุศล แต่ก็ต้องปล่อยวางทุกสิ่งเช่นกัน ทั้งรูปธรรม นามธรรม แม้แต่ความรักก็ต้องปล่อยวาง
ช่วยให้เขาปลดเปลื้องสิ่งค้างคาใจ อาจหมายถึง การแบ่งมรดก ความน้อยเนื้อต่ำใจคนใกล้ตัว ความโกรธแค้น ความรู้สึกถูกผิด ฯลฯ
สร้างบรรยากาศที่เอื้อให้ใจสงบ เช่น การนำพระพุทธรูปที่เขานับถือมาให้บูชา หรือบรรยากาศที่ญาติมิตรพร้อมเพรียงกันช่วยกันสวดมนต์ ทำสมาธิ หรือสามารถเปิดเพลงที่ชอบได้
การกล่าวคำอำลา หากเขาคิดว่าจะอยู่กับเราได้ไม่นาน ก็ควรกล่าวคำอำลา อาจพูดขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เขาทำให้กับทุกคน หรือแนะนำให้เขาปล่อยวาง
{4.5} ความตายตามแนวทางพุทธศาสนา
ความตายเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่
ความตายเป็นทั้งจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด
ความตายเป็นทั้งวิกฤตและโอกาส
ความตายเป็นทั้งความแน่นอน และความไม่แน่นอนไปพร้อม ๆ กัน
ความตายมีทั้งมิติทางกายภาพและทางจิตวิญญาณ
การประคองรักษาจิตให้สงบเป็นปกติท่ามกลางสภาพความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน
การตายที่ดีทางพระพุทธศาสนาไม่ใช่ตายอย่างไร สภาพแบบไหน แต่อยู่ที่สภาพจิตก่อนตายว่าเป็นอย่างไร ให้ระลึกถึงสิ่งที่ดี
{4.4} หลักการและแนวคิดในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
ต้องดูแลผู้ป่วย และครอบครัวทุก ๆ ด้าน
การใส่อุปกรณ์ เอาออกเพื่อให้คนไข้เสียชีวิต
การทำงานเป็นทีม
ต้องเริ่มตั่งแต่แรกทั้งผู้ป่วยและครอบครัว
สิทธิของคนใกล้ตายต้องรับรู้ว่าตนเองเป็นอะไร ทำอะไร ได้แค่ไหน ต้องมีการสื่อสารอย่างเหมาะสมกับคนไข้แต่ละราย
การดำเนินของโรคทำให้เกิดเหตุการณ์ การเตรียมรับมือจะวางแผนจัดการอย่างไร
การบรรเทาความทุกข์ทรมานในผู้ป่วยระยะสุดท้าย
{4.3} วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องต่อความตาย
ขั้นที่ 2 สูงขึ้นไป เป็นอริยสาวกผู้มีการศึกษาได้สดับแล้วก็ระลึกถึงความตายเป็นอนุสติ สำหรับเตือนใจไม่ให้ประมาท เร่งขวนขวายปฏิบัติ ประกอบหน้าที่คุณงามความดีให้ชีวิตมีประโยชน์มีคุณค่า
ขั้นที่ 3 คือให้รู้เท่าทันความตาย ซึ่งมีคติเนื่องอยู่ในธรรมดาจะได้ชีวิตที่ปราศจากความทุกข์ ไม่ถูกบีบคั้นด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นกลัวต่อความพลัดพราก
ขั้นที่ 1 มนุษย์ปุถุชนทั่วไป ท่านว่าเป็นปุถุชนที่ยังมิได้สดับคือยังไม่มีการศึกษาก็ระลึกถึงความตายด้วยความหวาดหวั่นพรั่นกลัว เศร้าหดหู่ท้อแท้ ท้อถอย
{4.2} วัตถุประสงค์การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
ทำกิจวัตรสำคัญเท่าที่ทำได้
เป็นตัวของตัวเอง
ลดความทุกข์ทรมาน
อยู่อย่างมีคุณค่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต