การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพ ( ภาวะสูดสำลักขี้เทาเข้าปอด Meconium aspiration syndrome)
ภาวะสูดสำลักขี้เทาเข้าปอด คืออะไร
สาเหตุ
พยาธิสรีรวิทยา
หมายถึง
อาการ
ภาวะหายใจลำบากที่เกิดจากการที่ทารกสูดสำลักขี้เทาซึ่งปน
ในน้ำคร่ำเข้าทางเดินหายใจ ปอด มีความสัมพันธ์กับการขาดออกซิเจนของทารกขณะอยู่ในมดลูก หรือขณะคลอด
เมื่อทารกได้รับออกซิเจนระหว่างที่อยู่ในครรภ์ไม่พอ จะทำให้ทารกถ่ายขี้เทาออกมา ซึ่งการถ่ายขี้เทาออกมาเป็นเพราะว่ากล้ามเนื้อหูรูดที่ทวารหนักมีการคลายออก ร่วมกับมีการหายใจเข้า และการหายใจเข้า
ระหว่างที่อยู่ในครรภ์ (ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำคร่ำ) จะทำให้ทารกหายใจเอาน้ำคร่ำเข้าสู่ปอด แล้วอุดกั้นทางเดินหายใจ
มื่อทารกสำลักขี้เทาเข้าปอด จะเกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ (airway obstruction) เกิด ballvalve effect ในปอด ลมเข้าปอดได้แต่ระบายออกไม่ได้ ทำให้ถุงลมโป่งและแตก (pneumothorax)
มักปรากฏใน 2-3 ชั่วโมง
เกิดจากขี้เทาเข้าไปอุดหลอดลม ทำให้การแลกเปลี่ยนกาซผิดปกติ
มีอาการหายใจเร็ว หอบเหนื่อย หายใจลำบาก มีการดึงรั้งของช่องซี่โครง (retraction) อาการเขียว อกโป่ง (barrel chest)
เสียงปอดผิดปกติจะได้ยินเสียง crepitation และ rhonchi อาจพบมีขี้เทาติดตามเล็บผิวหนังและสายสะดือ ทำให้สายสะดือมีสีเหลือง (yellowish staining)
ปัญหาจากการสูดสาลักขี้เทา
- ขี้เทาทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุในปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ (chemical inflammation)
- ขี้เทายับยั้งการทำงานของสารลดแรงตึงผิว ทำให้ปอดแฟบ (Atelectasis)
- ขี้เทาเข้าไปอุดในท่อทางเดินหายใจและถุงลม ทำให้ทารกขาดออกซิเจนและอาจมีถุงลมฉีกขาดเกิดลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดได้ (air leak syndrome) และทำให้ถุงลมโป่งแลแตก(pneumothorax)
การดูแลทารกที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสูดสำลักขึ้เทา
ระยะก่อนคลอด
ระยะคลอด
ระยะหลังคลอด
๒. ติดตาม FHS อย่างใกล้ชิด
๓. ในรายที่ทารกมีความผิดปกติของ FHS แพทย์พิจารณาการคลอด
๑. เฝ้าระวังการตั้งครรภ์ที่มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะขี้เทาปนเปื้อนในน้ำคร่ำ เช่น ครรภ์เกินกำหนด ทารกน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์
๒. เมื่อพบขี้เทาปนเปื้อนในน้ำคร่ำ ทำการดูดน้ำคร่ำและขี้เทาด้วยลูกยางแดง ในปากและจมูกตามลำดับทันทีที่ศีรษะพ้นช่องคลอด ก่อนที่จะคลอดไหล่หน้า เพื่อลดการสูดสำลักขี้เทาเมื่อทารกเริ่มหายใจครั้งแรก
๓. พิจารณาใส่ETT เพื่อดูดขี้เทาในรายที่มีasphyxia โดยทำการดูดก่อนช่วยด้วยแรงดันบวก และดูดออกให้มากที่สุด
๑. เตรียมเครื่องมือ ประสานกุมารแพทย์
๑. ดูแลให้ได้รับ oxygen
๒. รักษาระดับของ oxygen ให้อยู่ในระดับ 80-100 มม.ปรอท
๓. พิจารณาใช้เครื่องช่วยหายใจ
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลและแผนการรักษา
เสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอดเนื่องจากมีภาวะหายใจลำบากจากการสูดสำลักขี้เทา
วัตถุประสงค์
ทารกไม่เกิดภาวะขาดออกซิเจนเนื่องจากภาวะหายใจลำบากจากการสูด
สำลักขี้เทา
เกณฑ์การประเมิน
- ริมฝีปาก ปลายมือปลายเท้า ไม่เขียว
- ฟังปอด clear
- ไม่มีอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจนแรกเกิด ได้แก่ หายใจปีกจมูกไม่บาน หายใจออกไม่มีเสียงคราง อัตราหายใจอยู่ระหว่าง 40-60 ครั้ง/นาที อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่เกิน 120 ครั้ง/ นาท
- ผลการตรวจ arterial blood gas ปกติ
กิจกรรมการพยาบาล
- สังเกต ประเมิน ติดตามอาการแสดงของการแลกเปลี่ยนก๊าซไม่ดี ได้แก่ หายใจเร็ว อกบุ๋ม ีกจมูกบาน ใช้กล้ามเนื้อในการช่วยหายใจมากขึ้นหรือหายใจออกมีเสียงคราง เขียว ชีพจรเต้นเร็ว โดยประเมินทุก 2 ชั่วโมงหรือตามสภาพทารก
- ประเมินค่าออกซิเจนในเลือดอย่างต่อเนื่องโดยเจาะค่าแก๊สในหลอดเลือดแดงตามแผนการรักษาและรายงานเมื่อค่าผิดปกติ
- ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอตามแผนการรักษา เมื่อเกิดอาการแสดงการแลกเปลี่ยนก๊าซไม่ดีรีบรายงานแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วน
- ประเมิน ติดตามและบันทึกอัตราการหายใจ การเต้นของหัวใจ ฟังเสียงลมที่เข้าปอดทั้ง2 ข้างทุก 2 ชั่วโมงเพราะการมีลมเข้าปอดลดลงอาจเกิดจากทางเดินหายใจอุดกั้นจากเสมหะ
- จัดท่านอนทารกให้ปอดขยายตัวได้มากที่สุดโดย ใช้ม้วนผ้าเล็กๆหนุนใต้ไหล่ให้คอไม่งอหรือแหงนเกินไป หรือ ให้นอนศีรษะสูงเล็กน้อย 30 องศา และพลิกตะแคงตัวอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
- ดูแลให้มีอุณหภูมิกายปกติ เพื่อลดการใช้ออกซิเจนของโดยควบคุมอุณหภูมิตู้อบให้เหมาะสมกับทารกและควบคุมอุณหภูมิห้องที่ 26-28 องศาเซลเซียส วัดอุณหภูมิกายทุก 4 ชั่วโมง
- ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง โดยการดูดเสมหะด้วยเทคนิคปราศจากเชื้อ ดูดเสมหะเท่าที่จำเป็น
- ลดการรบกวนทารกโดยไม่จำเป็น พยายามจัดกิจกรรมการรักษาพยาบาลให้อยู่ในเวลาเดียวกัน เพื่อลดการใช้ออกซิเจนของร่างกาย