Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 การพยาบาลในระยะคลอด : - Coggle Diagram
บทที่ 6 การพยาบาลในระยะคลอด
:
:no_entry:
6.3 การเตรียมตัวเพื่อการคลอด (Childbirth Preparation)
ประโยชน์จากการเตรียมตัวเพื่อคลอด
สามารถเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมในทุกระยะของการคลอด
มีประสบการณ์ร่วมกับสามี ในการเตรียมตัวเป็นคุณแม่และคุณพ่อรวมทั้งเพิ่มพูนความรักความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ลดความต้องการใช้ยาระงับปวดในระยะคลอด
ระยะคลอดสั้นลง รวมทั้งมีอันตรายและภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดลดลง
ได้รับประสบการณ์ที่ดีในการคลอด ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยสร้างความรัก เกิดความผูกพันได้รวดเร็วหลังจากคลอดทันที
ขั้นตอนในระยะคลอด
การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ในกรณี Active phase จำเป็นต้องงดน้ำและอาหารทางปาก
การประเมินความก้าวหน้าของการคลอด โดยการตรวจสอบการหดรัดตัวของมดลูก และการตรวจภายในช่องคลอดเป็นระยะๆ
การประเมินสภาวะของลูกน้อยในครรภ์ โดยการฟังเสียงหัวใจ ลักษณะและจำนวนน้ำคร่ำ รายที่สงสัยว่าเด็กอยู่ในภาวะอันตราย หรือคุณแม่มีความเสี่ยงที่อาจทำให้ลูกน้อยขาดออกซิเจน ก็จะได้รับการตรวจประเมินโดยเครื่องมืออิเลคโทรนิค หรือเครื่องอัลตร้าซาวด์ ตามความเหมาะสม
อาจได้รับการเร่งคลอด โดยวิธีให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก การเจาะถุงน้ำ ทูนหัว หรือสวนปัสสาวะในรายที่จำเป็น
การวัดอุณหภูมิของร่างกาย ชีพจร การหายใจและความดันโลหิต
การดูแลเกี่ยวกับความสุขสบายทั่วไป
ได้รับการบรรเทาความเจ็บปวด โดยการผ่อนคลายฟังเพลง การนวดบริเวณบั้นเอว ก้นกบ การลูบหน้าท้อง โดยพยายามเลี่ยงการฉีดยาแก้ปวด
กลไกลทางสรีรวิทยา
กลไกทางสรีรวิทยา
ในระยะคลอดร่างกายมีการใช้พลังงานในการเผาผลาญเพิ่มขึ้น จากการที่มดลูกมีการหดรัตตัวเป็นระยะ ๆ ตลอดระยะคลอด ร่างกายจึงต้องใช้พลังงานมากกว่าภาวะปกติ เซลล์ต่าง ๆของร่างกายต้องการปริมาณออกซิเจนเพิ่มขึ้น หัวใจต้องสูบฉีดโลหิตเพื่อให้เลือดนำออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆของร่างกายให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายโดยเฉพาะระบบสมองและกล้ามเนื้อ ความกลัวการคลอดเป็นภาวะปกติที่พบได้ ทั้งในมารดาครรภ์แรกและครรภ์หลัง ความกลัวการคลอด ความเครียด จะกระตุ้นระบบประสาท sympathetic ให้หลั่งสาร catecholamine และ epinephrine เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น อัตราการหายใจเร็วขึ้น จนอาจเกิดภาวะ hyperventilation ร่วมกับภาวะ respiratory alkalosis ได้ในบางราย
แนวคิดการเตรียมตัวเพื่อคลอด
เพื่อให้สตรีตั้งครรภ์มีความรู้ในการคลอดบุตรการคลอด
เพื่อเตรียมสตรีตั้งครรภ์ให้สามารถใช้เทคนิคการบรรเทาความเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้สตรีตั้งครรภ์มีความมั่นใจและได้รับประสบการณ์ที่ดีในการคลอดบุตร
แนวคิดการเตรียมตัวเพื่อการคลอดโดยวิธีธรรมชาติ (Natural childbirth)
Dick ReadMethod “Childbirth wirhout Feat” Grantly Dick-Read (ค.ศ. 1933) สูติแพทย์ชาวอังกฤษ เพื่อว่าการเจ็บครรภ์คลอดเกิดจากวงจรของความเจ็บปวด 3 อย่าง คือ ความกลัว ความเครียด และความเจ็บปวด (Fear-Tension-Pain syndrome)
2.Lamaze Method เฟอร์ดินันต์ ลามาซ(Ferdinand Lamaze,1960) สูติแพทย์ขาวฝรั่งเศสได้นำเสนอวิธีการเตรียมตัวเพื่อคลอดด้วยกลวิธีป้องกันทางจิต (Psych prophylactic method, PPM)
3.Robert Bradley (1965) โรเบิร์ธ แบรดเลย์ ได้เสนอแนวคิดการเตรียมตัวเพื่อการคลอดโดยวิธี Husband Coached Childbirth
การคลอดเองตามธรรมชาติ
การคลอดเองตามธรรมชาติ หมายถึง การคลอดที่ดำเนินตามกระบวนการทางธรรมชาติ และสัญชาตญาณของการเป็นผู้ให้กำเนิด โดยผู้คลอดเป็นผู้กำหนดปัจจัยสนับสนุนการคลอดและกระทำด้วยตนเอง
ห้องรอคลอด
ในรายที่ปากมดลูกเปิด 2-3 เซนติเมตร เจ็บครรภ์จริงหรือถุงน้ำคร่ำแตก และจำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ต้องรับไว้นอนในห้องรอคลอด พยาบาลจะแนะนำ [สถานที่และสิ่งแวดล้อมและอธิบายเกี่ยวกับแผนการรักษาพยาบาลให้ทราบ]
ห้องรับใหม่
การซักประวัติเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของคุณแม่ และครอบครัวทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประวัติการคลอด การตั้งครรภ์และการฝากครรภ์ รวมทั้งสาเหตุสำคัญของการมาโรงพยาบาล
การตรวจร่างกายทั่วไปประกอบด้วย การชั่งน้ำหนัก วัดอุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ และความดันโลหิตการประเมินภาวะซีด บวมและความผิดปกติอื่นๆ
การตรวจปัสสาวะดูน้ำตาลและโปรตีนในปัสสาวะ
การตรวจครรภ์ และการประเมินสภาวะลูกน้อยในครรภ์
การตรวจสอบในช่องคลอด เพื่อประเมิน ความบาง และการเปิดขยายของปากมดลูก สภาพกระดูกเชิงกราน สภาพถุงน้ำ ลักษณะน้ำคร่ำ ท่าและระดับส่วนนำของลูกน้อย
การโกนขนบริเวณอวัยวะเพศ และการสวนอุจจาระ
บางรายอาจต้องมีการตรวจ พิเศษอื่นๆเช่น การตรวจน้ำคร่ำในรายที่สงสัยว่ามีถุงน้ำคร่ำทูนหัวแตกหรือรั่ว
ห้องคลอด
ในระยะที่ปากมดลูกเปิด 10 เซนติเมตร จะย้ายจากห้องรอคลอดไปสู่เตียงคลอด โดยจะมีพยาบาลคอยช่วยแนะนำวิธีการเบ่ง ติดตามสัญญาณชีพของทั้งมารดาและทารก
ผู้คลอด นอนแยกขาเพื่อให้ทารก และรกเคลื่อนออกมาง่ายขึ้น
หลังจากทารกคลอดพยาบาลจะทำการคลอดรกและเย็บซ่อมแผลฝีเย็บคืนดังเดิม
จากนั้นจะนำมารดากลับไปนอนพักฟื้น ที่เตียงเดิม จนครบ 2 ชั่วโมงเพื่อสังเกตอาการผิดปกติ
เมื่ออาการปกติดี จึงย้ายขึ้นไปหอผู้ป่วยหลังคลอด
:no_entry:
6.1 การส่งเสริมสัมพันธภาพมารดาทารก และครอบครัวในระยะคลอด
สัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก
คือ สายสัมพันธ์ของแม่และทารกที่มีต่อกัน เป็นผลทำให้ทารกรู้สึกถึงความรัก ความอบอุ่น และความเสียสละที่แม่มีให้
การส่งเสริมสัมพันธภาพ
คือ การช่วยให้มารดา ทารกและครอบครัวเกิดความรักใคร่ผูกผันกัน (Bonding) โดยอาศัยการอยู่ใกล้ชิดกันเพื่อจะได้เห็นการแสดงออกของทารก จะได้เข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการของทารกได้อย่างถูกต้อง
ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมสัมพันธภาพมารดา ทารก
ปัจจัยด้านมารดา
ภาวะสุขภาพของมารดา
ประสบการณ์การดูแลบุตร
อายุของมารดา
ความเชื่อมั่นในตนเอง
ทัศนคติต่อการคลอดทารก
ปัจจัยด้านทารกแรกเกิด
ภาวะสุขภาพของทารกแรกเกิด
การถูกจำกัดการอยู่ร่วมกับบิดา-มารดา
ช่วงเวลาการส่งเสริมสัมพันธภาพในระยะคลอดที่เหมาะสมที่สุด คือ
ช่วง 60 นาทีแรกหลังทารกคลอด
เพราะทารกจะไวต่อการรับรู้สิ่งต่างๆ ซึ่งแม่อาจจะแสดงออกถึงความรักโดยการ สัมผัส กอด สบตา และการคุยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน จึงเป็นการพัฒนาด้านร่างกายและจิตใจให้กับทารกอย่างมาก
กิจกรรมการส่งเสริมสัมพันธภาพมารดา ทารกและครอบครัวในระยะคลอด
:<3: Psychosocial support
คือ การสนับสนุนทางด้านจิตใจต่อมารดาและครอบครัว เช่น มีความเป็นกันเอง แนะนำการดูแลในระยะคลอด ลดความกลัวที่จะเกิดขณะรอคลอด เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อทารกแรกเกิดตลอดไป
:<3:Maternal-Physical / Nurse interaction
คือ การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบิดา มารดาและครอบครัวกับทีมแพทย์ ในการให้คำแนะนำที่ดีในระหว่างการคลอดบุตร จะช่วยให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการคลอดและส่งผลให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อทารกแรกเกิดได้ด้วย
:<3:Maternal involvement in caring for the newborn
คือ การส่งเสริมให้บิดา มารดา และครอบครัวได้ร่วมกันทำกิจกรรมการดูแลทารกแรกเกิด เช่น การอุ้ม การให้นม การเปลี่ยนผ้าอ้อม
:<3:Effective communication
คือ การให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับกระบวนการคลอด ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและภาษาที่เข้าใจง่ายเพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จะช่วยให้บิดามารดาเกิดสัมพันธภาพที่ดีไปตลอดการเลี้ยงดูทารก
:<3:Skin-to-skin contact
คือ การนำทารกมาให้มารดาอุ้มวางบนหน้าอก เพื่อช่วยให้ทารกสงบ และคุ้นเคยกับการดูดนมจากเต้า ซึ่งจะทำให้เกิดความผูกพันกับมารดามากขึ้น
:<3:Early initiation of breastfeeding
คือ การให้ทารกแรกเกิดดูดนมแม่ภายใน 60 นาทีแรกหลังเกิด จะช่วยส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างแม่และลูก และยังเป็นการส่งเสริมบทบาทความเป็นแม่อีกด้วย
:no_entry:
6.4 การพยาบาลทางด้านสรีระจิตสังคมของมารดาในระยะคลอด
6.4.1การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระในระยะคลอด
การเปลี่ยนแปลงเฉพาะที่
มีการหดรัดตัวของมดลูก (Uterine contraction)
กล้ามเนื้อมดลูกส่วนบน (upper segment of uterus) เซลล์จะมีการหดสั้นเข้าหลังจากการหดรัดตัวในแต่ละครั้ง ที่เรียกว่า Brachystasis ทำให้ความยาวของเซลล์ กล้ามเนื้อสั้นลงเรื่อยๆ ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้จะมีความหนาเพิ่มขึ้น
กล้ามเนื้อมดลูกส่วนล่าง (lower segment of uterus) การหดรัดตัวในแต่ละครั้งมดลูกจะยาวขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า Mecystasis ทำให้กล้ามเนื้อส่วนล่างบางอาจเห็นเป็นลักษณะคล้ายวงแหวน เรียกว่า Physiologic retraction ring (Braun’s ring) ซึ่งเป็นภาวะปกติ
การทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อมดลูก
Basal tone of uterus หมายถึง ระดับ tone ของกล้ามเนื้อมดลูกในระยะพัก คือขณะที่ไม่มีการหดรัดตัว ถ้า basal tone มีค่าสูงผิดปกติอาจต้องสงสัยความผิดปกติบางอย่าง เช่น ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental abruption)
frequency of uterine contraction หมายถึง ระยะห่างของการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกในแต่ละครั้ง อยู่ที่ประมาณ 2-3 นาที แต่ถ้าการหดรัดตัวของมดลูกเกิดขึ้นถี่เกินไป ที่เรียกว่า Tetanic uterine contraction อาจทำให้ทารกอยู่ในภาวะขาดออกซิเจน และยังอาจส่งผลให้เกิดมดลูกแตกตามมาได้
Duration of uterine contraction หมายถึง ระยะเวลาที่กล้ามเนื้อมดลูกหดตัวในแต่ละครั้งมักจะไม่เกิน 60 วินาที ถ้าหดรัดตัวนานเกินไปจะทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนของทารกในครรภ์ได้ และถ้าการหดรัดตัวสั้นเกินไป ก็จะไม่เพียงพอที่จะทำให้ปากมดลูกเปิดขยาย
ntensity of uterine contraction หมายถึง ความแรงของการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก หรือช่วงที่ความดันภายในโพรงมดลูกมีค่าสูงที่สุด
มีการเปิดขยายของปากมดลูก (Cervical dilatation)
ในระยะคลอดปากมดลูกจะมีการเปิดขยายจนหมด (fully dilatation) เท่ากับ 10 เซนติเมตร ในระยะ Active phase ในครรภ์แรกปากมดลูกมีการเปิดขยายเฉลี่ย 1.2 เซนติเมตรต่อชั่วโมง และในครรภ์หลังเฉลี่ย 1.5 เซนติเมตรต่อชั่วโมง โดยจะมีการบางของปากมดลูก( Effacement) ก่อนปากมดลูกการเปิดขยาย (Cervical dilation) หรือเกิดขึ้นพร้อมกันก็ได้
การบางตัวของปากมดลูก (Cervical effacement)
ภาวะปกติของปากมดลูกในสตรีที่ไม่ได้อยู่ในระยะคลอดจะมีลักษณะที่เรียกว่า Cervical canal ปกติระยะห่างนี้จะมีค่าประมาณ 2 เซนติเมตร แต่เมื่อสตรีตั้งครรภ์เข้าสู่ระยะเจ็บครรภ์คลอดจะเกิดการบางตัวของปากมดลูก
มีมูกหรือปนเลือดออกทางช่องคลอด ( mucous or mucous bloody show)
เนื่องจากปากมดลูกบางลง และเปิดขยายออกทำให้ mucous plug ที่อุดปากมดลูกขณะตั้งครรภ์หลุดออกมา และเมื่อถุงน้ำทูนหัวแทรกเข้าไปถ่างขยายปากมดลูกและปากมดลูกส่วน external os ถูกดึงรั้งสั้นลง ปากมดลูกเปิดออก มีการขาดของหลอดเลือดฝอย mucous ที่หลุดออกมาจึงมีเลือดสดปนมูกเหนียว (Mucous bloody show)
การเปลี่ยนแปลงของถุงน้ำทูนหัวและภายในถุงน้ำคร่ำ
ขณะที่มดลูกหดรัดตัวจะบีบโพรงมดลูกให้มีขนาดเล็กลง ทำให้เกิดแรงดันกระจายผ่านน้ำคร่ำออกที่ระดับแรงดันประมาณ 50 มม.ปรอท ขณะที่มดลูกหดรัดตัวจะมีแรงกระทำโดยตรงบริเวณยอดมดลูกผ่านตามแนวกระดูกสันหลัง เรียกว่า fetal axis pressure ทำให้ศีรษะทารกก้มต่ำเต็มที่ ทำให้ส่วนนำทารกกดเบียดกับช่องทางคลอด เกิด ball valve action
การหดรัดของกล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่ยึดมดลูก
Round ligament เมื่อหดรัดตัวสั้นลงทำให้มดลูกกระดกขึ้นมาทางด้านหน้าทำให้ความยาวของโพรงมดลูกอยู่แนวเดียวกับช่องเชิงกราน
Utero-sacral ligament เกาะที่คอมดลูกด้านหลัง ที่ระดับ internal os ไปยัง Sacrum
Cardinal ligament ยึดคอมดลูกสองข้าง กับผนังด้านข้างของมดลูก
การเปลี่ยนแปลงระบบหัวใจและหลอดเลือด Cardiac output เพิ่มขึ้น ความดันโลหิต ขณะมดลูกหดรัดตัว BP จะเพิ่มขึ้นPulse ขณะมดลูกหดรัดตัวไม่เพิ่มขึ้นในท่าตะแคง แต่จะลดลงในท่านอนหงาย
การเปลี่ยนแปลงระบบหลอดเลือดและเม็ดเลือด ตลอดการตั้งครรภ์จะมี hemoglobin เพิ่มขึ้น
การเปลี่ยนแปลงระบบหายใจ อัตราการหายใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตลอดการคลอด
การเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินอาการและการเผาผลาญอาหารพลังงาน กระเพาะอาหารทำงานน้อยลงหรือหยุดไปลำไส้เล็กดูดซึมน้อยลง
การเปลี่ยนแปลงระบบขับถ่าย ไตมีการกรองมากขึ้น อาจมีปัสสาวะลำบาก จากความตึงตัวลดลง และถูกกดเบียด
การเปลี่ยนแปลงระบบกล้ามเนื้อและกระดูก มีอาการปวดหลัง ปวดตามข้อต่างๆ
การเปลี่ยนแปลงระบบต่อมไร้ท่อ ฮอร์โมน estrogen ลดลง แต่ Progesterone Prostaglandins และ oxytocin เพิ่มมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระต่อทารก
อัตราการเต้นหัวใจทารกลดลง
หลอดเลือดดำในกล้ามเนื้อมดลูกถูกกดบีบ ทำให้ความดันในหลอดเลือดดำเพิ่มขึ้น
ระบบเลือดและเม็ดเลือด ในระยะคลอด Hemoglobin สูงขึ้น 15-20 %
ระบบทางเดินหายใจโล่งและสามารถเริ่มหายใจครั้งแรก
ทารกถ่ายขี้เถ้า(meconium)ออกมา
การถ่ายปัสสาวะขณะคลอดได้
ระบบผิวหนังมีการบวมน้ำ (caput succedaneum)
มีการเกยการของกระดูกกะโหลกของทารก (molding)
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคมในระยะที่ 1 ของการคลอด
ความเครียด ความวิตกกังวล สาเหตุเกิดจาก ถูกแยกจากสังคม ครอบครัว ความไม่สุขสบายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระยะคลอด การขาดความรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง
ขาดการเตรียมตัวเพื่อการคลอด มีความกลัวกระบวนการคลอด
ความอ่อนล้า หมดแรง (exhaustion) มีการใช้พลังงานมากจากการหดรัดตัวของมดลูกและการเจ็บครรภ์ พักผ่อนได้น้อยลงทำให้ผู้คลอดอ่อนล้า หมดแรง
การพยาบาล
ดูแลให้ได้รับความสุขสบาย โดยช่วยดูแลความสะอาดร่างกาย
ลดความเจ็บปวด ด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น ลูบหน้าท้อง นวดหลัง ประคบอุ่นและประคบเย็นที่หน้าผาก
ดูแลให้ได้รับสารอาหารและน้ำ อย่างเพียงพอในระยะ latent phrase
ส่งเสริมให้พักผ่อนท่าที่สุขสบาย สิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ
จัดให้นอนในท่าที่สุขสบาย ส่งเสริมการเคลื่อนต่ำของส่วนนำทารกลดระยะเวลาคลอด
การกระตุ้นให้ถ่ายปัสสาวะทุก 2-4 ชั่วโมง ส่งเสริมให้ถ่ายอุจจาระทุก 12 ชม. เพื่อป้องกันอุจจาระขวางช่องทางคลอด
ให้หลัก aseptic technique ในการปฏิบัติการพยาบาล เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
เฝ้าติดตามสังเกตความผิดปกติ เช่น น้ำคร่ำมีสีเหลืองเขียว หรือ FHS เปลี่ยนแปลงไป
พยาบาลต้องเข้าใจและยอมรับปฏิกิริยาและพฤติกรรมที่แสดงออกที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ
เน้นการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ให้คำแนะนำ อธิบายสิ่งที่ต้องปฏิบัติและตอบข้อซักถามสม่ำเสมอ อยู่เป็นเพื่อน เพื่อลดความกลัว และให้ความร่วมมือและเกิดประสบการณ์ที่ดีเกี่ยวกับการคลอด
ส่งเสริมให้สามีหรือญาติมีส่วนร่วมในการดูแล
บันทึกการพยาบาลที่ให้แก่ผู้รอคลอดโดยละเอียด
6.4.2 การเปลี่ยนแปลงด้านสรีรจิตสังคมระยะท่ี 2 ของการคลอด
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาต่อผู้คลอด
การหดรัดตัวของมดลูกนานและรุนแรงมากขึ้น อาจหดรัดตัวทุก 2-3 นาที นาน 60-90 วินาที ทำให้ทารกเคลื่อนต่ำลงมาได้เร็วขึ้นและอาจมีถุงน้ำแตกในระยะ นี้
มีการหดรัดตัวของกระบังลมและกล้ามเนื้อหน้าท้อง และเมื่อทารกกดที่บริเวณพื้นเชิง กราน (pelvic floor) และทวารหนัก จะรู้สึกอยากเบ่ง ซึ่งจะทำให้มีแรงดันเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ของแรงหดรัดตัวของมดลูก
การเปลี่ยนแปลงทางสรีระของทารก
ทารกมีการก้มหน้าเต็มที่ มีส่วนนาเคลื่อนต่าลงมาและเงยขึ้นตามกลไกการคลอดปกติ
การเปลี่ยนแปลงทางสรีระของเชิงกรานและฝีเย็บ
ส่วนนำที่เคลื่อนต่ำลงมาจะถ่างขยายช่องทางคลอดให้ถ่างออก มีผลให้ช่องทางคลอดฉีกขาด มีมูกปนเลือดออกได้ พื้นเชิงกรานขยายมากขึ้น มองเห็นส่วนนำ ส่วนด้านหลังของพื้นเชิง กราน จะยืดยาวลงมาด้านล่างทำให้ทารกเงยหน้าขึ้น และรูทวารหนักเปิดออก
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคม
มีความเครียดมากขึ้นเจ็บปวดจากมดลูกหดรัดตัวมากขึ้น
อ่อนเพลีย ทำให้แยกตัวเอง ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่ให้ความร่วมมือ หากผู้คลอดมีความกลัวร่วมด้วยจะยิ่งเครียดมากขึ้นทำให้ท้อแท้ ขาดกำลังใจ
กิจกรรมการพยาบาล
ป้องกันการติดเชื้อทั้งทารกและผู้คลอด เหมือนในระยะที่ 1 ของการคลอด
ดูแลความสะอาดร่างกายและความสุขสบาย
ป้องกันอาการอ่อนล้า หมดแรง โดยดูแลให้ได้รับสารน้ำอย่างเพียงพอ ตามคำสั่งแพทย์ เนื่องจากต้องNPO
แนะนำให้เบ่งคลอดที่ถูกต้อง คือ เบ่งเฉพาะเวลามดลูกหดรัดตัวเต็มที่ ก้มศีรษะ ตัวงอกลั้นหายใจเบ่งลงล่าง เท่านั้น
ส่งเสริมการคลอด โดยให้ข้อมูลความก้าวหน้าการคลอด พูดชมเชย ให้เกิดกำลังใจเพื่อลดความกลัว ความเครียด
ดูแลกระเพาะปัสสาวะให้ว่าง
ส่งเสริมให้สามี หรือสมาชิกครอบครัวมีส่วนร่วม ให้กาลังใจ
ตรวจวัดสัญญาณชีพทั้งมารดาและ ฟัง FHS ทุก 15 นาที หรือถี่กว่านั้นหากพบว่ามีความเสี่ยงควรวัดทุก 5 นาที
ป้องกันการฉีกขาดของช่องทางคลอด โดยการตัดฝีเย็บ (episiotomy) ในรายที่จำเป็น
ช่วยทำคลอดทารก
6.4.3 การเปลี่ยนแปลงด้านสรีรจิตสังคมที่ 3 ของการคลอด
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีระของการลอกตัวของรกที่เกิดจากการหดรัดตัวของมดลูกแบบ contraction และ retraction ที่เกิดขึ้นทันทีที่ทารกคลอด
สรีรวิทยาของรกลอกตัว
Uterine sign รกลอกตัวแล้วถูกขับออกมาอยู่ส่วนล่งของมดลูก มดลูกส่วนบนกลมแข็ง (globular shape) และพบว่าส่วนใหญ่จะเอียงไปข้างขวาเพราะด้านซ้ายมีลาไส้ใหญ่ส่วน sigmoid colon อยู่ และปีกมดลูกจะ
Vulva sign จะเห็นเลือดออกจากช่องคลอดไม่เกิน 50 cc ในรายที่รกลอกตัวแบบ Duncanmechanism
Cord sign เมื่อรกลอกตัวหมดสายสะดือจะเคลื่อนต่าลงมา ยาว 8-10 cm สายเหี่ยวและคลายเกลียวออก ไม่มีชีพจร
กิจกรรมการพยาบาล
เสี่ยงต่อการตกเลือด การทำคลอดทารก และการป้องกันการตกเลือด
โดยการตรวจรกและบันทึกปริมาณเลือดที่ออกจากการคลอด
บันทึกสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที x 4 ครั้ง ทุก 30 นาที x 2 ครั้ง ทุก 1 ชม. 2 ครั้ง จนคงที่
สังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ถ้า pulse เพิ่มขึ้น มากกว่า 90 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต systolic ลดลง 30 mmHg หรือ diastolic ลดลง 15 mmHg ควรนึกถึงภาวะตกเลือดหลังคลอดหรือภาวะช็อก
ส่งเสริมการหดรัดตัวของมดลูก โดยการคลึงมดลูกให้แข็งตลอดเวลา
ฉีดยาให้มดลูกแข็งตัว
6.4.4 การเปลี่ยนแปลงด้านสรีรจิตสังคมระยะที่ 4 ของการคลอด
การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายในระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอดทารก
ผู้คลอดอ่อนเพลีย หมดแรง จากการเบ่งคลอด และเสียเลือด ทำให้มีภาวะ dehydrationต้องการน้ำ
2.เสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอดระยะที่ 4 ของการคลอด มดลูกจะหดรัดตัวเป็นก้อนกลมแข็ง ภายหลังคลอด อยู่ที่ระดับต่ำกว่าสะดืออย่างน้อยประมาณ 4 FB (เหนือกว่าหัวเหน่าไม่เกิน 6 นิ้ว) ถ้ามีขนาดใหญ่กว่านี้ควรนวดมดลูกให้แข็งตัวแล้วกดไล่ก้อนเลือดออก เพื่อป้องกันการตกเลือดหลัง คลอด
เสี่ยงต่อภาวะหัวใจวาย สาเหตุจากระบบไหลเวียนสารน้ำและเลือดที่เคยถูกกดเบียดจากมดลูก จะกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนมากขึ้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง ยกเว้นในรายที่มีประวัติเป็น โรคหัวใจจะเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย เป็นต้น
เสี่ยงต่อการเกิดปัสสาวะคั่ง (Urine retention)ภายหลังการคลอดทารกทางช่องคลอด เส้นประสาทบางส่วนทางานผิดปกติชั่วคราว เช่น มีการบวม ของท่อทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไม่ออก หรือไม่รู้สึกปวดปัสสาวะ ขณะที่ full bladder ทำให้เกิดภาวะปัสสาวะคั่ง เป็นต้น
5.ไม่สุขสบายจากอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ผลจากการคลอด ทารกร่างกายต้องใช้พลังงานมากมีการเผาผลาญสูงทำให้ระยะหลังคลอดในร่างกายมีความเป็นกรดมากกว่าปกติ มารดาจะปวดเมื่อย ตามร่างกายโดยทั่วไป
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคม
มีความอ่อนเพลียต้องการพักผ่อน จากการสูญเสียพลังงานไปมากในระยะคลอด
ไม่สุขสบายจากอาการปวดมดลูกและเจ็บแผลฝีเย็บ
กิจกรรมการพยาบาล
1.แนะนาให้อาบน้ำบ่อยๆ เพื่อขจัดสิ่งสกปรก และช่วยให้ร่างกายสดชื่น
2.ส่งเสริมการทาความสะอาดร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณอวัยวะเพศ เพราะมีเลือดออก เหนียวเหนอะหนะ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
เช็ดทาความสะอาดจากหน้าไปหลัง
เปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2-3 ชม./ผืน
:no_entry:
6.2 การเตรียมบทบาทการเป็นบิดามารดาในระยะคลอด
(Parenthoods preparation)
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาบทบาทที่สำคัญ
เสริมสร้างความเชื่อมั่นตนเองในการเลี้ยงดูทารก
ดูแลให้ได้รับประสบการณ์การคลอดที่ดี
ส่งเสริมการมีสัมพันธภาพที่ดีต่อทารก
ส่งเสริมให้เกิดความสุขความภูมิใจในบทบาทการเป็นบิดามารดา และครอบครัว
กิจกรรมการพยาบาลเพื่อเตรียมบทบาทการเป็นบิดามารดาในระยะคลอด
ส่งเสริมให้บิดา มารดา และครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลทารกแรกเกิด เพื่อเปิดโอกาสให้ฝึกทักษะการดูแลทารกแรกเกิดด้วยตนเอง
ส่งเสริมให้ทารกแรกเกิดดูดนมแม่โดยเร็ว เพราะขณะให้นมมารดที่อุ้มทารกจะสบตา พูดคุย สังเกตอาการของทารก โดยเฉพาะในช่วงที่มารดาตื่นเต้นอยากเห็นทารกครั้งแรก เพื่อกระตุ้นมารดาได้แสดงบทบาท และเกิดความประทับใจ ควรพูดชมเชยให้กำลังใจ เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจ เป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างมารดาทารก
ส่งเสริมให้บิดา มารดาเรียนรู้ธรรมชาติของทารก ความหมายของพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความต้องการ เช่น ท่านอนที่สุขสบาย อาการแสดงเมื่อตกใจ การร้องเมื่อเปียกชื้น หรือหิว เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และตอบสนองความต้องการของทารกได้อย่างเหมาะสม
ส่งเสริมบิดา มารดาให้อุ้มสัมผัสทารกแรกเกิด เพื่อให้มีความคุ้นเคยกับความอ่อนไหวของร่างกายทารก ช่วยให้เกิดความกล้าในการอุ้ม
ประเมินความแตกต่าง
(ผู้คลอด สามี ครอบครัว)
อายุ
การศึกษา
ศาสนา ความเชื่อ ค่านิยม
ประสบการณ์ในการเลี้ยงดูเด็ก
รายได้ของครอบครัว
สัมพันธภาพที่ดีในชีวิตสมรส
การสนับสนุนจากบุคคลในครอบครัว