Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลทางสูติกรรม - Coggle Diagram
การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลทางสูติกรรม
การใช้ยาในระยะตั้งครรภ์
กรดวิตามินเอ
ไอโซเตรตติโนอีน (Isotretinoin) มีชื่อการค้าว่า แอคคิวเทน (Accutane) หรือ โรแอคคิวเทน (Roaccutane) เป็นอนุพันธุ์ของกรดวิตามินเอเข้มข้น (Retinoic acid) เป็นยาที่จัดอยู่ในกลุ่ม X (Category X) ซึ่งห้ามใช้อย่างเด็ดขาดขณะตั้งครรภ์
ยาดังกล่าวมีผลต่อความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้สูงถึงร้อยละ 30โดยเฉพาะการใช้ยาในช่วงที่เด็กทารกกำลังสร้างอวัยวะต่างๆในร่างกาย คือ ในช่วง 7 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ โดยอวัยวะที่มีผล คือ พบความผิดปกติของระบบประสาท สมองและหัวใจ นอกจากนี้ยังพบความผิดปกติของใบหน้าและ ตา ปากแหว่ง เพดานโหว่ ใบหูผิดรูป รูหูไม่พัฒนา หรือตีบตัน จนกระทั่งไม่มีใบหูเลย
นอกจากนี้การใช้ยาหลังระยะเวลาดังกล่าว ยังพบความสัมพันธ์กับการเกิดความผิดปกติของระบบแขนขา และระบบขับถ่าย-สืบพันธุ์ (Genito-urinary system) ของทารกในครรภ์ได้ รวมถึงยาชนิดนี้ในกลุ่มยาทาผิวหรือทาหน้า (Tropical)
ยา warfarin
ไม่ควรให้ในขณะตั้งครรภ์
หากได้รับยานี้ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ที่เริ่มมีการพัฒนาอวัยวะ พบว่ามีความเสี่ยงของความพิการเพิ่มขึ้นร้อยละ 30
ความเสี่ยงของการแท้งเพิ่มขึ้น 14.6-56%.
ยานี้ผ่านรกไปสู่ทารกอาจจะทำให้ทารกตายในครรภ์ หรือเลือดออก
ยานี้จะใช้ในคนท้องที่รักษาด้วยยาอื่นแล้วไม่ได้ผล
การใช้ยาในระยะคลอด
ยาเพิ่มการหดรัดตัวของมดลูก
oxytocin
หลักในการใช้ยา
ต้องเจือจางยา oxytocin ในสารน้ า isotonic solution เช่น 5% D/N/2, NSS, LRI โดยเจือจางยาในอัตราส่วนที่ก าหนดตามมาตรฐานการให้ยาของแต่ละโรงพยาบาล เช่น oxytocin 10 units ในสาร
น้ า 1,000 มล
ควรให้คู่กับสารน้ าอีก 1 ขวด (piggy back) เพื่อสามารถหยุดให้ยาได้ทันที กรณีมีการหดรัดตัวของมดลูกถี่ นาน หรือมีการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจทารกที่เสี่ยงต่อการได้รับออกซิเจนไม่
เพียงพอได้
ควรเริ่มให้สารน้ าที่ไม่มี oxytocin ก่อน และให้สารน้ าที่มี oxytocin ในอัตราที่ช้าๆก่อน เช่น 4 milliunit/min (24 ml/hr, 8 drops/min) โดยใช้เครื่องควบคุมการให้สารน้ า (infusion pump)
ปรับอัตราการให้ยา oxytocin เพิ่มขึ้น ในอัตรา 1-2 milliunit/min ตามการตอบสนองของการหดรัดตัวของมดลูก ทุก 30 นาที – 1 ชั่วโมง โดยอาจปรับเป็น 6 milliunit/min (36 ml/hr, 12drops/min), 8 milliunit/min (48 ml/hr, 16 drops/min) 10 milliunit/min (60 ml/hr, 20drops/min)ซึ่งต้องคิดค านวณอัตราการให้ยาตามชนิดของชุดให้สารน้ า เช่น 20 drops/ ml, 15drops/ml เป็นต้น
ควรปรับอัตราการให้ยา oxytocin ลดลง หรือหยุดการให้ยา เมื่อมีการหดรัดตัวของมดลูกนาน ถี่หรือ แรง มากเกินไป (hypertonic contraction)
ต้องติดตามประเมินการหดรัดตัวของมดลูก และอัตราการเต้นของหัวใจทารกก่อนให้ยา Oxytocinหลังให้ยา และตลอดระยะเวลาที่ให้ยา โดยใช้เครื่อง electronic fetal monitoringหรือ ทุก 15นาที ในระยะที่ 1 ของการคลอด และทุก 5 นาที ในระยะที่ 2 ของการคลอด
มีข้อบ่งชี้ในการให้ยาเพื่อป้องกันหรือควบคุมการตกเลือดหลังคลอด โดยมีแนวทางในการให้ยา ดังน
Oxytocin 10 units Intramuscular หลังทารกคลอดไหล่หน้า หรือหลังรกคลอดทันที
เจือจางยา oxytocin 10-40 units ในสารน้ า isotonic solution 1,000 ml ให้ในอัตรา 20-40milliunit/min (120 -240 ml/hr)
ยายับยั้งการหัดรัดตัว
ของมดลูก
กลุ่ม Beta – adrenergic Receptor Agonists
Terbutaline, Salbutamol, Ritodrine
ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระมัดระวัง
pulmonary edema
ข้อบ่งห้าม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาใน
ตรีตั้งครรภ์ที่มีโรคหัวใจ (structural heart disease, cardiac ischemia, dysrhythmia)
Hyperthyroidism
เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ดี
ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ดี
Severe hypovolemia
ครรภ์แฝดหรือครรภ์แฝดน้ำ
อาการข้างเคียง
อาการข้างเคียงในแม่
มือสั่น (tremors), ใจสั่น (palpitations), ปวดศีรษะ, น้ำท่วมปอด (pulmonary edema), ชีพจรเต้นเร็ว (tachycardia), หัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia), ความดันโลหิตต่ำ (hypotension), metabolic problems เช่น hyperinsulinemia, hyperlacticemia, hypocalcemia
อาการข้างเคียงในเด็ก
หัวใจเต้นเร็ว (tachycardia), น้ำตาลในเลือดสูงในครรภ์ (hyperglycemia) และน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด (hypoglycemia), ความดันโลหิตต่ำหลังคลอด (hypotension)
การเฝ้าระวัง
Heart rate มากกว่า 140 ครั้งต่อนาที
Hypotension (Ps ลดลงมากกว่าเดิม 20 mmHg, Pd ลดลงมากกว่าเดิม 10 mmHg)
Pulmonary edema
Fetal distress
Progressive cervical change หรือยังมี contraction หลังจากให้ยาขนาดสูงสุด หรือให้ยาเป็นเวลานานมากกว่า 24 ชั่วโมง
Magnesium sulfate
ตัวอย่างขนาดและวิธีการให้ยา Magnesium sulfate
10% MgSO4 40 ml (4 กรัม) IV slowly ในเวลา 15-30 นาที ตามด้วย 50% MgSO4 IV drip ในอัตรา 2 gm/hr ขนาดของยาสูงสุดไม่เกิน 3.5 gm/hr ปรับขนาดเพิ่มหรือลดตาม clinical response (therapeutic level 4-7 mEq/L)
ถ้า uterine contraction หยุดแล้วอาจให้เป็น Terbutaline (Bricanyl) ชนิดฉีด subcutaneous 0.25 mg (1/2 amp) ทุก 4 ชั่วโมง อีก 6 ครั้ง จนครบ 24 ชั่วโมง
ข้อบ่งห้าม
ผู้ป่วยโรค myasthenia gravis
ผู้ป่วยโรคหัวใจ
ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตผิดปกติ
อาการข้างเคียง
อาการข้างเคียงในแม่
ร้อนวูบวาบ (flushing), ปวดศีรษะ, กล้ามเนื้ออ่อนแรง (muscle weakness), คลื่นไส้อาเจียน, pulmonary edema, , ความดันโลหิตต่ำ
อาการข้างเคียงในลูก
เซื่องซึมและอ่อนแรง (hypotonia), อาจกดการหายใจของทารก (respiratory depression), APGAR scores ต่ำตอนคลอด, ความดันโลหิตต่ำ
การเฝ้าระวัง
ตรวจ deep tendon reflex (ต้องไม่ absent)
Respiratory rate (> 14 ครั้ง/นาที)
Blood pressure (> 90/60 mmHg)
Urine output (> 30 cc/hr)
Magnesium level อยู่ในช่วง 4 – 7 mEq/L
ควรมี 10% calcium gluconate ขนาด 1 กรัม ไว้แก้พิษของยา
Calcium-channel blockers
ตัวอย่างขนาดและวิธีการให้ยา Nifedipine
Nifedipine 10 mg oral ทุก 15 นาที 4 ครั้ง (ให้ยาได้ไม่เกิน 40 mg ใน 1 ชั่วโมงแรก)
หลังจากนั้นอีก 4 – 6 ชั่วโมง ให้ยา Nifedipine 20 mg oral ทุก 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 48 – 72 ชั่วโมง (ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 120 mg/day)
หลังจากครบ 72 ชั่วโมง ให้ maintenance ด้วยยา Nifedipine 30 – 60 mg oral วันละครั้ง (ไม่ควรให้ยานานเกินกว่า 7 วัน)
หรือ ให้ maintenance ด้วยยา Nifedipine 30 – 60 mg oral วันละครั้ง หลังได้ loading dose ด้วย Nifedipine 10 mg oral ทุก 15 นาที 4 ครั้ง แล้วไม่มี contraction (ไม่ควรให้ยานานเกินกว่า 7 – 10 วัน)
ข้อบ่งห้าม
ความดันโลหิตต่ำกว่า 90/60 mmHg
โรคหัวใจ
การทำงานของตับบกพร่อง
ได้รับยาลดความดันโลหิตตัวอื่นร่วมด้วย หรือระมัดระวังในกรณีได้รับยา MgSO4
อาการข้างเคียง
อาการข้างเคียงในแม่ : ร้อนวูบวาบ (flushing), ปวดศีรษะ, คลื่นไส้ (nausea), ความดันโลหิตต่ำ (hypotension), ใจสั่น (palpitations), หัวใจเต้นเร็ว (tachycardia)
อาการข้างเคียงในลูก : พบน้อยมาก, อาจพบหัวใจเต้นเร็ว (tachycardia)
การเฝ้าระวัง
วัดความดันโลหิตทุก 15 นาทีหลังได้รับยาในช่วงแรก (loading dose)
หากความดันโลหิตลดลงต่ำกว่า 90/60 mmHg ให้หยุดยา และให้สารน้ำทางหลอดเลือดเพื่อปรับความดันโลหิตให้อยู่ในช่วงไม่ต่ำกว่า 90/60 mmHg
ถ้าผู้ป่วยได้รับ MgSO4 ร่วมด้วย ให้สังเกตการหายใจอย่างใกล้ชิดและระมัดระวังการกดการหายใจจาก Respiratory muscle paralysis
ยาบรรเทาความเจ็บปวด
pethidine
โดยให้ในอัตรา 12.5-50 mg intravenous หรือ 50-100 mg intramuscular ทุก 2-4 ชั่วโมง โดยยา
จะเริ่มออกฤทธิ์หลังฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ 5 นาที และอาจให้ยาร่วมกับ plasil (metoclopramide) 10 mg
เพื่อป้องกัน หรือบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน
หลักการพยาบาลหลังการให้ยา pethidine มีดังนี้
ประเมินอาการคลื่นไส้ อาเจียน และการกดการหายใจ
เฝ้าระวังการกดหายใจในทารกซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ หลังฉีดยา pethidine 3-5 ชั่วโมง
ติดตามประเมินสัญญาณชีพหลังฉีดยา 15 นาที, 30 นาที -1 ชั่วโมง