Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่4.3 ภาวะฉุกเฉินทางสูติ ศาสตร์ - Coggle Diagram
บทที่4.3 ภาวะฉุกเฉินทางสูติ
ศาสตร์
การคลอดเฉียบพลัน (Precipitous Labor)
การคลอดที่เกิดขึ้นเร็วผิดปกติ ใช้เวลาตั้งแต่เจ็บครรภ์จนถึงคลอด น้อยกว่าหรือเ
ท่ากับ 3 ชั่วโมง
หรือ
ระยะที่ 2
ของการคลอดใช้เวลา
น้อยกว่า 10 นาที
หรือมีการเปิดขยายของปากมดลูกในระยะปากมดลูกเปิดขยายเร็ว ๕ เซนติเมตร/ชั่วโมง ในครรภ์แรก และมากกว่า10 เซนติเมตร/ชั่วโมงในครรภ์หลัง
อาการและอาการแสดง
มีอาการเจ็บครรภ์อย่างมาก
มดลูกมีการหดรัดตัวอย่างรุนแรงและถี่มากกว่า 5 ครั้ง ในเวลา
10 นาที
ตรวจภายในพบปากมดลูกเปิดขยายเร็ว
ครรภ์แรก
ปากมดลูกเปิดขยายมากกว่าหรือเท่ากับ
5 เซนติเมตร/ชั่วโมง
ครรภ์หลัง
ปากมดลูกเปิดมากกว่าหรือเท่ากับ 10 เซนติเมตร/ชั่วโมง
ภาวะแทรกซ้อน
ต่อมารดา
เนื้อเยื่อบริเวณช่องทางคลอดฉีกขาด มดลูกมีการเปลี่ยนแปลงจากขนาดใหญ่มาเป็นขนาดเล็กเร็วเกินไป
ติดเชื้อที่แผลฝีเย็บ
ตกเลือดหลังคลอด เสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอดในระยะ 24 ชั่วโมงแรก จากการสูญเสียเลือดปริมาณมาก เนื่องจากมีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อช่องทางคลอด และมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
อาจเกิดภาวะน้ำคร่ำอุดตันในหลอดเลือด
มดลูกแตกจากการหดรัดตัวของมดลูกอย่างรุนแรง
มีการคั่งของเลือดภายใต้ชั้นผิวหนังที่ฉีกขาด
ต่อทารก
เลือดออกในสมอง
อาจเกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อแขนถูกดึงมากเกินไป
อาจเกิดภาวะขาดออกซิเจน
ทารกได้รับบาดเจ็บเนื่องจากการกระทบกระแทกเพราะช่วยคลอดไม่ทัน
การรักษา
ให้การดูแลตามอาการ ถ้าประสบกับการคลอดเฉียบพลันให้ช่วยคลอด
การให้ยา รายที่ให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกควรหยุดให้ยาและดูแลอย่างใกล้ชิดอาจให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก
การผ่าตัด ทำในรายที่มีการคลอดเฉียบพลันแต่การขยายของปากมดลูกไม่ดี ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะมดลูกแตก หรือน้ำคร่ำอุดกั้นในกระแสเลือด
กระบวนการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ช่องทางคลอดมีโอกาสเกิดการฉีกขาดมากผิดปกติเนื่องจากการคลอดเฉียบพลัน
ไม่สุขสบายเจ็บครรภ์คลอด เนื่องจากมดลูกมีการหดรัดตัวถี่และรุนแรง
ทารกอาจเกิดอันตรายจากการคลอดเฉียบพลัน
อาจเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดจากการคลอดเฉียบพลันการตกเลือดหลังคลอด
การประเมินสภาพ
การซักประวัติ
ประวัติการคลอดเฉียบพลันหรือการคลอดเร็วในครรภ์ก่อน
ความไวต่อการเร่งคลอด
ลักษณะอาการเจ็บครรภ์
การตรวจร่างกาย
2.1 ตรวจภายใน
2.2 ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
2.3 การฟังเสียงหัวใจทารก และติดตาม Electronic Fetal monitoring
ภาวะจิตสังคม
สาเหตุและปัจจัยส่งเสริม
แรงต้านทานของเนื้อเยื่อช่องทางคลอดไม่ดี
การหัดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกและกล้ามเนื้อหน้าท้องแรงผิดปกติ
ผู้คลอดครรภ์หลัง
ผู้คลอดที่มีเชิงกรานกว้าง
เคยมีประวัติคลอดเฉียบพลันหรือคลอดเร็ว
ผู้คลอดไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดจากการคลอดหรือไม่รู้สึกอยากเบ่งซึ่งพบได้น้อยมาก
ทารกตัวเล็ก
ผู้คลอดไวต่อการใช้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
การตกเลือดหลังคลอด (Postpartum Hemorrhage)
การเสียเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 500 มิลลิลิตรจากการคลอดทางช่องคลอดหรือการเสียเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 500 มิลลิลิตรจากการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง หรือร้อยละ 1 ของน้ำหนักตัวของมารดาหลังจากคลอดระยะที่สามสิ้นสุดลง
การจำแนกการตกเลือดหลังคลอด
การตกเลือดหลังคลอดทันที(Early or immediatePPH)
ตกเลือดภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
การตกเลือดหลังคลอดภายหลัง (Late or delayedPPH)
ตกเลือดภายหลัง 24 ชั่วโมงจนถึง6 สัปดาห์หลังคลอด
อาการแสดง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
Tone
สาเหตุเกี่ยวกับความผิดปกติของการหดรัดตัวของมดลูก
Trauma
สาเหตุเกี่ยวกับการฉีกขาดของช่องทางคลอด
Tissue
สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับรก เยื่อหุ้มรก หรือชิ้นส่วนของรกตกค้างภายในโพรงมดลูก(Retained products of conception)
Thrombin
สาเหตุเกี่ยวกับการแข็งตัว ของเลือดผิดปกต
ผลกระทบต่อทารก
แนวทางการป้องกันและรักษา
การประเมินปัจจัยเสี่ยง
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มารดามีภาวะตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากมีการคลอดเฉียบพลัน
มีโอกาสเกิดภาวะช็อกเนื่องจากมีภาวะตกเลือดหลังคลอด
ไม่สุขสบายปวดเนื่องจากมดลุกมีการหดรัดตัวถี่และรุนแรง
อ่อนเพลียเนื่องจากเสียพลังงานและสูญเสียเลือดจากการคลอด
1.Black ground and Body condition คือ การตรวจสอบประวัติการคลอด
2.Breast and Lactation คือ การประเมิน ลักษณะของเต้านม หัวนม และการไหลของ
น้ำนม
3.Uterus คือ การประเมินระดับยอดมดลูก และการหดรัดตัวของมดลูก
4.Bladder คือ การประเมินกระเพาะปัสสาวะ
5.Bleeding or Lochia คือ ประเมินลักษณะ และปริมาณของเลือดหรือน้ำคาวปลาที่
ออกจากช่อง
Episiotomy คือ การประเมินบริเวณ ช่องทางคลอดและแผลฝีเย็บ
1.Recognition and Prevention คือ การ รับรู้และการป้องกัน
2.Readiness คือ การเตรียมความพร้อม
3.Response คือ การตอบสนอง
4.Reporting and Learning คือ การรายงาน และการเรียนรู้
ศีรษะของทารกได้รับอันตรายจากการรับทารกไม่ทัน
ทารกเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกในสมอง
เสี่ยงต่อการเกิดสายสะดือขาด
เสียเลือด500-1000
Mild PPH
ใจสั่น มึนงง ชีพจรเร็ว
เสียเลือด1000-1500
Severe PPH
อ่อนแรง เหงื่อออก ชีพจร
เร็ว
เสียเลือด1500-2500
Severe PPH
ก ร ะ สั บ ก ร ะ ส่ า ย ซี ด
ปัสสาวะออกน้อย
เสียเลือด2500-3000
Very severe or
major PPH
หมดสติ ขาดอากาศ ไม่มี
ปัสสาวะ
ภาวะมดลูกแตก (Uterine Rupture)
สาเหตุของมดลูกแตก
๑. มดลูกแตกเอง (spontaneous rupture of the intact uterus)
พบในหญิงตั้งครรภ์หลัง
การตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก
ผู้คลอดได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
ภาวะศีรษะทารกผิดสัดส่วนกับช่องเชิงกราน
ท่าและส่วนนำผิดปกติ
๒. มดลูกแตกจากการได้รับการกระทบกระเทือน (Traumatic rupture of the intact uterus)
เกิดจากอุบัติเหตุในขณะตั้งครรภ์
๓. มดลูกแตกจากรอยแผลเดิม (Rupture previous uterus scar)
เกิดจากหญิงตั้งครรภ์เคยเคยผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
มักจะแตกในระหว่างเจ็บครรภ์คลอด
ชนิดของมดลูกแตก
๑. มดลูกแตกตลอดหมดหรือแตกชนิดสมบูรณ์(complete uterine ruptured)
การฉีกขาดของมดลูกทั้ง ๓ ชั้นของผนังมดลูก
๒. มดลูกแตกบางส่วน (incomplete uterine ruptured)
การฉีกขาดของมดลูกชั้นเยื่อบุมดลูก
(endometrium
กล้ามเนื้อมดลูก (myometrium) แต่ไม่ทะลุชั้นเยื่อบุช่องท้อง peritoneum
อาการและอาการแสดง
ก่อนมดลูกแตก
๑. เจ็บปวดบริเวณท้องน้อยอย่างรุนแรง
๒. กระสับกระส่าย PR เบาเร็ว RR ไม่สม่ าเสมอ
๓. การคลอดไม่ก้าวหน้า ปากมดลูกไม่เปิดขยายต่อและส่วนน าของทารกไม่เคลื่อนต่ าลงมา PV พบปากมดลูก
๔. มองเห็นหน้าท้องเป็นสองลอนสูงขึ้นเกือบถึงระดับสะดือ (Bandl’s ring) เ
๕. มีการหดรัดตัวถี่และรุนแรงของมดลูก (tetanic contraction)
๖. ทารกในครรภ์เกิด fetal distress อาจพบ FHS ไม่สม่ าเสมอ
๗. อาจมีเลือดออกทางช่องคลอด
เมื่อมดลูกแตกแล้ว
๑.เจ็บปวดบริเวณมดลูกส่วนล่างอย่างรุนแรงและมารดารู้สึกว่ามีการฉีกขาดของอวัยวะภายใน
๒. คล าพบส่วนของทารกชัดเจนขึ้น
๓. ถ้ามดลูกแตกขณะเจ็บครรภ์ อาการเจ็บครรภ์จะหายไปทันที
๔.อาจพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดจ านวนเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่เลือดจะออกไปอยู่ในช่องท้อง
๕.ท้องโป่งตึงและปวดท้องอย่างรุนแรงจากเลือด น้ าคร่ า และบางส่วนของทารกระคายเยื่อบุช่องท้อง
๖.FHS เปลี่ยนแปลงโดยอาจช้าหรือเร็ว หรือหายไป
๗.PV พบส่วนน าลอยอยู่สูงขึ้นจากเดิม
๘.มีภาวะ Hypovolemic shock ได้แก่ กระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ าลง ตัวเย็น เหงื่อออกหายใจไม่ออก และหมดสติเนื่องจากเสียเลือดมาก
๙.ผู้คลอดจะเจ็บบริเวณหน้าอก
ผลกระทบ
ต่อผู้คลอด
้คลอดอาจมีอาการแสดงของการเสียเลือดจนช็อก หรือเจ็บบริเวณท้องมาก อาจเกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบได้ รวมทั้งผู้คลอดจะมีความวิตกกังวลมาก เนื่องจากห่วงทารกในครรภ์และอาการของตนเอง
ต่อทารก
ทารกจะมีการขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง หรือได้รับบาดเจ็บจากการคลอดฉุกเฉินทั้งจากการผ่าตัดคลอดหรือใช้หัตถการช่วยคลอด และอาจเสียชีวิตได้ ถ้าการช่วยเหลือไม่เป็นไปอย่างรีบด่วน
การประเมินสภาพ
ก่อนมดลูกแตก
๑.ตรวจมดลูก พบ tetanic contraction หรือพบ Bandl’s ring ปวดท้องรุนแรง สัมผัสหน้าท้องไม่ได้
๒.ผู้คลอดมีท่าทางกระสับกระส่าย วัด V/S พบว่า PR เบาเร็ว RRไม่สม่ าเสมอ
๓.กดเจ็บบริเวณหน้าท้อง
๔. PV พบปากมดลูกอยู่สูงขั้นจากการถูกดึงรั้งขึ้นไป ปากมดลูกบวม หัวทารกเป็น caput succedaneum
๕. FHS ไม่สม่ำเสมอ
๖. อาจมีเลือดออกทางช่องคลอดหรือบางครั้งอาจไม่พบ
หลังมดลูกแตกแล้ว
๑. ผู้คลอดปวดท้องอย่างรุนแรง รู้สึกอึดอัดจากเลือด น้ำคร่ำและตัวเด็กระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องท้องถ้ามดลูกแตกขณะเจ็บครรภ์ อาการเจ็บครรภ์จะหายไป
๒. คลำพบส่วนทารกชัดเจน
๓. ผู้คลอดบอกรู้สึกมีอะไรแยก
๔. บางรายมีเลือดออกทางช่องคลอดมาก ปัสสาวะเป็นเลือด
๕. FHS เปลี่ยนแปลงหรือหายไป
๖. PV พบส่วนน าลอยอยู่สูงกว่าเดิม
๗.มีภาวะ Hypovolemic shock
การพยาบาล
๑.หญิงตั้งครรภ์ที่เคยผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ควรแนะนำให้คุมกำเนิดและละเว้นระยะของการตั้งครรภ์อย่างน้อย ๒ ปี
๒.ประเมินและวินิจฉัยปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะมดลูกแตกในผู้คลอด
๓.การพยาบาลในระยะคลอด ต้องเฝ้าดูแลความก้าวหน้าของการคลอดอย่างใกล้ชิด
๔. ในผู้คลอดที่ได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
๔. ในผู้คลอดที่ได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
๕.สังเกตอาการและอาการแสดงก่อนมดลูกแตก
การพยาบาลเมื่อเกิดภาวะมดลูกแตก
๑. งดน้ำและอาหารทางปาก
๒. ประเมินสัญญาณชีพและเสียงหัวใจทารกทุก ๕ นาที
๓. ดูแลให้ได้รับออกซิเจนร้อยละ ๑๐๐
๔. ประเมินเลือดที่ออกทางช่องคลอด
๕. ประเมินอาการและอาการแสดงของการตกเลือดและอาการแสดงของภาวะช็อก
๖. ดูแลให้ได้รับเลือดทดแทนตามแผนการรักษา
ภาวะน้ำคร่ำอุดกั้น หลอดเลือดในปอด(Amniotic fluid embolism)
ภาวะที่มีน้ำ คร่eรั่วแล้วมีการพลัดเขา้ไปในกระแสเลือดทางมารดา ไปอุดกล้นั บริเวณหลอดเลือดดา ที่ปอด
ซ่ึงเกิดข้ึนทนั ทีทนัใด จึงถือไดว้า่ เป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติศาสตร์อยา่งหน่ึง
สาเหตุ
1) การหดรัดตัวของมดลูกที่ถี่และรุนแรง
2) ถุงน้า ครำาแตกทา ใหเ้กิดช่องทางติดต่อในการที่น้า คร่ำจะหลุดเขา้กระแสเลือดได้
3) ทารกตายในครรภเ์ป็นเวลานานเกิดการเปื่อยยุย
4) รกรอกตวัก่อนกำหนดทำ ให้มีการฉีกขาดของหลอดเลือดเกิดช่องทางติดต่อในการที่น้ำ คร่ำจะหลุดเข้ากระแสเลือดได้
พยาธิสรีรภาพ
1) เกิดจากส่วนประกอบของน้า คร่ำไปอุดก้นั หลอดเลือดดาเล็ก ๆในปอด
2) เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุมกันของมารดาต่อสารหรือส่วนประกอบ(complements)บางอย่างที่ผิดปกติในน้ำคร่่ำ
อาการและอาการแสดง
1 ระยะที่1 ภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลว (hemodynamiccollapse
หายใจลำบาก
แน่นหน้าอก
เขียวตามปลายมือปลายเท้า
ความดันโลหิตต่ำชีพจรเร็ว
ระยะที่2 ภาวะเลือดไม่แข็งตวั (coagulopathy)
ลูกหดรัดตวัไม่ดี
ีการตกเลือดหลังคลอด
ตรวจพบเกร็ดเลือดต่ำ
เกิดภาวะ DIC
การรักษา
1) ป้องกนัและแกไ้ขภาวะขาดออกซิเจน ด้วยการให้ออกซิเจน 100%
2) ป้องกันระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบหายใจล้ม เหลว
3) ป้องกนัและแกไ้ขภาวะเลือดแขง็ตวัผดิปกติและภาวะตกเลือด
4) ช่วยคลอดใหเ้ร็วที่สุดเพื่อป้องกนัอนั ตรายจากภาวะขาดออกซิเจนของทารก
ประคับประคองด้านจิตใจของสามีครอบครัวและญาติด้วยการให้ข้อมูล และดูแลอยา่ งใกล้ชิด
การบันทึกทางการพยาบาลที่ชัดเจน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1.ผู้ลอดมีภาวะขาดออกซิเจนเนื่องจากเกิดภาวะระบบหายใจล้มเหลว
ทารกในครรภ์มีภาวะเครียด (Fetaldistress) เนื่องจากได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอขณะมารดามีภาวะน้า คร่ าอุดก้นั หลอดเลือดในปอด
มารดาที่มีภาวะช๊อค
(Shock In Obstetrics)
ภาวะที่ระบบไหลเวียนเลือดไม่สามารถนำออกซิเจนและไม่สามารถนำของเสียที่เกิดจากการแปรสภาพในเซลล์ (Cellular metabolism)
ชนิดของภาวะช็อค
ภาวะช็อคจากปริมาตรเลือดลดน้อยลง (Hypovolemic shock)
ภาวะช็อคจากการติดเชื้อ (Septic shock, Endotoxin shock)
ภาวะช็อคจากการท างานของกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลว (Cardiogenic shock)
ภาวะช็อคจากระบบประสาท (Neurogenic shock)
สาเหต
การลดลงของปริมาตรในหลอดเลือด (Intravascular volume) พบบ่อยที่สุด
การลดลงของปริมาณเลือดจากหัวใจต่อนาที (Cardiac output)
ความผิดปกติในระบบไหลเวียนฝอย (Micro circulation)
ความผิดปกติของเยื่อหุ้มเซลล์
อาการและอาการแสดง
กระวนกระวาย
ปกติอบอุ่น
เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ต่่ำลงเล็กน้อย
หอบเล็กน้อย
ปัสสาวะมากขึ้น
การพยาบาล
วัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที
ขอความช่วยเหลือจากบุคลากรอื่นในทีมสุขภาพ
จัดให้มารดาอยู่ในท่านอนหงายราบและดูแลไม่ให้ทางเดินหายใจถูกปิดกั้น
ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมาสู่อวัยวะส่วนปลายแขน
ยกปลายเท้าให้สูงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดมาสู่หัวใจ
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
สวนคาและบันทึกจำนวนปัสสาวะ
ให้ออกซิเจน 6 – 8 ลิตร/นาที
ให้ความช่วยเหลือตามสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะช็อค
ภาวะสายสะดือพลัดต่ำหรือสายสะดือโผล่
(Prolapse of Cord)
ภาวะที่สายสะดือเคลื่อนลงมาอยู่ต่ ากว่าส่วนนำของทารกอาจอยู่ในช่องคลอดหรือโผล่ออกมานอกปากช่องคลอด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังจากมีการแตกของถุงน้ำคร่ำ
ชนิด
Occult (Hidden) prolapse of cord
สายสะดือเคลื่อนต่ำลงมาพอที่จะถูกส่วนนำของทารกกดได้
Forelying cord
สายสะดือเคลื่อนต่ำลงมาจนถึงปากมดลูก
Complete prolapse of cord
สายสะดือพลัดออกมาจนพ้นปากมดลูก
ผลกระทบ
ต่อมารดา
ผลกระทบต่อมารดาส่วนใหญ่มักเกิดจากการได้รับยาสลบจากการช่วยคลอด เช่น การผ่าตัดทารกออกทางหน้าท้อง หรือการใช้คีม (Forceps extraction) นอกจากนี้หากทารกเสียชีวิตมารดาจะประสบกับภาวะเศร้าโศก เสียใจ ได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจ จากการเกิดความสูญเสีย
ต่อทารก
ภาวะสายสะดือพลัดต่ำจะคุกคามต่อชีวิตทารก เนื่องจากการกดสายสะดือจะเป็นการตัด
การไหลเวียนของเลือดจากรกมาสู่ทารก ซึ่งเป็นสาเหตุท าให้ทารกขาดออกซิเจนและถึงแก่ชีวิตได้
อาการและอาการแสดง
ถ้าเป็นชนิด Complete prolapse cordจะพบว่าสายสะดือโผล่ออกมาจากช่อง
คลอด หรือมารดามีความรู้สึกขัดตุงบริเวณช่องคลอดภายหลังจากถุงน้ าแตก
ตรวจภายในพบสายสะดือพลัดต่ ากว่าส่วนนำของทารก โดยอาจตรวจพบการเต้นของ
หัวใจทารกบริเวณสายสะดือ
ถ้าสายสะดือพลัดต่ าเป็นชนิด Occult prolapse cord จะไม่พบส่วนของสาย
สะดือโผล่ออกมาหรือคล าไม่ได้ แต่จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจทารก
การวินิจฉัย
จากอาการและอาการแสดง
จากการประเมินพบการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจทารกเป็นชนิด Variable deceleration
การรักษา
พยายามลดการกดทับของส่วนน าบนสายสะดืออย่างทันทีทันใด โดยจัดให้มารดานอนในท่ายกก้นสูง อาจเป็นท่า Trendelenburg หรือ Knee – chest หรือใช้หมอนหนุนบริเวณสะโพกให้สูงขึ้น (Sim’s position)
สวมถุงมือ Sterile แล้วดันส่วนน าไม่ให้กดทับบริเวณสายสะดือจนกว่าการคลอดจะสิ้นสุดลง
ห้ามดันสายสะดือที่โผล่พ้นออกจากช่องคลอดกลับเข้าไปใหม่ ควรใช้ผ้า Sterile นุ่มๆ ชุบน้ำเกลือที่อุ่น ๆ คลุมบริเวณสายสะดือที่โผล่ออกมา
พยายามช่วยให้ทารกคลอดออกมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าปากมดลูกยังเปิดไม่เต็มที่
ให้ออกซิเจนแก่มารดา 8 – 10 ลิตร/นาที
ถ้าหากทารกเสียชีวิตแล้ว แพทย์จะช่วยให้การคลอดเป็นไปตามธรรมชาติ หรืออาจช่วยคลอดโดยการใช้คีม
ภาวะทารกในครรภ์ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ (Fetal distress)
ภาวะที่ทารกในครรภ์ได้รับออกซิเจน หรือได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
สาเหตุ
ด้านมารดา
มารดามีความดันโลหิตต่ำ
ช๊อคจากโรคหัวใจ
ด้านมดลูก
มดลูกมีการหดรัดตัวที่รุนแรงมากผิดปกต
เกิดจากการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดบริเวณมดลูก
ด้านรก
หลอดเลือดที่บริเวณรกเสื่อมสภาพ
ด้านสายสะดือ
สายสะดือถูกกดทับ
ด้านทารก
ทารกมีการติดเชื้อ
พยาธิสรีรวิทยา
ระบบปฏิกิริยาสะท้อนกลับ
ปริมาณของออกซิเจนที่แลกเปลี่ยนในระบบหัวใจและหลอดเลือด
แรงกดดันที่กระทำต่อศีรษะทารกในระหว่างคลอด
การกดทับของสายสะดือ
ผลกระทบ
ต่อมารดา
การเต้นของหัวใจที่ผิดปกติของทารกจะเพิ่มความเครียดและความวิตกกังวลให้กับมารดา
จึงนับได้ว่าก่อให้เกิดปัญหาด้านจิตสังคมในระยะคลอดที่มารดาอาจจะต้องเผชิญ
ต่อทารก
การได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอเป็นเวลานาน จะน าไปสู่การเกิดความพิการของสมอง
หรือมีพัฒนาการช้ากว่าปกติ หรือเป็นเด็กปัญญาก่อนในเวลาต่อมา
อาการและอาการแสดง
มีขี้เทาปนออกมากับน้ำคร่ำในทากที่มีศีรษะเป็นส่วนนำ
มีการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจทารก
จากการตรวจ Fetal scalp blood sampling
ทารกในครรภ์ดิ้นอย่างรุนแรงและมากขึ้น
การวินิจฉัย
การฟังเสียงหัวใจทารก (FHR)
การสังเกตลักษณะของน้ำคร่ำ
การสังเกตการดิ้นของทารก
การบันทึกการเต้นของหัวใจทารกด้วยเครื่อง Monitor
การรักษา
เปลี่ยนท่านอนของมารดา
ให้ Oxygen mask ในปริมาณ 6 – 10 ลิตร / นาที
บันทึกการเต้นของหัวใจทารกด้วยเครื่อง Monitor ตลอดเวลา
ในกรณีที่มารดาได้รับ Oxygocin ควรหยุดการให้ทันท
เจาะ Fetal scalp blood sampling
รีบทำคลอดตามความเหมาะสม
ภาวะรกค้าง รกติด
รกค้าง (Retained placenta)
หมายถึง ภาวะที่รกไม่คลอดภายใน 30 นาทีหลังจากทารกคลอดโดยทั่วไปรกจะคลอดภายใน 10 นาที หลังจากที่ทารกคลอดแล้ว และไม่ควรเกิน 30 นาที ส่วนใหญ่ ร้อยละ 90 รกจะคลอดภายใน 15 นาที มีเพียงร้อยละ 2-3 เท่านั้นที่รกคลอดใช้เวลานานเกิน 30 นาที
ชนิดของรกติด (placenta adherens)
placenta accreta
ชนิดที่ trophoblast ฝังตัวลงไปตลอดชั้นสปอนจิโอซา (spongiosa) ของเยื่อบุมดลูกอาจทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน แต่ไม่ผ่านลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อมดลูก
placenta increta
ชนิดที่ trophoblast ฝังตัวลึกผ่านลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อมดลูก แต่ไม่ถึงชั้นซีโรซา(serosa)
placenta percreta
ชนิดที่ trophoblast ฝังตัวลึกทะลุชั้นกล้ามเนื้อมดลูกจนถึง serosa
สาเหตุ
การขาดกลไกการลอกตัว
การขาดกลไกการขับดัน ให้รกที่ลอกตัวแล้วผ่านออกมาภายนอก
สาเหตุส่งเสริม ได้แก่
3.1 การทำคลอดรกก่อนรกลอกตัวสมบูรณ์
3.2 เคยมีประวัติรกค้าง
3.3 เคยทำหัตถการที่ส่งเสริมให้เกิดรกค้าง
3.4 มดลูกมีลักษณะผิดปกติ
การประเมินสภาพ
ไม่มีอาการแสดงของรกลอกตัว หรือมีเพียงเล็กน้อยหลังทารกคลอดนาน 20-30 นาที
มดลูกหดรัดตัวไม่ดีหลังคลอด
ในกรณีที่มีเศษรกค้าง ตรวจพบดังนี้มีเลือดออกทางช่องคลอดจำนวนมากภายหลังรกคลอดตรวจรกพบว่ามีบางส่วนของเนื้อรกขาดหายไป
มารดามีอาการกระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว ตัวเย็นซีด เหงื่อออก ความดันโลหิตลดลง ระดับความ
รู้สึกตัวลดลง ซึ่งเป็นอาการของการช็อกจากการเสียเลือดมาก
ผลกระทบของภาวะรกค้างต่อมารดา
ผลกระทบของภาวะรกค้างต่อทารก
ทารกได้รับความอบอุ่นจากมารดาล่าช้า
การเสริมสร้างสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารกล่าช้า
การรักษา
ให้ยาช่วยกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อมดลูกมีการหดรัดตัวและคลายตัวเป็นระยะ ๆ ได้ดีขึ้น ช่วยส่งเสริมกลไกการลอกตัวของรก ทำให้รกลอกตัวออกมาได้
ให้ยาเพื่อให้เกิดการคลายตัวของปากมดลูก ได้แก่
ให้ยาอดรีนาลีน (adrenalin) 1:1,000 จำนวน 0.3-0.5 ซี.ซี. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ถ้าให้ยาแล้วไม่อาจช่วยให้รกลอกตัวสมบูรณ์ และรกไม่สามารถคลอดออกมาได้ แสดงว่ารกฝังตัวลึกต้องช่วยเหลือด้วยการล้วงรก (manual removal of the placenta)
การพยาบาล
6 more items...
ตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากรกไม่ลอกตัว และมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
เกิดการติดเชื้อหลังคลอดได้ เนื่องจากชิ้นส่วนของรกตกค้างภายในโพรงมดลูก หรือจากการล้วงรก
มีภาวะเสี่ยงสูงต่อการถูกตัดมดลูกทิ้ง เนื่องจากรกฝังตัวลึกกว่าปกติ
กรณีถูกตัดมดลูก (hysterectomy) จะทำให้หมดโอกาสที่ตั้งครรภ์ต่อไป โดยเฉพาะมารดาที่อายุน้อย