Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่10.2การใช้ยาในระยะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
บทที่10.2การใช้ยาในระยะตั้งครรภ์
Vit. A
โดยทั่วไปคุณแม่ตั้งครรภ์ใช้ครีมทาผิวได้ทุกชนิดโดยไม่เป็นอันตราย แต่สำหรับยากินที่เป็นกรดวิตามินเอ ซึ่งมักใช้กันในการรักษาสิวจำเป็นต้องระวังอย่างมาก กรดวิตามินเอนี้มีทั้งในรูปแบบการกินและการทา จากรายงานแพทย์ทั่วโลกพบว่า กรดวิตามินเอแบบกินมีผลต่อการตั้งครรภ์โดยตรง คือ
มีผลต่อการสร้างอวัยวะของตัวอ่อนในครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนแรก โดยมีผลต่อระบบหัวใจ ระบบประสาท และกระจกตา
การเกิดผลดังกล่าว ไม่ขึ้นกับระยะเวลาหรือปริมาณที่ใช้ คือ การใช้มานานหรือเพิ่งจะใช้ หรือใช้มากหรือน้อย ส่งผลดังกล่าวได้ทั้งนั้น ความรุนแรงขึ้นกับแม่และเด็กแต่ละคน
ผู้ที่กินกรดวิตามินเอ เพื่อรักษาโรคบางอย่างนั้น จะต้องหยุดยาเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน (แล้วแต่ชนิดของยา ซึ่งมีตั้งแต่ 1 เดือนจนถึง 2 ปี) จึงจะตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย
โดยเฉพาะในยากินรักษาสิวซึ่งหญิงวัยเจริญพันธุ์เป็นกลุ่มที่มีโอกาสใช้มาก การใช้ยาเหล่านี้ควรสั่งโดยแพทย์ผิวหนัง
ไม่กินยารักษาสิวที่มีกรดวิตามินเอเป็นส่วนผสม
หากจำเป็นต้องได้รับยากิน ควรสอบถามคุณหมอก่อนว่า ถ้าตั้งครรภ์สามารถกินยานั้นได้หรือไม่
การที่ผิวหนังแตกลายขณะตั้งครรภ์ขึ้นกับสภาพผิวตามพันธุกรรม หากกรรมพันธุ์คุณมีผิวแตกง่าย แม้ป้องกันก็แตกได้
ขนาดและความเร็วของผิวหนังที่ขยาย ถ้าขยายเร็ว ผิวหนังก็จะแตกลายได้
การใช้ครีมบำรุงหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวขณะตั้งครรภ์ จะช่วยลดการแตกลายของผิวหนังหน้าท้องได้
Warfarin
โดยจุดประสงค์ในการใช้ยาเพื่อป้องกันการเกิดลิ้มเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันเส้นเลือดตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่นที่สมอง ปอด เส้นเลือดที่แขน/ขา
ข้อควรปฏิบัติ
1.มาพบแพทย์ตามนัด ขนาดยาจำเป็นต้องได้รับการปรับตามค่า INR ของท่าน เนื่องจากขนาดยาที่น้อยเกินไปจะไม่ได้ผลในการรักษา ขนาดยาที่มากเกินไป จะทำให้เลือดออกง่ายซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
2.ท่านต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะมีอาการเลือดออกผิดปกติ ให้หยุดรับประทานยาและมาพบแพทย์ทันที
3.หากท่านไปพบแพทย์หรือทันตแพทย์ด้วยปัญหาอื่น ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่าท่านกำลังรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดอยู่ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องทำการผ่าตัด ถอนฟันหรือต้องรับประทานยาอย่างอื่นเพิ่ม
4.หากเกิดอุบัติเหตุมีบาดแผล และเลือดไม่หยุดไหล วิธีเบื้องต้นในการห้ามเลือด คือให้ท่านใช้มือกดไว้ให้แน่นตรงบาดแผล เลือดจะหยุดออกหรือออกน้อยลง แล้วรีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที และแจ้งให้แพทย์หรือพยาบาลทราบว่าท่านกำลังรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดอยู่
5.ยาและอาหารบางชนิด อาจมีผลต่อระดับยา Warfarin ในกระแสเลือด ซึ่งจะส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยาและการรักษาได้
หากลืมรับประทานยา
-ห้ามเพิ่มขนาดยา ที่รับประทานเป็นสองเท่าโดยเด็ดขาด กรณีลืมรับประทานยา และยังไม่ถึง 12 ชั่วโมงให้รีบรับประทานยาทันทีที่นึกได้ ในขนาดเดิม
-กรณีที่ลืมรับประทานยา และเลย 12 ชั่วโมงไปแล้ว ให้ข้ามยามื้อนั้นไปเลย แล้วรับประทานยามื้อต่อไปในขนาดเดิม
อาการที่ผู้ป่วยควรสังเกตเมื่อใช้ยา Warfarin
-มึนงง ชา
-ลิ้นแข็ง ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด
หากท่านมีอาการดังกล่าวให้คงขนาดยาที่รับประทานเดิมไว้และรีบมาพบแพทย์ทันที
-เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล มีจ้ำเลือดตามผิวหนัง
-ประจำเดือนมามากผิดปกติ
-มีเลือดออกทางตา
-ไอเป็นเลือด
-อาเจียนเป็นเลือด
-มีเลือดออกทางปัสสาวะ
-ถ่ายอุจจารระเป็นเลือดหรือเป็นสีดำ
-มีเลือดออกทางเนื้อเยื่อ เช่น บาดแผลเลือดออกมาก
ไม่ควรใช้ยานี้ในหญิงมีครรภ์ โดยเฉพาะในระยะ 3 เดือนแรก หากท่านตั้งครรภ์หรือต้องการมีบุตร ควรปรึกษาแพทย์
ยานี้สามารถขับผ่านทางน้ำนมได้ ดังนั้นหญิงให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้