Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลทางสุติกรรม, นาย พงศ์ศิริ พรมจารี รหัส 602701059 …
การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลทางสุติกรรม
การใช้ยาในระยะตั้งครรภ์
Retinoic acid
ปริมาณการใช้
ผู้หญิงปกติ 2,600 IU/วัน
หญิงตั้งครรภ์ 3,300 IU/วัน
หญิงให้นมบุตร 4,000 IU/วัน
ไม่ควรรับประทานมากกว่า 8,000 IU/วัน
กรณีที่ได้รับจากผักและผลไม้ สามารถรับประทานได้ไม่จำกัด
ผลข้างเคียงเมื่อได้รับมากเกินไป
มารดามีภาวะตับทำงานผิดปกติ เนื่องจากวิตามินเอที่มากเกินจะถูกนำไปสะสมที่ตับ
ภาวะแร่ธาตุในกระดูกลดลง เกิดภาวะกระดูกพรุน
ภาวะแท้งบุตร หรือทารกพิการแต่กำเนิด ถ้าได้รับในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
ระบบประสาทส่วนกลางไม่ทำงาน มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ วิงเวียน ตาพร่ามัว
ประโยชน์
ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย แก่ทารก
ทำให้แผลมารดาหายได้เร็วชึ้น
ช่วยในการเจริญเติบโต และพัฒนาระบบต่างๆ ของทารก เช่นระบบ ประสาท หัวใจ ปอด ไต ตา ระบบสืบพันธุ์ และกระดูก
ป้องกันการติดเชื้อในมารดาช่วงหลังคลอด
warfarin
ปริมาณการใช้
ยารับประทาน
ผู้ใหญ่ ขนาดรับประทานเพื่อการรักษาเริ่มต้น: 5 มิลลิกรัมต่อวัน ป้องกันการแข็งตัวของเลือดเร่งด่วน เริ่มต้นใช้ 10 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 2 วัน และปรับปริมาณการใช้ยาเพิ่มตามแพทย์สั่ง
ผู้สูงอายุ ใช้ปริมาณยาเริ่มต้นระดับต่ำและใช้ปริมาณยาสำหรับการรักษา โดยปริมาณการใช้ยาจะขึ้นอยูกับดุลยพินิจของแพทย์
ยาฉีด
ผู้ใหญ่ ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอย่างช้า ๆ ปริมาณเพื่อการรักษาเริ่มต้น 5 มิลลิกรัมต่อวัน ป้องกันการแข็งตัวของเลือดเร่งด่วน เริ่มต้นใช้ 10 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 2 วัน และปรับปริมาณการใช้ยาเพิ่มตามแพทย์สั่ง
ผู้สูงอายุ ใช้ปริมาณยาเริ่มต้นระดับต่ำ โดยปริมาณการใช้ยาจะขึ้นอยูกับดุลยพินิจของแพทย์
ผลข้างเคียง
หากได้รับยานี้ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ที่เริ่มมีการพัฒนาอวัยวะ พบว่ามีความเสี่ยงของความพิการเพิ่มขึ้นร้อยละ 30
ยานี้ผ่านรกไปสู่ทารกอาจจะทำให้ทารกตายในครรภ์ หรือเลือดออก
ความเสี่ยงของการแท้งเพิ่มขึ้น 14.6-56%
ประโยชน์
ยาที่ออกฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด มีผลทำให้เลือดแข็งตัวช้ากว่าปกติ จึงช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในระบบไหลเวียนของเลือดของร่างกาย เช่น ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดสมอง ปอด เส้นเลือดที่แขนหรือขา เป็นต้น
ข้อบ่งชี้
ไม่ควรให้ในขณะตั้งครรภ์
ยานี้จะใช้ในคนท้องที่รักษาด้วยยาอื่นแล้วไม่ได้ผล
การใช้ยาในระยะคลอด
ยาบรรเทาอาการเจ็บปวด
pethidine
เป็นยาสังเคราะห์ในกลุ่ม opioid มีการใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บครรภ์ในระยะคลอด
รพยาบาลหลังการให้ยา
ประเมินอาการคลื่นไส้ อาเจียน และการกดการหายใจ
เฝ้าระวังการกดหายใจในทารกซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ หลังฉีดยา pethidine 3-5 ชั่วโมง
ติดตามประเมินสัญญาณชีพหลังฉีดยา 15 นาที, 30 นาที 1 ชั่วโมง
อัตราการให้
ให้12.5-50 mg intravenous หรือ 50 100 mg intramuscular ทุก 2-4 ชั่วโมง โดยยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังฉีดเข้าทางหลอดเลือดดา 5 นาที และอาจให้ยาร่วมกับ plasil (metoclopramide) 10 mg เพื่อป้องกัน หรือบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน
ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก
MgSO4
ออกฤทธิ์กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้หลอดเลือดขยายตัว รู้สึกร้อน มีเหงื่อออก ลดความถี่และความแรงในการหดรัดตัวของมดลูกด้วย
แนวทางในการให้ยา
หลังจากนั้นให้ 50% MgSo4 1-2 g/hr โดยผสมในสารน้า isotonic solution เช่น 5%D/N/2, NSS, LRI หรือฉีด 50% MgSo4 10 g (20 ml) เข้าทางกล้ามเนื้อสะโพก (gluteus maximus) ข้างละ 5 g (10 ml) และ 5 g IM ทุก 6 ชม. จนครบ 24 ชม.
loading dose: MgSO4 4-6 g ในสารน้ำ 100 มล. ให้ทางหลอดเลือดดำ 15-20 นาที หรือ ให้ 10% MgSO4 4 g โดยเจือจางจาก 50% MgSO4 4 g 8 ml ผสมกับ sterile water 32 ml
หลักการพยาบาล
ประเมินภาวะ hyperreflexia หรือ hyporeflexia จาก deep tendon reflex
ติดตามประเมินปริมาตรน้ำเข้า ออกจากร่างกาย โดยเฉพาะปัสสาวะต้องไม่น้อยกว่า 25 30 มล./ชม.
ติดตามประเมินสัญญาณชีพทุก 30 นาที 1 ชม. หรือทุก 2 4 ชม. ตามสภาพอาการของสตรีตั้งครรภ์ หรือสตรีหลังคลอด
ควรให้ยา MgSo4 ในสารละลาย ร่วมกับการให้สารละลาย อีกในขวด (piggyback) เพื่อสามารถหยุดให้ยาได้ทันทีเมื่อมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น
ติดตามระดับความเข้มข้นของ MgSo4 ในเลือดโดยระดับยาในขนาดของการรักษา (therapeutic range) ต้องอยู่ระดับ 4.0-8.0 mEq/L
กรณีได้รับยา MgSo4 เกินขนาดต้องให้ยา 10% calcium gluconate เพื่อต้านการออกฤทธิ์ของ MgSO4
Bricanyl
ปริมาณการใช้ยา
ให้ยา 0.25 mg Subcutaneous ทุก 4 ชม.
เจือจางในสารละลาย isotonic solution ให้ทางหลอดเลือดดำในอัตรา 2.5 10 microgram/min และปรับขนาดยาได้สูงสุด 17.5 30 microgram/min จนกระทั่งไม่มีการหดรัดตัวของมดลูก หรือสูงสุดไม่เกิน 0.08 mg/min
กรณีให้ยาจนกระทั่่งไม่มีการหดรัดตัวของมดลูกแล้ว จะต้องให้ยาในขนาดเดิมต่อไปประมาณ 1 ชม. แล้วค่อยๆลดขนาดยาลง ทุก 20 นาที และให้ยาต่อไปอีก 12 ชม.
การพยาบาล
ติดตามประมาณสัญญาณชีพทุก 1-4 ชม. ตามสภาพอาการ
เฝ้าระวังอาการข้างเคียงจากการให้ยา เช่น อาการใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตต่า น้าท่วมปอด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ใช้ในการยับยั้งการหดรัดตัวของมดลูกในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกาหนด
ยาเพิ่มการหดรัดตัวของมดลูก
Oxytocin
วัตถุประสงค์
ชักนำการคลอด (induction of labor) หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการหดรัดตัวของมดลูก
หลักในการใช้ยา
ควรเริ่มให้สารน้ำที่ไม่มี oxytocin ก่อน และให้สารน้ำที่มี oxytocin ในอัตราที่ช้าๆก่อน เช่น 4 milliunit/min (24 ml/hr, 8 drops/min) โดยใช้เครื่องควบคุมการให้สารน้ำ (infusion pump)
ปรับอัตราการให้ยา oxytocin เพิ่มขึ้น ในอัตรา 1 2 milliunit/min ตามการตอบสนองของการหดรัดตัวของมดลูก ทุก 30 นาที – 1 ชั่วโมง โดยอาจปรับเป็น 6 milliunit/min (36 ml/hr, 12 drops/min), 8 milliunit/min (48 ml/hr, 16 drops/min)
ควรให้คู่กับสารน้ำอีก 1 ขวด (piggy back) เพื่อสามารถหยุดให้ยาได้ทันที กรณีมีการหดรัดตัวของมดลูกถี่ นาน หรือมีการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจทารก
ควรปรับอัตราการให้ยา oxytocin ลดลง หรือหยุดการให้ยา เมื่อมีการหดรัดตัวของมดลูก็นาน ถี่ หรือ แรง มากเกินไป
ต้องเจือจางยา oxytocin ในสารน้ำ isotonic solution เช่น 5% D/N/2, NSS, LRI
ต้องติดตามประเมินการหดรัดตัวของมดลูก และอัตราการเต้นของหัวใจทารกก่อนให้ยา Oxytocin หลังให้ยา และตลอดระยะเวลาที่ให้ยา โดยใช้เครื่อง electronic fetal monitoring หรือ ทุก 15 นาที ในระยะที่ 1 ของการคลอด และทุก 5 นาที ในระยะที่ 2 ของการคลอด
มีแนวทางในการให้ยา
Oxytocin 10 units Intramuscular หลังทารกคลอดไหล่หน้า หรือหลังรกคลอดทันที
เจือจางยา oxytocin 10 40 units ในสารน้า isotonic solution 1,000 ml ให้ในอัตรา 20 40 milliunit/min (120 -240 ml/hr)
นาย พงศ์ศิริ พรมจารี รหัส 602701059