Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลทางสูติกรรม, นางสาวชื่นนภา มูลนิคม รหัส 602701020 -…
การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลทางสูติกรรม
การใช้ยาในระยะตั้งครรภ์
Retinoids
ยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ Vitamin A ขนาดที่จะผลเสียต่อทารกประมาณ 10,000 IU/d และปริมาณยาในวิตามิน หรืออาหารเสริมจะมีขนาดเกิน 10,000 IU/d
พบว่าเมื่อได้รับขนาดยาดังกล่าวจะพบว่ามีความเสี่ยงต่อความพิการของอวัยวะเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 และมีความเสี่ยงต่อปัญญาอ่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ตัวอย่างของอวัยวะพิการได้แก่ โรคหัวใจพิการ มีความผิดปกติของตาและหูปากแหว่ง เพดานโหว่ ตาบอด
สำหรับ beta-carotene ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ พบในผักและผลไม้ สาร beta-carotene จะไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพิการแต่กำเนิด
Diethylstilbestrol
DES เป็นฮอร์โมน estrogen ใช้สำหรับรักษาผู้ที่มีอาการแท้ง หรือแพ้ท้องอาเจียนเป็นอย่างมาก พบว่าคนท้องที่ได้รับฮอร์โมนนี้ในระยะ 9 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์พบว่าร้อยละ 70 จะมีความผิดปกติของระบบสืบพันธ์ เช่น มดลูกผิดรูป ช่องคลอดสั้น
ยากันชัก Anticonvulsants
โรคลมชัก Epilepsy เป็นโรคที่พบได้บ่อยในวัยเจริญพันธ์ การรับประทานยากันชัก และอาการชักจะมีผลต่อทารกในครรภ์ พบว่าผู้ที่ใช้ยากันชักจะมีความเสี่ยงของความพิการเพิ่มขึ้น 2 เท่า การจะหยุดยากันชักระหว่างการตั้งครรภ์ก็เสี่ยงต่อภาวะชักซึ่งจะทำให้รกขาดออกซิเจนหากมีอาการชักนาน
ความผิดปกติของทารกที่เกิดจากการใช้ยากันชักได้แก่ หัวเล็ก เด็กไม่เจริญเติบโต การพัฒนาล่าช้า โดยพบมากในคนที่ใช้ยา phenytoin, carbamazepine, and valproate
การป้องกัน
สำหรับผู้ที่เป็นโรคลมชัก และไม่ได้ชักติดต่อกันมานาน ให้ปรึกษาแพทย์ที่รักษาเรื่องโรคลมชัก โดยให้ลดยาและหยุดยาก่อนการตั้งครรภ์ 6 เดือน และควรจะใช้ยาชนิดเดียว และมีขนาดน้อยที่สุดที่สามารถคุมอาการได้
หลีกเลี่ยงยา trimethadione และ valproic acid.
วัดระดับยาในกระแสเลือดเมื่อไปฝากครรภ์
เจาะระดับยาในเลือดทุกเดือน
หากในระหว่างตั้งครรภ์ต้องเพิ่มขนาดยา เมื่อคลอดจะต้องปรับลดขนาดยาเพื่อป้องกันผลข้างเคียงของยา
Anticoagulants
คนท้องจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด แต่ยาต้านการแข็งตัวของลิ่มเลือดก็มีผลต่อการตั้งครรภ์
ยา Warfarin (Coumadin)
ไม่ควรให้ในขณะตั้งครรภ์
หากได้รับยานี้ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ที่เริ่มมีการพัฒนาอวัยวะ พบว่ามีความเสี่ยงของความพิการเพิ่มขึ้นร้อยละ 30ความเสี่ยงของการแท้งเพิ่มขึ้น 14.6-56%ยานี้ผ่านรกไปสู่ทารกอาจจะทำให้ทารกตายในครรภ์ หรือเลือดออกยานี้จะใช้ในคนท้องที่รักษาด้วยยาอื่นแล้วไม่ได้ผล
ยา Heparin and LMWH
Heparins เป็นยาที่ควรจะใช้ในคนท้อง
ยา Heparins ไม่ผ่านรกไปสู่ทารก ทารกจึงปลอดภัยจากเลือดออก
Aspirin
เป็นยาต้านเกล็ดเลือด
จากการศึกษายังไม่พบความเสี่ยงต่อการเกิดแท้งบุตร ทารกพิการ หรือภาวะอื่นๆ
ยาลดความดันโลหิตสูง
Methyldopa: เป็นยาที่ปลอดภัยสำหรับคนท้อง ใช้รักษาภาวะความดันโลหิตสูงในขณะตั้งครรภ์
Beta blockers:ยาปิดกั้นเบตาใช้รักษาความดันโลหิตสูงในระหว่างการตั้งครรภ์พบว่าจะเกิดภาวะ เด็กน้ำหนักตัวน้อย หัวใจเด็กเต้นช้า
Hydralazine:เป็นยาลดความดันโลหิตสำหรับคนท้อง แต่เมื่อให้ยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดจะเกิดความดันโลหิตต่ำ
Angiotensin-converting enzyme (ACE) inhibitors และ angiotensin receptor blockers (ARBs): ยาทั้งสองชนิดไม่ควรจะใช้ในคนตั้งครรภ์ ยานี้จะทำให้น้ำคร่ำน้อย มีความผิดปกติของไต ไตวาย และอาจจะเสียชีวิต
การใช้ยาในระยะคลอด
การใช้ยา oxytocin
เป็นยาที่ใช้เพื่อกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกในระยะคลอด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชักนาการคลอด (induction of labor) หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการหดรัดตัวของมดลูก (augmentation of labor)
หลักการใช้ยา
ต้องเจือจางยา oxytocin ในสารน้า isotonic solution เช่น 5% D/N/2, NSS, LRI โดยเจือจางยาในอัตราส่วนที่กาหนดตามมาตรฐานการให้ยาของแต่ละโรงพยาบาล เช่น oxytocin 10 units ในสารน้า 1,000 มล.
ควรให้คู่กับสารน้าอีก 1 ขวด (piggy back) เพื่อสามารถหยุดให้ยาได้ทันที กรณีมีการหดรัดตัวของมดลูกถี่ นาน หรือมีการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจทารกที่เสี่ยงต่อการได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอได้
ควรเริ่มให้สารน้าที่ไม่มี oxytocin ก่อน และให้สารน้าที่มี oxytocin ในอัตราที่ช้าๆก่อน เช่น 4 milliunit/min (24 ml/hr, 8 drops/min) โดยใช้เครื่องควบคุมการให้สารน้า (infusion pump)
ปรับอัตราการให้ยา oxytocin เพิ่มขึ้น ในอัตรา 1 2 milliunit/min ตามการตอบสนองของการหดรัดตัวของมดลูก ทุก 30 นาที – 1 ชั่วโมง โดยอาจปรับเป็น 6 milliunit/min (36 ml/hr, 12 drops/min), 8 milliunit/min (48 ml/hr, 16 drops/min) 10 milliunit/min (60 ml/hr, 20 drops/min) ซึ่งต้องคิดคานวณอัตราการให้ยาตามชนิดของชุดให้สารน้า เช่น 20 drops/ ml, 15 drops/ml เป็นต้น
ควรปรับอัตราการให้ยา oxytocin ลดลง หรือหยุดการให้ยา เมื่อมีการหดรัดตัวของมดลูกนาน ถี่ หรือ แรง มากเกินไป (hypertonic contraction)
ต้องติดตามประเมินการหดรัดตัวของมดลูก และอัตราการเต้นของหัวใจทารกก่อนให้ยา Oxytocin หลังให้ยา และตลอดระยะเวลาที่ให้ยา โดยใช้เครื่อง electronic fetal monitoring หรือ ทุก 15 นาที ในระยะที่ 1 ของการคลอด และทุก 5 นาที ในระยะที่ 2 ของการคลอด
ข้อบ่งชี้
ในการให้ยาเพื่อป้องกันหรือควบคุมการตกเลือดหลังคลอด โดยมีแนวทางในการให้ยา ดังนี้
Oxytocin 10 units Intramuscular หลังทารกคลอดไหล่หน้า หรือหลังรกคลอดทันที
เจือจางยา oxytocin 10 40 units ในสารน้า isotonic solution 1,000 ml ให้ในอัตรา 20 40 milliunit/min (120 -240 ml/hr)
การใช้ยา pethidine
เป็นยาสังเคราะห์ในกลุ่ม opioid มีการใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บครรภ์ในระยะคลอด โดยให้ในอัตรา 12.5 50 mg intravenous หรือ 50 100 mg intramuscular ทุก 2 4 ชั่วโมง โดยยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังฉีดเข้าทางหลอดเลือดดา 5 นาที และอาจให้ยาร่วมกับ plasil (metoclopramide) 10 mg เพื่อป้องกัน หรือบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน
หลักการพยาบาลหลังการให้ยา pethidine
ประเมินอาการคลื่นไส้ อาเจียน และการกดการหายใจ
เฝ้าระวังการกดหายใจในทารกซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ หลังฉีดยา pethidine 3 5 ชั่วโมง
ติดตามประเมินสัญญาณชีพหลังฉีดยา 15 นาที, 30 นาที 1 ชั่วโมง
การใช้ยา MgSo4
เป็นเกลือแร่ที่ใช้รักษาภาวะความดันโลหิตสูงในสตรีตั้งครรภ์เพื่อป้องกันอาการชัก (anticonvulsant) ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ severe-preeclampsia
ออกฤทธิ์ลดการหลั่งสาร acetylcholine ที่ปลายประสาททาให้ยับยั้งการส่งกระแสประสาทไปยังกล้ามเนื้อได้ (blocking neuromuscular transmission) และออกฤทธิ์กดการทางานของระบบประสาทส่วนกลาง ทาให้หลอดเลือดขยายตัว (vasodilator) รู้สึกร้อน มีเหงื่อออก ลดความถี่และความแรงในการหดรัดตัวของมดลูกด้วย
แนวทางในการให้ยา MgSo4
loading dose: MgSo4 4-6 g ในสารน้า 100 มล. ให้ทางหลอดเลือดดา 15 20 นาที หรือ ให้ 10% MgSo4 4 g โดยเจือจางจาก 50% MgSo4 4 g ( 1 amp = 1 g= 2 ml) 8 ml ผสมกับ sterile water 32 ml)
หลังจากนั้นให้ 50% MgSo4 1-2 g/hr โดยผสมในสารน้า isotonic solution เช่น 5%D/N/2, NSS, LRI หรือฉีด 50% MgSo4 10 g (20 ml) เข้าทางกล้ามเนื้อสะโพก (gluteus maximus) ข้างละ 5 g (10 ml) และ 5 g IM ทุก 6 ชม. จนครบ 24 ชม.
หลักการพยาบาลก่อนและหลังให้ยา MgSo4
ติดตามประเมินสัญญาณชีพทุก 30 นาที 1 ชม. หรือทุก 2 4 ชม. ตามสภาพอาการของสตรีตั้งครรภ์ หรือสตรีหลังคลอด โดยอัตราการหายใจต้องไม่ต่ากว่า 12 ครั้ง/นาที
ประเมินภาวะ hyperreflexia หรือ hyporeflexia จาก deep tendon reflex (patellar, brachial) โดย 0=reflex absent, +1 = hypoactive reflex, +2 = normal reflex, +3 = brisker than average reflex, +4 = hyperactive reflex or clonus
ติดตามประเมินปริมาตรน้าเข้า ออกจากร่างกาย โดยเฉพาะปัสสาวะต้องไม่น้อยกว่า 25 30 มล./ชม.
ควรให้ยา MgSo4 ในสารละลาย ร่วมกับการให้สารละลาย อีกในขวด (piggyback) เพื่อสามารถหยุดให้ยาได้ทันทีเมื่อมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น
ติดตามระดับความเข้มข้นของ MgSo4 ในเลือดโดยระดับยาในขนาดของการรักษา (therapeutic range) ต้องอยู่ระดับ 4.0-8.0 mEq/L (กรณีระดับยาในเลือด 10.0 mEq/L ทาให้ไม่มี deeptendon reflex, ระดับยา 15 mEq/L จะกดการหายใจ (respiratory paralysis), และระดับยา 25.0 mEq/L ทาให้หัวใจหยุดเต้น (cardiac arrest)
กรณีได้รับยา MgSo4 เกินขนาดต้องให้ยา 10% calcium gluconate เพื่อต้านการออกฤทธิ์ของ MgSo4
การใช้ยา bricanyl
เป็นยาที่ใช้ในการยับยั้งการหดรัดตัวของมดลูกในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกาหนด (beta-adrenergic for tocolysis) โดยให้ยา 0.25 mg Subcutaneous ทุก 4 ชม. หรือเจือจางในสารละลาย isotonic solution
ให้ทางหลอดเลือดดาในอัตรา 2.5 10 microgram/min และปรับขนาดยาได้สูงสุด 17.5 30 microgram/min หรือ เริ่มให้ยาในขนาด 0.01 0.05 mg/min และปรับเพิ่มในอัตรา 0.01 mg/min ทุก 10 30 นาที จนกระทั่งไม่มีการหดรัดตัวของมดลูก หรือสูงสุดไม่เกิน 0.08 mg/min
กรณีให้ยาจนกระทั่งไม่มีการหดรัดตัวของมดลูกแล้ว จะต้องให้ยาในขนาดเดิมต่อไปประมาณ 1 ชม. แล้วค่อยๆลดขนาดยาลง ทุก 20 นาที และให้ยาต่อไปอีก 12 ชม. หรือตามแผนการรักษา
หลักการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับยา Bricanyl/terbutaline
ติดตามประมาณสัญญาณชีพทุก 1 4 ชม. ตามสภาพอาการ
เฝ้าระวังอาการข้างเคียงจากการให้ยา เช่น อาการใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตต่า น้าท่วมปอด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
การใช้ยา dexamethasone
เป็นยาในกลุ่ม corticosteroids ใช้ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกาหนด
กระตุ้นการสร้างสาร surfactant ในถุงลมปอดของทารกช่วยป้องกันภาวะ respiratory distress syndrome ในทารกคลอดก่อนกาหนดได้ โดยให้ในขนาด 6 mg IM ทุก 12 ชม. จนครบ 4 ครั้ง
นางสาวชื่นนภา มูลนิคม รหัส 602701020