Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หลักทั่วไป ทางเภสัชวิทยา - Coggle Diagram
หลักทั่วไป
ทางเภสัชวิทยา
การออกฤทธิ์ของยาทางเภสัชจลศาสตร์ (Pharmacokinetic)
คือกระบวนการที่ร่างกายจัดการกับยาที่รับปประทานเข้าไป
กลไกการออกฤทธิ์ของยา
การดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกาย (Drug absorption)
Bioavailability คือ การดูดซึม หรือ ปริมาณของยาที่ยังไม่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยการนำเข้าสู่ร่างกายทางกระแสเลือด
ปัจจัยที่ที่ผลต่อการดูดซึมยา
ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวยา
วิธีการผลิตยา และรูปแบบยา
น้ำใส > แขวนตะกอน > เม็ด
ขนาดยาที่ให้ เป็นปัจจัยที่กำหนดความเข้มข้นของยาบริเวณจุดที่ออกฤทธิ์
ยาฉีดเข้าหลอดเลือด Bioavailabity 10เปอร์เซ็น
ขนาดโมเลกุลของยา
ยาที่มีขนาดโมเลกุลต่ำ จะถูกดูดซึมไเ้ดีกว่า ขนาดโมเลกุลสูง
คุณสมบัติในการละลายในไขมัน (lipophilic)
ยาสามารถละลายได้ดีในไขมัน
ปัจจัยเกี่ยวกับผู้ป่วย
การให้ยาผ่านทางเดินอาหาร (alimentary route , oral route)
ยาที่มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน (acidic drugs)
จะถูกดูดซึมได้ดีใน medium ที่เป็นกรด (pH ต่ำ) เช่นกระเพาะอาหาร
ยาที่มีคุณสมบัติเป็นด่างอ่อน (basic drugs)
จะถูกดูดซึมได้ดีใน medium ที่เป็นด่าง (pH สูง) เช่นลำไส้เล็ก
pH ของ medium มีผลต่อการดูดซึมยา
ข้อเสียของการให้ยาผ่านทางเดินอาหาร
การเกิด first pass effect
คือการเกิดการทำลายยาที่ตับเมื่อยาผ่าน portal vein เข้าสู่ตับและถูกเปลี่ยนแปลง (metabolite) ที่ตับก่อนเข้าสู่กระแสเลือด
การให้ยาดูดซึมผ่านหลอดเลือดฝอยบริเวณใต้ลิ้น (ยาอมใต้ลิ้น: sublingual. ยาอมในกระพุ้งแก้ม: buccal)
มีคุณสมบัติเป็นด่าง
ช่วยให้ยาสามารถดูดซึมผ่านหลอดเลือดฝอยได้รวดเร็วและดี
ละลายในไขมันได้ดี
การให้ยาดูดซึมผ่านทางระบบทางเดินหายใจ (ยาแบบสูดดม; inhalation
ถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดได้ง่ายและรวดเร็ว
อยู่ในรูปก๊าซและของเหลวที่ระเหยได้ดี
การให้ยาดูดซึมผ่านทางระบบทางเดินหายใจ (ยาแบบสูดดม; inhalation)
ถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดได้ง่ายและรวดเร็ว
อยู่ในรูปก๊าซและของเหลวที่ระเหยได้ดี
การให้ยาโดยการฉีดใต้ผิวหนัง (subcutaneous: SC) กล้ามเนื้อ (muscle: IM) หลอดเลือดดำ (intravenous: IV)
การให้ยาแบบเหน็บทวารหนักหรือช่องคลอดยาเหน็บ
ยาเหน็บชนิดที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่
ยาเหน็บชนิดที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย
การให้ยาดูดซึมผ่านทางผิวหนัง
ขนาดโมเลกุลยาและคุณสมบัติในการละลายได้ในไขมัน
ขึ้นอยู่กับความหนาบางของผิวหนังบริเวณที่ทา
พยาธิสภาพของร่างกาย
โรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด
มีผลลดการดูดซึมของยาผ่านทางเดินอาหารได้
สภาวะทางสรีรวิทยาและอารมณ์ของผู้รับยา
การนอนทำให้การเคลื่อนที่ของยาไปยังกระเพาะอาหารช้าลงการนั่งทำให้การเคลื่อนที่ของยาไปยังกระเพาะอาหารเร็วขึ้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก
การได้รับอาหารหรือยาชนิดอื่นร่วมด้วย
การกระจายตัวของยา (Drugs distribution)
การจับตัวของยากับโปรตีนในพลาสมา (plasma protein binding)
ความสามารถในการผ่านเข้าสมองและรก (capillary permeability)
คุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของยาแต่ละชนิด
การสะสมของยาที่ส่วนอื่น (accumulation at other site)
ปริมาณการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะนั้น ๆ
การแปรสภาพยาหรือการเปลี่ยนแปลงยา (Drug biotransformation)
สิ้นสุดการออกฤทธิ์ของยา (termination of drug action)
กระตุ้นการออกฤทธิ์ของยา (mechanism of drug activation)
เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงยา
เอนไซม์อาจอยู่ที่ไซโตพลาสซึม (cytoplasm) ของอวัยวะต่างๆ
ตับ (อวัยวะที่สำคัญในการแปรสภาพยา) ไตปอดทางเดินอาหารพลาสม่าซึ่งเอนไซม์ สามารถเปลี่ยนแปลงยาได้ตั้งแต่ยาถูกดูดซึมผ่านทางเดินอาหารและผ่านตับ
ในร่างกายมี enzyme หลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการแปรสภาพยา
ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงยาโดยปกติ
Phase I reaction
enzyme valuãuulassašuonnainīvasui (drug chemical) โดยอาศัยกระบวนการ Oxidation, reduction, hydrolysis เป็นการแปรสภาพยาโดยอาศัยเอนไซม์ cytochrom P450 ทำให้ยาเป็น polar metabolite มากขึ้นและขับถ่ายออกจากร่างกายหรือเข้าสู่ phase II reaction
Phase || reaction
ยาหรือ metabolite จาก phase | ที่ไม่มีความเป็น polar มากพอที่จะถูกขับออกทางไตจะต้องถูกทำให้ละลายน้ำได้ดีขึ้นโดยการรวมตัว (conjugation) กับ endogenous Compound ในตับเช่นกรดกลูคิวโรนิค (glucuronic acid) กรดซัลฟิวริค (sulfuric acid) กรดอะซิติก (acetic acid)
ปัจจัยที่มีผลต่อ drug metabolism
สิ่งแวดล้อม
อายุ
เด็กและผู้สูงอายุจะไวต่อฤทธิ์และพิษของยามากกว่าผู้ใหญ่การทำงานของเอนไซม์ที่ตับยังไม่สมบูรณ์
พันธุกรรม
ผลกระทบต่อระดับเอนไซม์จะทำให้เกิดความแตกต่างใน drug metabolism
ปฏิกิริยาระหว่างยาในระหว่างการเกิด metabolism
ยาบางชนิดมีคุณสมบัติเหนี่ยวนำเอนไซม์ (enzyme inducer)
ความเจ็บป่วยและความสามารถในการทำงานของตับ
ยาบางชนิดมีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ (enzyme inhibitor)
การขับถ่ายยา (Drug excretion)
ร่างกายสามารถกำจัดยาออกได้ทางไตตับน้ำดีและปอด
ยาอาจถูกกำจัดออกทางน้ำนมและเหงื่อ แต่ในปริมาณที่น้อยมากยาอาจถูกกำจัดออกจากร่างกาย
คำสำคัญทางเภสัชจลนศาสตร์
Loading dose
ขนาดยาที่ให้ครั้งแรกเพื่อให้ถึงระดับยาที่ต้องการในพลาสมา
Onset
ระยะเวลาที่เริ่มให้ยาจนถึงยาเริ่มออกฤทธิ์ที่ต้องการวลาที่ยาเริ่มออกฤทธิ์ที่ต้องการจนถึงหมดฤทธิ์ที่ต้องการ Duration of
ค่าครึ่งชีวิต (Half Life; te)
เวลาที่ใช้ในการทำให้ยาหรือความเข้มข้นของยาลดลงเหลือ 50W จากความเข้มข้นแรกโดย half life จะเป็นตัวกำหนด
action
ระยะเวลาที่ยาเริ่มออกฤทธิ์ที่ต้องการจนหมดฤทธิ์ที่ต้องการ
การออกฤทธิ์ของยาทางเภสัชพลศาสตร์
เภสัชพลศาสตร์เกี่ยวข้องกับการออกฤทธิ์ของยาต่อร่างกาย
แนวคิดเกี่ยวกับ
การจับของยากับ receptor (drug-receptor concept)
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขนาดยาที่ใช้กับการตอบสนองที่เกิดขึ้นในร่างกาย (dose response relationship)
กลไกการออกฤทธิ์ของยาทางเภสัชพลศาสตร์
ออกฤทธิ์โดยจับกับ receptor
ตัวรับ (Receptor)
ยาที่จับกับ receptor แล้วสามารถลดหรือบดบังฤทธิ์ของ agonist ในการจับกับ receptor
Agonist
ยาที่จับกับ receptor แล้วสามารถทำให้เกิดฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
Antagonist
ยาที่จับกับ receptor แล้วออกฤทธิ์เพียงบางส่วน
Partial agonist
ยาที่จับกับ receptor แล้วออกฤทธิ์เพียงบางส่วน
ออกฤทธิ์โดยไม่จับกับ receptor
Chemical action เช่นยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
Physical action เช่นยาระบายยาลดการดูดซึมในกระเพาะอาหาร
คำสำคัญทางเภสัชพลศาสตร์
Efficacy
ความสามารถของยาที่ทำให้เกิดฤทธิ์สูงสุดซึ่ง Maximum efect ของยา
Potency
ความแรงของฤทธิ์ยา
Affinity
ความสามารถของยาในการเข้าจับกับ receptor
ระดับความปลอดภัยของยา (Therapeutic index; TI)
ยาที่มีค่า therapeutic index ต่ำจะมีความปลอดภัยต่ำเช่น titium, digoxin
การหาระดับความปลอดภัยของยามักจะทำการทดลองผ่านสัตว์ทดลองเช่นหนูแรทหรือหนูเมาส์ระดับความปลอดภัยของยาเป็นสัดส่วนของขนาดยาที่ทำให้หนูตาย 50% ต่อขนาดยาที่ได้ผลในการรักษา 50%
ยาที่มีค่า therapeutic index สูงจะมีความปลอดภัยในการใช้สูง
การแปรผันของการตอบสนองต่อยา
Hypersensitivity หรือ Allergic reaction
การแพ้ยาจากที่ร่างกายมี antibody (Ab) ที่ต่อต้านต่อโครงสร้างทางโมเลกุล (structure) ของยาหรือส่วนประกอบของยา
Tolerance
การแพ้ยาจากที่ร่างกายมี antibody (Ab) ที่ต่อต้านต่อโครงสร้างทางโมเลกุล (structure) ของยาหรือส่วนประกอบของยา
Hyperactivity
การตอบสนองต่อยาที่มากกว่าปกติเช่นการให้ยานอนหลับในผู้ป่วยบางคนจะไม่หลับในขณะที่ผู้ป่วยบางคนหลับได้นานกว่าปกติ
Tachyphylaxis
การดื้อยาที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วเมื่อได้รับยาเพียง 2 – 3 ครั้ง
Hyporeactivity
การตอบสนองต่อยาที่น้อยกว่าปกติทำให้ไม่เกิดฤทธิ์รักษา
Placebo effect
ฤทธิ์หลอก
Idiosyncrasy
การตอบสนองที่แตกต่างจากปกติที่ไม่พบเกิดในคนส่วนใหญ่มักจะเกิดจากความแตกต่างทางพันธุกรรมในการเปลี่ยนแปลงยา
สาเหตุการตอบสนองต่อยาที่แตกต่างกันอาจเกิดจาก
มีความแตกต่างกันในความเข้มข้นของ endogenous receptor ligands
มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนหรือการทำงานของ receptor
มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณยาที่จะไปถึง receptor ซึ่งจะขึ้นกับ pharmacokinetic ของยาเพศอายุน้ำหนักภาวะความเจ็บป่วยรวมถึงการทำงานของตับและไต
มีการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบของอวัยวะที่เกิดการตอบสนองจากการกระตุ้น receptor