Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลมารดาที่ได้รับการช่วยเหลือสูติศาสตร์หัตถการ, นางสาวจุฬาลักษณ์…
การพยาบาลมารดาที่ได้รับการช่วยเหลือสูติศาสตร์หัตถการ
ทำคลอดโดยใช้คีม
หน้าที่ของคีม
Rotation
ใช้ในกรณี Deep transverse arrest of head
Extractor
จะใช้ในผู้คลอดที่ไม่มีแรงเบ่งพอหรือไม่ต้องการให้ผู้คลอดออกแรง
แทนแรงเบ่งของผู้คลอด
ชนิดของการทำคลอดด้วยคีม
Low Forceps
การทำคลอดด้วยคีมเมื่อเห็นหนังศีรษะที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์โดยไม่ต้องแยก Labia และกะโหลกศีรษะอยู่บน Pelvic floor รอยต่อแสกกลางอยู่ในแนวหน้าหลัง
Mid Forceps
ทำคลอดด้วยคีมเมื่อศีรษะมี engagement แล้ว ช่วยเหลือโดยการหมุนก่อนจึงเริ่มดึง
ข้อบ่งชี้
ด้านแม่
มดลูกหดรัดตัวไม่ดี/มารดาไม่มีแรงเบ่ง
กระดูกเชิงกรานค่อนข้างแคบหรือ Rigid pelvic floor หรือ Rigid perineum
ส่วนนำของทารกค่อนข้างใหญ่ หรือ Occiput อยู่ด้านหลัง หรือ Deep transverse arrest of head
ผู้คลอดมีภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์
ผู้คลอดอ่อนเพลีย
ผู้คลอดมีสุขภาพไม่ดีจากโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ, ไทรอยด์, หลอดลมอักเสบ
มีปัญหาเลือดออกในสมอง
ไส้ติ่งอักเสบ
การรักษาและการป้องกัน จะทำเมื่อแรกเข้าสู่ระยะเบ่งเพื่อ
ช่วยลดความกดดันบางประการที่เกิดขึ้นกับผู้คลอดทั้งทางร่างกายและอารมณ์
ป้องกันการฉีกขาดหรือยืดขยายมากเกินไปของฝีเย็บ
จำกัดปริมาณการเสียเลือดจากการคลอด
ป้องกันสมองถูกทาลายจากภาวะพร่องออกซิเจน
ด้านทารก
สายสะดือพลัดต่ำ
Fetal distress
ประเภทของคีม
Short Curve Forcep
Kielland Forceps
Long Curve Axis Traction Forcep
สภาวะที่เหมาะสมในการทาคลอดด้วยคีม
ปากมดลูกเปิดหมด
ส่วนนำมีสภาวะที่เหมาะสมสามารถคลอดทางช่องคลอดได้
ศีรษะทารกต้อง Deep engaged แล้ว
ไม่พบภาวะผิดสัดส่วนระหว่างส่วนนากับช่องเชิงกราน
กระเพาะปัสสาวะและทวารหนักต้องว่าง
ถุงน้าคร่ำแตกแล้ว
ทารกในครรภ์ยังมีชีวิตอยู่
การพยาบาล
การซักประวัติ
ประวัติเกี่ยวกับอาการผิดปกติในการตั้งครรภ์และการคลอดครั้งก่อน เช่น การคลอดติดขัด
ทารกเสียชีวิตจากการคลอด
การช่วยคลอดโดยใช้สูติศาสตร์หัตถการ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางหน้าท้อง เพื่อประเมินท่า และขนาดของทารก การหดรัดตัวของมดลูก
ตรวจช่องทางคลอดเพื่อประเมินลักษณะของปากมดลูก เชิงกรานมารดาและขนาดของทารก
การตรวจร่างกายทั่วไปและสัญญาณชีพ
การประเมินสภาพทารกในครรภ์ เช่น การฟังเสียงหัวใจทารก
ภาวะจิตสังคม
ประเมินความวิตกกังวลและหวาดกลัวของผู้คลอด
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทาคลอดด้วยคีม
ทารกแรกเกิดมีโอกาสได้รับบาดเจ็บจากการคลอโดยใช้คีม
ทำคลอดโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ
ดูดและดึงศีรษะทารกให้คลอดผ่านทางช่องคลอดในระยะที่ผู้คลอดมีมดลูกหดรัดตัวเท่านั้น และการทาคลอดไหล่ ลาตัวและแขนขาตามวิธีการคลอดตามปกติ
เครื่องดูดสุญญากาศจะทาหน้าที่เสริมแรงแบ่งของผู้คลอด
ข้อบ่งชี้
Uterine inertia โดยมีปัญหามดลูกหดรัดตัวไม่ดีเนื่องจากอ่อนเพลียหรือเกิดความล่าช้าในระยะที่ 2 ของการคลอด
โรคแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ
ทารกในครรภ์อยู่ในภาวะ Mild fetal asphyxia ซึ่งเกิดจาก Fetal distress
Mild CPD
ศีรษะทารกไม่หุนตามกลไกการคลอดปกติ เช่น Deep transverse arrest of head หรือ Occiput posterior position
ข้อห้าม
CPD
ทารกในครรภ์อยู่ในท่าผิดปกติ
ทารกในครรภ์อยู่ในภาวะวิกฤติที่ต้องช่วยให้คลอดโดยด่วน
ทารกในครรภ์เสียชีวิตแล้ว
ทารกคลอดก่อนกาหนด
มีการพลัดต่าของสายสะดือ
ทารกอยู่ในภาวะ Fetal distress โดยที่ปากมดลูกยังไม่เปิด
สภาวะที่เหมาะสม
ปากมดลูกเปิดหมด แต่ถ้าในกรณีจาเป็นอาจทาตั้งแต่ปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตรขึ้นไป และปากมดลูกมีความบางเต็มที่
ส่วนนำอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมสามารถคลอดทางช่องคลอดได้
ศีรษะในครรภ์ต้อง Deep engaged แล้ว
ไม่พบปัญหาผิดสัดส่วนกันระหว่างศีรษะทารกกับช่องเชิงกรานของผู้คลอด
กระเพาะปัสสาวะและทวาหนักต้องว่าง
ถุงน้าคร่ำแตกแล้ว
ทารกในครรภ์ยังมีชีวิตอยู่
การพยาบาล
การตรวจร่างกาย
ภาวะจิตสังคม
การซักประวัติ
ตรวจพิเศษและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Ultrasound
ตรวจความเข้มข้นของเลือดมารดา
การตรวจปัสสาวะเพื่อหา albumin และ sugar
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทาคลอดด้วยเครื่องดูดสุญญากาศ
ทารกแรกเกิดมีโอกาสได้รับบาดเจ็บจากการคลอโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ
การชักนำการคลอด
การทาให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงเมื่ออายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ หรือทารกในครรภ์มีน้าหนักตัวไม่น้อยกว่า 1,000 กรัม
ข้อบ่งชี้
ด้านสูติกรรม
ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (PIH) การยุติการตั้งครรภ์จะทาให้ภาวะนี้หายได้และลดอันตรายที่จะเกิดกับหญิงตั้งครรภ์
ภาวะครรภ์เกินกาหนด เนื่องจากครรภ์เกินกาหนดรกจะมีภาวะเสื่อมสภาพ ทาให้ทารกในครรภ์เกิดภาวะขาดออกซิเจนและตายในครรภ์ได้
ทารกเสียชีวิตในครรภ์ (DFIU)
PROM ในรายที่อายุครรภ์มากกว่า 34 สัปดาห์ และไม่เข้าสู่ระยะคลอดเองภายใน 12 ชั่งโมง แพทย์มักจะชักนาให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอด
การติดเชื้อของถุงน้าคร่า (choroamnionitis) เพื่อลดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อของมารดาและทารกในครรภ์
ภาวะเลือดออกก่อนคลอดจากภาวะรกลอกตัวก่อนกาหนด (abruptio placenta)
ทารกพิการแต่กาเนิดในครรภ์ที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
ทารกเจริญเติบโตช้า (IUGR)
ภาวะน้าคร่าน้อย (oligohydramnios)
ทารกบวมน้า (hydrops fetalis)
อายุรกรรม
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง เนื่องจากอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทาให้การทางานของ
ไตลดลงและการตายของทารกปริกาเนิดเพิ่มสูงขึ้น
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
ข้อห้าม :
vasa previa
ทารกท่าขวาง CPD
Placenta previa
Previous c/s
เนื้องอกที่ขัดขวางช่องทางคลอด,
Prolapsed cord
Fetal distress
Twins
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสาเร็จในการชักนาการคลอด โดยใช้ Bishop scoring system
ถ้าคะแนนรวมน้อยกว่า 3 ถือว่าปากมดลูกอยู่ในสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการชักนาคลอด โอกาสล้มเหลว มักเจ็บครรภ์คลอดเนิ่นนานและมีโอกาสผ่าท้องคลอดสูง
ถ้าคะแนนมากกว่า 7 ถือว่าปากมดลูกอยู่ในภาวะที่เหมาะสมต่อการชักนาการคลอด
ถ้าคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 9 โอกาสที่จะประสบความสาเร็จในการชักนาการคลอดสูงถึง ร้อยละ 100
การพยาบาล
ผู้คลอดที่ได้รับการชักนาการคลอดโดยใช้ยา Oxytocin
เตรียมสารละลายออกซิโตซิน ตามแผนการรักษา (ส่วนใหญ่นิยมใช้ 5% D/W 1000 cc+Synto 10U)
เตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ในการให้สารละลายทางหลอดเลือดดา
ช่วยแพทย์ในการให้สารละลายออกซิโตซินทางหลอดเลือดดา
สังเกตลักษณะการหดรัดตัวของมดลูก Interval น้อยกว่า 2 นาที duration มากกว่า 60 วินาที ปฏิบัติดังนี้
หยุดการให้ออกซิโตซินทางหลอดเลือดดา
ให้ผู้คลอดนอนตะแคง
ให้ออกซิเจน 6-8 ลิตร/นาที
รายงานแพทย์
ปรับหยดสารละลายออกซิโตซิน เริ่มต้น 5-10 หยด/นาที เพิ่ม 5 หยดทุก 30 นาที จนกว่าการหดรัดตัวของมดลูกจะดี คือ Interval อยู่ในช่วง 2-3 นาที Duration อยู่ระหว่าง 45-60 วินาที
ตรวจสอบการหยดของออกซิโตซิน ทุก 30 นาที
สังเกตสภาวะของทารกในครรภ์ โดยฟังเสียงหัวใจทารกเป็นระยะๆ ทุก 15-30 นาที หากทารกในครรภ์มีภาวะ Fetal distress ต้องหยุดให้ออกซิโตซินทันทีและรายงานแพทย์ ระหว่างนั้นควรเตรียมการช่วยเหลือทารกในครรภ์และการคลอด
การช่วยเหลือทารกในครรภ์
ให้ผู้คลอดนอนตะแคง
ให้ I.V Fluid
ให้ O2 6-8 ลิตร/นาที
On Electric Fetal Momitoring เพื่อประเมินสภาวะทารกในครรภ์
การช่วยเหลือการคลอด
พิจารณาการเปิดของปากมดลูกหากปากมดลูกเปิดหมดอาจเตรียมการคลอดด้วยคีม (F/E)
ปากมดลูกเปิดน้อยอาจเตรียมผู้คลอดเพื่อผ่าตัดเอาทารกออกทางหน้าท้อง
ดูแลสภาวะทั่วไปของมารดาโดย Check BP, P, R เป็นระยะๆ
บันทึกเกี่ยวกับ
ขนาดและจานวนของออกซิโตซินที่ได้รับทุก 30 นาที
จานวนของหยดของออกซิโตซินที่ปรับขึ้นหรือลดลง
ลักษณะการหดรัดตัวของมดลูกทุก 15-30 นาที
สัญญาณชีพทุก 2-4 ชม. และเสียงหัวใจทารก 15-30 นาที
Record I/O
ดูแลผู้คลอดให้ได้รับความสุขสบายทั้งร่างกายและจิตใจ
จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ
ให้คาแนะนาเกี่ยวกับกระบวนการชักนาการคลอด, การคลอด
รับฟังและสอบถามปัญหาของผู้คลอด
ช่วยดูแลการทากิจวัตรประจาวัน
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มารดามีโอกาสเกิดภาวะ Tetanic contraction เนื่องจากการได้รับสารละลาย Oxytocin
มารดามีโอกาสเกิดความล้มเหลวในการชักนาการคลอดด้วย Oxytocin
ทารกในครรภ์มีโอกาสเกิดภาวะ Fetal distress เนื่องจากการได้รับสารละลาย Oxytocin
การเจาะถุงน้าทุนหัว
เตรียมเครื่องมือ
เตรียมผู้คลอด
จัดท่า dorsal Recombent
ก่อนแพทย์ลงมือทา พยาบาลต้องฟังเสียงหัวใจทารก และบันทึกไว้
เมื่อน้ำคร่ำไหลออกมาต้องบันทึกเกี่ยวกับลักษณะสี และจำนวนของ Amniotic Fluid
ฟังเสียงหัวทารกทันทีภายหลังเจาะถุงน้าทูนหัว
Flushing และใส่ผ้าอนามัยเพื่อสังเกตปริมาณน้าคร่า
ให้ผู้คลอดนอนพักบนเตียง ไม่ควรให้ลุกเดินไปมาเพราะถ้าส่วนนาไม่ติดกับส่วนล่างของมดลูก อาจทาให้เกิดภาวะสายสะดือโผล่
บันทึกเกี่ยวกับ Interval, Duration ผลการตรวจความก้าวหน้าของการคลอด
บันทึก FHS เป็นระยะๆ อาจทุก 15-30 นาที หากผิดปกติรายงานแพทย์และให้การช่วยเหลือ
บันทึก T, P, R, BP หากมีไข้รายงานแพทย์เพื่อให้ยาปฏิชีวนะ
เปลี่ยนผ้าอนามัยทุกครั้งที่น้าหล่อเด็กเปียกชุ่มพร้อม Flushing ให้
การผ่าตัดนำทารกออกทางหน้าท้อง
ทารกต้องมีน้ำหนักตัวไม่ต่ากว่า 1,000 กรัม
มีสองชนิดคือ
Classic cesarean
lower – segment cesarean
ข้อบ่งชี้
CPD,
ท่าผิดปกติ เช่น ท่าขวาง,
Total placenta previa,
4.มะเร็ง ปากมดลูก
ข้อบ่งชี้ร่วม
Previous C/S,
Ante partum hemorrhage,
3.Fetal distress,
4.ภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรม
ยาระงับความรู้สึก
Spenal block
Epidural block
GA
Vaginal Birth After Cesarean (VBAC)
การพยาบาล
ก่อนผ่าตัด
ประคับประคองสภาวะจิตสังคมของมารดาและครอบครัว
มารดาเสี่ยงต่อการติดเชื้อในขณะทาการผ่าตัดแลภายหลังการผ่าตัดพยาบาลจึงต้องมีความละเอียดรอบคอบในการปูองกันไม่ให้ติดเชื้อเกิดขึ้นโดย
1.1 อธิบายถึงขั้นตอนต่างๆ ในการเตรียมร่างกายของมารดาเพื่อการผ่าตัด
1.2 เตรียมเครื่องมือ
1.3 ดูแลให้มารดางดน้าและอาหารทางปาก ก่อนผ่าตัดประมาณ 6 – 8 ชม. เพื่อปูองกันการสาลักและสวนอุจจาระ เพื่อให้ลาไส้ว่างขณะทาผ่าตัด
1.4 ตัดเตรียมความสะอาดบริเวณผิวหนังโดยการโกนขนตั้งแต่บริเวณยอดอกลงมาจนถึงต้นขาทั้งสองข้าง เช็ดตามด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน 2 ½% แอลกอฮอล์ 70% คลุมด้วยผ้าก๊อสปราศจากเชื้อ (steriled quaze) พันทับด้วยผ้าพันท้องเพื่อลดและปูองกันการติดเชื้อบริเวณผิวหนังหน้าท้อง (ปัจจุบันอาจไม่ต้องโกนขน)
1.5 ทำการสวนคาสายปัสสาวะ ดูให้สายยาง “Foley” อยู่ในกระเพาะปัสสาวะและไม่เคลื่อนหลุดออกมา การไหลของปัสสาวะสะดวก เพื่อให้แน่ใจว่ากระเพาะปัสสาวะว่างในขณะทาการผ่าตัด
1.6 ดูแลให้มารดาได้รับสารน้าและยาก่อนการผ่าตัดตามแผนการักษาของแพทย์ครบถ้วน เพื่อให้ร่างกายของมารดาได้รับสารน้าอย่างเพียงพอและให้มารดาได้ผ่อนคลายก่อนการผ่าตัด
1.7 เจาะเลือดส่งห้องปฏิบัติการเพื่อหาชนิดและหมู่เลือด ทาการจองเลือดไว้ 2 ยูนิต และสารองไว้จนถึง 48 ชั่วโมง หลังผ่าตัด เพื่อเตรียมพร้อมในกรณีที่มารดาเสียเลือดมาก
1.8 ส่งปัสสาวะตรวจและส่งเลือดตรวจหา CBC และค่าทางชีวะเคมีเพื่อประเมินสภาพความเป็นกรด ด่าง ในร่างกายของมารดา
1.9 ตรวจนับสัญญาณชีพ (Vital signs) และเสียงหัวใจทารกเป็นระยะ ๆ เพื่อระวังอาการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของมารดาและทารกอันจะก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
1.10 ดูแลให้มารดาถอดฟันปลอม คอนเทคเลนซ์ แหวน ล้างเล็บออกเพื่อปูองกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
1.11 เขียนบันทึกรายงานของมารดาในฟอร์มปรอทให้เรียบร้อย ตรวจดูว่ามารดาเซ็นใบยินยอมให้ทาการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นหลักฐานและเป็นแนวทางในการวางแผนการพยาบาลต่อไป และส่งเสริมความร่วมมือกันในทีมสุขภาพ
1.12 เตรียมชุดให้เลือด ผ้าห่อทารก ให้พร้อมที่จะส่งไปห้องผ่าตัดพร้อมมารดา
1.13 ให้เวลาแก่มารดาเพื่อตอบข้อข้องใจและให้ข้อมูลแก่มารดาและครอบครัวมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อลดความวิตกกังวล และเสริมสร้างความเข้าใจ
เตรียมสภาพร่างกายของมารดา
พยาบาลต้องให้ข้อมูลและอธิบายถึงเหตุผลของการทาผ่าตัดฯ ครั้งนี้และต้องเน้นให้เห็นถึงความคลายคลึงของการทาผ่าตัดฯ กับการคลอดทางช่องคลอด ว่าเป็นการคลอดที่ปกติไม่ใช่ความผิดปกติ
ช่วยเหลือให้มารดาและผู้ใกล้ชิดได้พูด-เล่าถึงความรู้สึกกลัว ผิดหวัง เศร้าโศก โกรธ สูญเสียต่างๆ ตลอดจนความรู้สึกหรือประสบการณ์ที่เคยได้รับมาในรายที่ต้องทาผ่าตัดเอาเด็กออกซ้า
ข้อมูลต่างๆ ตามความเป็นจริงและพยาบาลให้กาลังใจและบอกถึงผลของการผ่าตัดทั้งในด้านมารดาและทารกเท่าที่จะเป็นไปได้
การให้การดูแล ด้านจิตใจนี้ พยาบาลสามารถประเมินผลการพยาบาลได้โดย
มารดาและครอบครัวสามารถเล่า บรรยายความรู้สึกของตนเองต่อการผ่าตัดทั้งในด้านมารดและทารกเท่าที่จะเป็นไปได้
มารดาและครอบครัวยอมรับในเหตุผลของการทาผ่าตัดและสามารถที่จะเผชิญกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
หลังคลอด
ด้านร่างกาย
พยาบาลต้องประเมินสภาวะของมารดาหลังผ่าตัด
ประเมินการหายของแผล
การติดเชื้อ
ปริมาณสารอาหารและน้า
หน้าที่ของกระเพาะปัสสาวะและลาไส้
หน้าที่ของระบบการหายใจ
ทักษะในการเลี้ยงดูทารกของมารดา
สังเกตอาการของการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด
ดูแลให้มารดาได้รับยาปฏิชีวนะตามคาสั่งการรักษาของแพทย์อย่างครบถ้วน
ตรวจนับสัญญาณชีพทุก 30 นาที ใน 2 ชั่วโมงแรกที่ย้ายมาหน่วยหลังคลอด และทุก 1 ชั่วโมง ต่อๆ มาจนถึงสัญญาญชีพสม่าเสมอ
ดูแลให้มารดาได้รับสารน้าทางเส้นเลือดตามคาสั่งการรักษาของแพทย์
สังเกตและจดบันทึกปริมาณ ลักษณะสี ความขุ่น ใส ของปัสสาวะ คอยสังเกตว่าปัสสาวะไหลสะดวกดีหรือไม่
พยาบาลต้องระวังและคอยสังเกตอาการต่างๆ ตลอดจนให้ความสนใจในการทบทวนหรือสอนวิธีไอเพื่อขับเสมหะออกมา หมั่นพลิกตะแคงตัวให้มารดหรือคอยให้คาแนะนาอยู่ข้างๆ เพื่อช่วยให้มารดาหายใจได้สะดวกและสามารถไอเอาเสมหะออกมาได้
ดูแลให้มารดในระยะหลังคลอดได้รับความสุขสบายทั่วๆ ไป เช่น ดูแลความสะอาดร่างกายทั่วไป ความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ ให้คาแนะนาในการบรรเทาอาการคัดตึงเต้านม กระตุ้นให้มารดาลุกเดิน จัดท่านอนให้สบาย เป็นต้น
ช่วยเหลือให้มารดาได้รับความสุขสบายให้มากที่สุด โดยการจัดท่านอนให้สบาย แนะนาวิธีการลุกนั่งหรือเดิน โดยไม่เจ็บแผล ให้ยาระงับปวดตามคาสั่งการรักษาของแพทย์
ด้านจิตใจ
อธิบายให้มารดาทราบถึงความต้องการของหญิงคลอด ลักษณะอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องปกติ
สอนมารดาถึงวิธีปฏิบัติตนเพื่อฟื้นฟูสมถรรนภาพของตนเองและเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่มารดาเผชิญอยู่
นำทารกให้มารดาและบิดาดูโดยเร็วที่สุดเท่าที่อาการของทารกจะเอื้ออำนวย
กระตุ้นให้มารดาดูแลทารกด้วนตนเอง โดยดูว่ามารดามีความต้องพร้อมแล้วแนะนาในการอุ้มทารกให้นมโดยที่ไม่เจ็บแผล เช่น ทา Footbal holder การใช้หมอนรอง การให้มารดานอนตะแคง เป็นต้น
ควรให้คาชมเชยแก่มารดาในขณะที่ดูแลทารก
แนะนามารดาในเรื่องการพักผ่อนภายหลังผ่าตัด การออกกาลังกายซึ่งสามารถทาได้ เมื่อรู้สึกว่าไม่มีความเจ็บปวดบริเวณที่ผ่าตัดหรือหน้าท้อง
นางสาวจุฬาลักษณ์ ฝ่ายเพ็ชร 602701011