Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่ปัญหาเซลล์เจริญผิดปกติ - Coggle Diagram
การพยาบาลเด็กที่ปัญหาเซลล์เจริญผิดปกติ
มะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL (Acute lymphoblastic leaukemia)
เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (Acute lymphoblastic leukemia ,ALL)
T-cell lymphoblastic leukemia
B-cell lymphoblastic leukemia
พบมากในช่วงอายุ 2-5 ปี
ความหมาย
ความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิด(Stem cell) ที่อยู่ในไขกระดูก (Bone Marrow)
เกิดการแบ่งตัวที่ผิดปกติ
ไม่สามารถ differentiate ไปเป็นเซลล์ตัวแก่ได้
จำนวนเม็ดเลือดขาวตัวอ่อนมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วร่างกาย
ทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดลดลง
เกิดอาการซีด เลือดออก และติดเชื้อได้ง่าย
กลไกโรค
มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วและคุมไม่ได้ในไขกระดูก(Bone marrow)
มีเซลเม็ดเลือดขาวตัวอ่อน (blast cell) เป็นจำนวนมากในไขกระดูก
cell ที่ผิดปกติถูกปล่อยออกมาในกระแสเลือดเป็นเซลเม็ดเลือดขาวตัอ่อน
ทeให้การสร้างเม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือดลดลง
ชนิด
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL (Acute lymphoblastic leukemia)
พบได้ในทุกช่วงอายุ
ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่แต่พบบ่อยในเด็กอายุ 2-5 ปี
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด AML (Acute myelogenous leukemia)
พบในผู้ใหญ่มากกว่าในเด็ก
พบในผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิง
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CLL (Chronic lymphocytic leukemia
พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ ขึ้นอยู่ตามอายุ
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CML (Chronic myelogenous leukemia)
พบได้น้อย พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ในผู้ป่วยเด็กนั้นประมาณ 80% มักพบในเด็กอายุมากกว่า 4 ปี
สาเหตุ
ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
มีปัจจัยหลายอย่าง
ด้านพันธุกรรม
เด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome)
ครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL มีสิทธิเป็น 2-4 เท่า
ในฝาแฝดที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ฝาแฝดอีกคนหนึ่งมีโอกาสเป็นประมาณ 25%
ด้านสิ่งแวดล้อม
การมีประวัติได้รับสีไออนไนซ์(Ionizing radiation)
ได้รับตอนอยู่ในครรภ์มารดาในปริมาณสูง
การมีประวัติได้รับยาเคมีบ าบัดในการรักษาโรคมะเร็งชนิดอื่นมาก่อน
การสัมผัสสารเคมีที่เป็นพิษบางชนิด
โดยเฉพาะสารเบนซิน (Benzene) สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) :forbidden:
ได้รับสารเคมีต่างๆ ที่เป็นพิษจากสิ่งแวดล้อมหรือจากควันบุหรี่และการสูบบุหรี่ :no_entry:
อาการ
เบื่ออาหาร
น้ำหนักลด
ซีด
อ่อนเพลียง่าย
เลือดออกง่าย
เพราะมีเกร็ดเลือดต่ำ
ออกตามไรฟัน
มีจ่ำเขียวขึ้นบนตามตัว
ประจำเดือนมากผิดปกติ
ติดเชื้อง่าย
มีไข้
มีเม็ดเลือดขาวปริมาณมากแต่ทำหน้าที่ต่อสู้เชื้อโรคไม่ได้
มีก้อนขึ้นที่ขาหนีบจากเม็ดเลือดขาวไปเบียดบังอวัยวะต่างๆ
เซลล์มะเร็งยังสามารถไปสะสมตามอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง ทำให้ผู้ป่วยมีต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้ามโต
วินิจฉัย
เจาะเลือดตรวจหาเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนของเม็ดเลือดขาว Blast cell
เจาะไขกระดูก Bone marrow Transplanted
เพื่อดูการแบ่งตัวที่ผิดปกติในไขกระดูก
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง(Lymphoma)
ระบบน้ำเหลือง (Lymphoma System) เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน
ประกอบด้วย
ม้าม
ไขกระดูก
ต่อมทอนซิล
ต่อมไทมัส
มีหน้าที่นำสารอาหาร และเซลล์เม็ดเลือดขาว(Lymphocyte) ไปยังส่วนต่างๆทั่วร่างกาย
ความผิดปกติของเม็ดเลือดขาว ทำให้เกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขึ้น
ตำแหน่งที่พบบ่อย
ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ(Cervical Lympnode)
ชนิด
มะเร็งต่อมน้้าเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin Lymphoma)
ต่อมน้ำเหลืองจะโตมาเป็นปี ไม่มีอาการเจ็บปวด
มีลักษณะเฉพาะพบ Reed-Sternberg cell ซึ่งไม่มีในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดอื่น
มะเร็งต่อมน้้าเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma)
อาการจะเร็วและรุนแรง
มักจะมาโรงพยาบาลเมื่อมีการกระจายไปทั่วร่างกาย
อาจมีก้อนที่ช่องท้อง ช่องอกหรือในระบบประสาท
Burkitt Lymphoma
มีต้นกำเนิดมาจาก B-cell( Blymphocyte)
มีการแทรกกระจายในเนื้อเยื่อ มีก้อนเนื้องอกที่โตเร็วมาก
พบเฉพาะที่ เช่น ในช่องท้อง รอบกระดูกขากรรไกร
การวินิจฉัย
การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy)
การตรวจไขกระดูก เพื่อประเมินว่ามีการกระจายเข้าไปในไขกระดูก
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์(CT scan)
เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
การตรวจกระดูก (Bone scan)
การตรวจ PET scan ตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์
เพื่อหาเซลมะเร็ง
อาการ
เริ่มต้น
จะคลำพบก้อนที่บริเวณต่าง ๆ
ขาหนีบ
คอ
รักแร้
เต้านม
ไม่มีอาการเจ็บ ต่างจากการติดเชื้อที่มักจะมีอาการเจ็บที่ก้อน
มีไข้ หนาว สั่น เหงื่อออกมากตอนกลางคืน คันทั่วร่างกาย
เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียไม่ทราบสาเหตุ
ไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก ต่อมทอนซิลโต
ปวดศีรษะ (พบในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท)
ระยะลุกลาม
ซีด มีเลือดออกง่าย
ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเกิดขึ้นภายในช่องท้อง
ผู้ป่วยจะมีอาการแน่นท้อง หรืออาหารไม่ย่อย ท้องโต
การมีน้ำในช่องท้อง
การรักษา
การใช้ยาเคมีบ้าบัด (Chemotherapy)
การฉายรังสี(Radiation Therapy)
รักษาด้วยรังสีปริมาณสูง เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นเนิด (Transplantation)
มะเร็งไต (Wilm Tumor)
ความหมาย
ภาวะที่เนื้อไตชั้นพาเรนไคมา(Parenchyma)
เจริญผิดปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้องอกภายในเนื้อไต
ส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่ และคลำได้ทางหน้าท้อง
มักจะเป็นที่ไตข้างใดข้างหนึ่ง
จะไม่ให้คลำบ่อย
อาจทำให้ก้อนแตก
อาจเกิดการแพร่กระจายของมะเร็ง
Neuroblastoma
เนื้องอกชนิดร้ายแรงที่พบได้บ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
มีต้นกำเนิดมาจากเซลล์ของระบบประสาท(Neural crest)
สามารถเกิดบริเวณใดก็ได้ที่มีเนื้อเยื่อ Sympathetic nerve
ที่พบก้อนครั้งแรกมากที่สุดคือต่อมหมวกไต
อาการ
มีก้อนในท้อง
ท้องโต
ปวดท้อง
ตาโปนมีรอยช้ำรอบตา(raccoon eyes)
มีไข้
ปวดกระดูก
การตอบสนองต่อการรักษาจะไม่ดี มีอัตราการตายสูง
การดูแลเด็กที่ได้รับยาเคมีบำบัด
ระยะการรักษาเคมีบำบัด
ระยะชักนำให้โรคสงบ (induction phase)
เพื่อทำลายเซลล์ในเวลาอันสั้นให้มากที่สุด และมีอันตรายต่อเซลล์ปกติให้น้อยที่สุด
ให้ไขกระดูกสามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ตามปกติ
ใช้เวลา 4 – 6 สัปดาห์
ยาที่ใช้
Vincristine
Adriamycin
L – Asparaginase
Glucocorticoid
ระยะให้ยาแบบเต็มที่ (intensive or consolidation phase)
ให้ยาหลายชนิดร่วมกันภายหลังที่ผู้ป่วยอยู่ในระยะโรคสงบแล้ว
เพื่อให้ยาทำลายเซลล์มะเร็งให้เหลือน้อยที่สุด
ใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์
ยาที่ใช้
Metrotrexate
6 – MP
Cyclophosephamide
ระยะป้องกันโรคเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง (CNS prophylaxis phase)
ให้ยาเพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง
เพราะมักมีโอกาสกลับเป็นโรคอีกครั้ง
โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ ตับ ม้าม โต
ยาที่ใช้
Metrotrexate
Hydrocortisone
ARA – C
ระยะควบคุมโรคสงบ (maintenance phase or continuation therapy)
ให้ยาเพื่อควบคุม และรักษาโรคอย่างถาวร
ยาที่นิยมใช้
การให้ 6 – MP โดยการรับประทานทุกวันร่วมกับการให้ Metrotrexate
วิธีการให้ยา
ทางช่องไขสันหลัง (intrathecal)
ทางกล้ามเนื้อ หลังฉีดต้องระวังเลือดออก
ทางหลอดเลือดดำต้องระวังการรั่วของยาออกนอกหลอดเลือด
ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ยาเคมีบำบัดที่ใช้บ่อย
Cyclophosphamide
รักษามะเร็งชนิด Acute lymphoblastic leukemia (ALL)
โดยจะขัดขวางการสร้าง DNA
Mercaptopurine(6-MP)
รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน
ยับยั้งการสร้าง Purine และสร้างกรดนิวคลีอิก
Methotrexate
รักษามะเร็ง Acute leukemia
ยับยั้งการสร้างDNA และRNA และมีฤทธิ์กดการเจริญเติบโตของเซลล์
Cytarabine(ARA-C)
ออกฤทธิ์จับหรือรวมตัวกับดีเอ็นเอของเซลล์มะเร็ง (Cross link)
ทำให้เพิ่มจำนวนไม่ได้
Mesna
ป้องกันภาวะเลือดออกในผู้ป่วยกระเพาะปัสสาวะอักเสบที่มีสาเหตุมาจากยารักษามะเร็ง
Cyclophosphamide
Ondasetron(onsia)
ป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
Bactrim
ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส
เนื่องจากผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่ำ
Ceftazidime(fortum)
ป้องกันการติดเชื้อเนื่องจากมีไข้หลังได้รับยาเคมีบำบัด
Amikin
ป้องกันการติดเชื้อเนื่องจากมีไข้หลังได้รับยาเคมีบำบัด
ยาเคมีบำบัดเป็นยาที่มีฤทธิ์ในการทำลาย และควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายโดยมุ่งหวังที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง
ผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด
ผลต่อระบบเลือด
ให้ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดต่างๆ ได้น้อยลง
จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนเริ่มยาเคมีบำบัดทุกครั้ง
เม็ดเลือดแดง : RBC ผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดจะมีภาวะซีด (Anemia)
เลือดเมื่อระดับค่า Hb อยู่ที่ 8-10 gm/dl (ค่าปกติของ Hb มักจะเป็น 1/3 เท่าของ Hct.) Hct 24-30 gm/dl
เม็ดเลือดขาวต่ำ(Leukopenia)
เม็ดเลือดขาวต่ำเล็กน้อย ANC 1000-1500 เซลล์/ลบ.มม.เป็นภาวะที่เม็ดเลือดขาวต่ำ
ผู้ป่วยจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ในทางปฏิบัติจะงดให้ยาเคมีบำบัด
เม็ดเลือดขาวต่ำปานกลาง ANC 500-1000 เซลล์/ลบ.มม.
เม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรง ANC ต่ำกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม.ผู้ป่วยจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่รุนแรงมากขึ้น ในรายที่ ANC ต่ำกว่า 100 เซลล์/ลบ.มม.เป็นภาวะที่เม็ดเลือดขาวต่ำระดับรุนแรงอย่างมาก
เม็ดเลือดขาวจะต่ำสุดในวันที่ 6-12 หลังได้ยาเคมีบำบัด และจะกลับสู่ภาวะปกติภายใน 21 วัน
การดูแลเด็กที่มี ANC ต่ำต้องแยกเด็กไว้ในห้องแยก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
เกร็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia)
ภาวะที่ผู้ป่วยมีเกล็ดเลือดน้อยกว่า 100,000/mm3
ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดออกง่ายกว่าปกติ
รายที่มีต่ำกว่า 50,000เซลล์/ลบ.มม.จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการเลือดออกง่ายหยุดยาก
ผลต่อระบบทางเดินอาหาร
อาการ
อาเจียน
มีแผนการรักษาให้ยา Onsia (ondansetron)
คลื่นไส้
แผลในปากและคอ
ปวดท้อง
ท้องเดิน
ท้องผูก
ดูแลป้องกันการติดเชื้อในช่องปากด้วย
โดยการให้ผู้ป่วยบ้วนปากด้วย 0.9%NSS อย่างต่อเนื่องทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร หรืออาจจะทุก 2 ชั่วโมงในรายที่มีแผลในปาก
ผู้ป่วยมีภาวะภูมิต้านทานต่ำจึงจำเป็นต้องLow Bacterial diet คืออาหารที่สุกสะอาดและปรุงเสร็จใหม่ๆ
ผลต่อระบบผิวหนัง
ทำให้ผมร่วง หลังจากได้ยาไปแล้ว 2-3 สัปดาห์
จะงอกขึ้นมาใหม่หลังหยุดยา2-3 เดือน หรือบางต าราบอกว่า 5 เดือน
ลักษณะผมที่ขึ้นมาใหม่จะไม่เหมือนเดิม สี ความหนา ความยืดหยุ่น จะเปลี่ยนไป
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ยาบางชนิดก็มีฤทธิ์ทำลายไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ
การตกตะกอนของยาเคมีบำบัดทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ Cystitis
ผู้ป่วยจะต้องได้รับน้ำที่มากพอทางหลอดเลือดดำและทางปาก
ปรับให้ปัสสาวะมีฤทธ์เป็นด่าง
โดยให้7.5% NaHCO3 ติดตามค่า sp.gr ให้ต่ำกว่า 1.010 และค่า PH ของปัสสาวะสูงกว่า 6.5-7 (สภาพความเป็นด่าง)
ยาเคมีบำบัดที่มีผลเสียต่อไต
Cyclophosphamide
Methotrexate
Ifosfamide
Streptozocin
ตรวจติดตามการทำงานของไตเพื่อดูค่า BUN Cr
ตับ
ยาส่วนใหญ่จะถูกย่อยสลายที่ตับและบางชนิดมีฤทธิ์ทำลายตับ
Methotrexate
Vincristine
ตับส่วนที่ถูกทำลายจะหายเป็นปกติได้ภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากได้รับยาเคมีบำบัด
อาการ
ตัวตาเหลือง
อ่อนเพลีย
ปวดชายโครงด้านขวา
ท้องโตขึ้นหรือเท้าบวม
หลังได้ยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยจะได้รับยาป้องกันการติดเชื้อปอด โดยแพทย์จะมีแผนการรักษาให้ (Bactrimหรือ Cotrimoxazole)
ซึ่งผู้ป่วยจะต้องรับประทานต่อไปอีก 6 เดือนหลังจบการรักษา หรือตามแผนการรักษาของแพทย์
การวางแผนการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด
การดูแลผู้ป่วยหลังได้รับยาเคมีบำบัดผ่านเข้าทางช่องไขสันหลัง( Intrathecal:IT)
เพื่อให้ยาสามารถเข้าไปฆ่าเซลมะเร็งที่อยู่ในระบบประสาทส่วนกลาง
ซึ่งการให้ยาทางหลอดเลือดดำไม่สามารถเข้าไปถึงได้
ยาที่ใช้บ่อย
MTX
หลังให้ยาต้องจัดให้ผู้ป่วยนอนราบ 6-8 ชั่วโมง
เพื่อป้องกันการเกิด Herniation ของสมอง
การนอนราบนั้นผู้ป่วยจะสามารถพลิกตะแคงตัวได้แต่มีเวลากำหนดและมีคนดู
ก่อนให้ยานำน้ำไขสันหลังออกเท่ากับจำนวนยาที่ใส่เข้าไป โดยนับหยดน้ำไขสันหลัง 15 หยดต่อ 1 ซีซี
หมายเหตุ
การทำ LP แพทย์จะส่งน้ำไขสันหลังไปตรวจเพื่อดูค่า Ptn และ sugar ถ้า Ptn สูงและ sugar ต่ำ
อาจสงสัยว่าจะมีการลุกลามของมะเร็งไปที่สมอง
เปรียบเทียบกับระดับน้ำตาลใน CSF และตรวจ cell count cell diference เพื่อหา PMN
ค่าปกติของน้ำตาลใน CSF (50-80 mg/dl)หรือ เท่ากับ 60-70%
การดูแลป้องกันการเกิดแผลในปาก
จะไม่แปรงฟันถ้าเกร็ดเลือดต่ำกว่า50,000 cell/cu.mm
การดูแลจึงต้องเน้นเรื่องการรักษาความสะอาดโดยให้บ้วนปากด้วย 0.9%NSS
แต่ต้องใช้แปรงสีฟันที่อ่อนนุ่ม
แพทย์อาจมีแผนการรักษาผู้ป่วยได้รับยาเพิ่ม เช่น Xylocaine Viscus
ต้องดูแลอย่างถูกวิธี โดยจะให้ครั้งละ 1 ml.ให้ผู้ป่วยอมไว้ ประมาณ 2-3 นาทีและบ้วนทิ้งไม่ควรกลืนเนื่องจากมียาชาเป็นส่วนผสม
มีผลต่อการทำงานของหัวใจ
ทำให้เกิดอาการชา ลดอาการเจ็บแผลในปาก
ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับยาฆ่าเชื้อราในปาก Nystatin oral suspention
ต้องดูแลให้ผู้ป่วยเด็กอมยาไว้ในปาก 2-3 นาที
ไม่ต้องให้น้ำตาม (เพื่อให้ยาค้างในช้องปากนานๆ) และต้องให้หลังให้นม
เด็กดูดนมยาก็จะไปกับนม ไม่ค้างในปาก
การรักษาประมาณ 7-14 วัน
รับประทานอาหารที่สุกใหม่
Low Bacterial Dietโดยให้มีคุณค่าครบถ้วน แคลอรีและโปรตีนสูง
งดอาหารที่ลวก ย่าง รวมทั้งผักสด ผลไม้ที่มีเปลือกบาง
ชมพู่ องุ่น ฝรั่ง
แนะนำให้รับประทานผลไม้กระป๋องแทน
ดื่มนมที่ผลิตด้วยวิธีสเตอริไลส์ และยูเอช ที UHT แทนการดื่มนมพลาสเจอร์ไลด์
ไม่ควร ให้ญาติซื้อข้าวแกงมาให้ผู้ป่วยรับประทาน
แต่ควรเป็นอาหารจานเดียวเพราะจะปรุงสุกใหม่ๆ
การดูแลปัญหาซีด
ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับยาเคมีบำบัดจะเกิดภาวะแทรกซ้อนคือไขกระดูกถูกกด
การสร้างเม็ดเลือดทำให้เม็ดเลือดลดน้อยลง
การให้เลือด(Pack Red Cell)
โดยการติดตามประเมิน V/S อย่างต่อเนื่อง ทุก 15นาที 4 ครั้ง
หลังจากนั้นทุก 1⁄2 ชั่วโมงจนกว่าจะ Stable
ก่อนให้เลือดแพทย์จะให้ยา Pre-med คือ PCM CPMและ lasix ต้องดูแลให้เลือดหมดโดยใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง
หลังจากนั้นติดตามค่า Hct หลังให้เลือด หมดแล้ว 4 ชั่วโมง
แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและธาตุเหล็กสูง
การให้เลือดที่ติดต่อกัน ต้องเฝ้าระวังภาวะชักจากความดันสูง(HCC syndrome)
การดูแลป้องกันเลือดออกง่ายหยุดยาก
เนื่องจากการสร้างเกร็ดเลือดลดลง
ผู้ป่วยจึงเสี่ยงเลือดออกง่ายหยุดยา
แพทย์อาจมีแผนการรักษาให้ Platlet concentration
หลักการให้คือให้หมดภายใน 1⁄2 -1 ชั่วโมงเนื่องจากมี half life สั่น
การให้จึงต้องให้หยดแบบ free flow
จะต้องติดตาม V/S อย่างต่อเนื่อง
Tumorlysis Syndrome : TLS
เกิดจากการสลายของเซลล์มะเร็งจำนวนมากอย่างรวดเร็ว
ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากการได้รับยาเคมีบำบัดครั้งแรก
การสลายของเซลล์มะเร็ง เหล่านี้ทำให้เกิดการปลดปล่อยส่วนประกอบของเซลล์ออกมา
อาการ
ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
ภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง
หัวใจเต้นผิดจังหวะ
ชักและเสียชีวิตได้
อาจพบอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา (paresthesia)
อาจพบกล้ามเนื้อตะคริว ชักเกร็ง ชัก ไตวายและหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ภาวะทางเดินปัสสาวะอุดตัน (obstructive uropathy) หรือไตวาย
สาเหตุ และ ปัจจัยเสี่ยงของการเกิด TLS
เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่มีปริมาณเซลล์มะเร็งจำนวนมาก
เป็นมะเร็งชนิดที่มีความไวต่อเคมีบำบัด
โดยปกติ TLS มักเกิดภายใน 72 ชั่วโมง
รักษาด้วยเคมีบำบัดในผู้ป่วย leukemia และ lymphoma
การวินิจฉัย
ปัจจุบันไม่มีเกณฑ์การวินิจฉัย TLS ที่เป็นมาตรฐานทั่วไป
วินิจฉัยอาการทางคลินิกร่วมกับผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการ
ความผิดปกติของ electrolyte ที่พบบ่อย
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
12-24 ชั่วโมงหลังการได้รับการรักษาโรคมะเร็ง
พบความผิดปกติแรกที่สังเกตได้ใน TLS
ภาวะที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและเสียชีวิต
ภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง
มักพบในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังการได้รับการรักษาโรคมะเร็ง
สาเหตุที่เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำตามมา
ส่งให้เกิดการชักเกร็ง (tetany) หัวใจเต้นผิดจังหวะและชักได้
ภาวะ TLS ที่เกิดขึ้นเองมักไม่พบภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง
สันนิษฐานว่าเกิดจากการนำฟอสเฟตกลับไปโดยใช้เซลล์มะเร็งใหม่
ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง
มักพบในช่วง 48 – 72 ชั่วโมงหลังการได้รับการรักษาโรคมะเร็ง
การสลายของกรดนิวคลีอิก กลุ่มพิวรีน (purine)
กรดยูริกยังสามรถเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันจากกลไกอื่น
ภาวะ Febrile neutropenia
ภาวะที่ผู้ป่วยมีจำนวนของเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลในเลือดน้อยกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม.หรือมีANC น้อยกว่า 1000 เซลล์/ลบ.มม. แต่มีแนวโน้มว่าจะลดลงจนน้อยกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม.
การที่มีเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลลดลง จึงทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
พบได้ในผู้ป่วยลิวคีเมีย (acute leukemia)
รักษาด้วยยาเคมีบำบัดซึ่งมีฤทธิ์กดการทำงานของไขกระดูกหรือการฉายรังสีที่มีปริมาณสูง
สาเหตุ
ผลลัพธ์โดยตรงต่อการเกิดภาวะนิวโทรพีเนีย(neutropenia) ผู้ป่วยจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลงจนถึงระดับที่ต่ำสุด
ในช่วงวันที่ 10 ถึงวันที่14 หลังได้รับยาเคมีบำบัด
1-2วันหลังจากการรักษายาเคมีบำบัดที่มีผลเกี่ยวข้องกับการกดไขกระดูกที่น าไปสู่ภาวะนิวโทรพีเนีย(neutropenia)
อาการ
บวมแดงหรือมีหนองบ่อยครั้งที่ไข้เป็นอาการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
การติดเชื้อ
การใช้ยาต้านเชื้อรา (antifungal therapy)
ผู้ป่วยที่มีภาวะนิวโทรพีเนียนานกว่า 1 สัปดาห์
มีโอกาสเกิด systemic fungal infectionสูง
ผู้ป่วยที่มี febrile neutropenia นานกว่า 5 วัน
ไม่มีแนวโน้มที่ภาวะนิวโทรพีเนียจะดีขึ้น
ยา
amphotericin B
มีผลทำให้การดูแลเด็กมีความซับซ้อนมากขึ้น
ผลข้างเคียงของยา
พิษต่อไต
เกิดโรคไตผิดปกติในการขับกรด
มีไข้ หนาวสั่น
คลื่นไส้/อาเจียน
ความดันโลหิตต่ำ
ชัก
ระดับโปตัสเซียมและแมกนีเซียมในเลือดต่ำ
การใช้ granulocyte colony-stimulating factor(G-CSF)
อาจจะช่วยลดระยะเวลาของการเกิดภาวะนิวโทรพีเนีย หลังการได้รับยาเคมีบำบัด
ช่วยให้มีการผลิตเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิล ได้เร็วกว่าที่ร่างกายจะผลิตได้เอง
หลังจากวันสุดท้ายในแต่ละรอบของการให้ยาเคมีบำบัดที่มีฤทธิ์กดไขกระดูกผ่านไปแล้ว 24 ชั่วโมง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยในระหว่างที่ได้รับยา
อาการปวดกระดูก (bone pain)
ซึ่งจะเริ่มต้นใน2-3 วันหลังจากการให้ G-CSF
อาการปวดจะหายไปเมื่อเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลเคลื่อนย้ายจากไขกระดูกเข้ามาในกระแสเลือด
การรักษาประคับประคอง
เป็นการรักษาโรคแทรกซ้อน และอาการข้างเคียงจากการให้ยา
โดยต้องทำควบคู่กับการรักษาแบบจำเพาะ
แบ่งเป็น 2 แนวทาง
การรักษาทดแทน (Replacement therapy)
ให้เลือดเพื่อให้ระดับฮีโมโกลบินไม่น้อยกว่า 7-8 กรัม/ดล.ในระยะแรกก่อนโรคสงบ
การรักษาด้วยเกร็ดเลือด
หากผู้ป่วยมีเลือดออกจากจำนวนเกร็ดเลือดต่ำ จำเป็นต้องให้เกร็ดเลือดก่อนให้ยา
วิธีนี้จะช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยได้สูง เพราะมีเกร็ดเลือดต่ำมาก จะทำให้ผู้ป่วยถึงเสียชีวิตได้รวดเร็วไม่เกิน 24 ชั่วโมง
อ้างอิง
KUNLAYA SRIMAHUNT.(2563).บทที่ 10 การพยาบาลเด็กที่ปัญหาเซลเจริญผิดปกติ. สืบค้น 18 มิถุนายน 2563.จาก
https://classroom.google.com/u/1/w/NzMzNjU4Njc4NDla/tc/NTc1NjI3NTkyNzFas
ผู้จัดทำ
นางสาว พิมพิศา รักษาสิทธิ์ 36-2 เลขที่ 7 612001087