Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบเลือด - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบเลือด
Function of Blood
Regulation
Protection
Transportation
การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
Angina pectoris
Anorexia
Anemia
Arthritis
Abdominal pain
Back pain
Abdominal discomfort ,fullness
ลักษณะอาการเลือดออกที่ผิดปกติ
hematoma ภาวะที่มีเลือดคั่งเป็นก้อน
hemarthrosis ภาวะที่มีเลือดออกในข้อ
ออกเป็นจ้าใหญ่ๆเรียกว่า echymosisหรือที่เรียกกันว่าพรายย้า
epistaxis ภาวะเลือดออกจากจมูก ( เลือดกาเดา )
ออกเป็นจุดเล็กๆ เรียกว่า petechiae ถ้าออกเป็นจุดปานกลาง เรียกว่า purpuric spot
bleeding per gum ภาวะเลือดออกจากบริเวณเหงือกและไรฟัน
purpura เป็นภาวะที่มีเลือดออกใต้ผิวหนังหรือออกที่เยื่อเมือก (mucous membrane)ทาให้มีรอยเขียวตามผิวหนัง กดแล้วไม่จางหายไป
intracrenial hemorrhage ภาวะเลือดออกในสมอง
สาเหตุของเลือดออกผิดปกติ
ความผิดปกติของหลอดเลือด
ความผิดปกติของเกล็ดเลือด
ความพร่องในปัจจัยการแข็งตัวของเลือด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Clot retraction
Venous clotting time (VCT)
Touniquet test
Prothrombin time (PT)
Partial thromboplastin time (PTT)
Bleeding time
Thrombin time (TT)
platelet count
Idiopathic thrombocytopenic purpura ( ITP )
แบบเฉียบพลัน ( acute )
แบบเรื้อรัง ( chronic )
ผลการตรวจทางห้องทดลอง
WBC ปกติ บางรายพบ lymphocyte สูง
bone marrow พบตัวอ่อนของเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น
hematrocrit อยู่ในเกณฑ์ปกติ ยกเว้นในรายที่มีเลือดออกรุนแรง หรือเลือดเรื้อรังอาจมีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กร่วมด้วย
platelet antibody ได้ผลบวกร้อยละ 38 - 76 % 6. platelet อายุสั้นไม่เกิน 1 วัน ( ปกติ 9 - 11 วัน )
เกล็ดเลือดต่ากว่า hemostatic level คือ 60,000 เซลล์/ลบ.มม. รายที่มีอาการรุนแรงมักจะต่ากว่า 20,000 เซลล์/ลบ.มม.
การรักษา
การรักษาตามอาการ
การรักษาจำเพาะ
อาการ
•Ecchymosis
•Purpura
•Nosebleeds
•Mennorrhagia
•Hematuria
•Blood in stool
•Petechiae
Snake bite
พิษต่อระบบเลือด (hematotoxin)
Viper ได้แก่ งูแมวเซา (Russell’s viper; Daboia russelli)
อาการ
มีอาการเลือดออกผิดปรกติ ได้แก่ เลือดออกจากแผลรอยกัดมาก, มีจ้าเลือดบริเวณแผล, เลือดออกตามไรฟัน, จุดเลือดตามตัว, ปัสสาวะเป็นเลือด, อาเจียนเป็นเลือด
ในกรณีงูแมวเซาซึ่งเป็น viper จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อตามตัวได้มาก มีอาการและอาการแสดงของภาวะ DIC และมีอาการของภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน
ปวด บวม แดง ร้อน แต่ไม่มาก ได้แก่ งูแมวเซา หรืออาการระยะแรกของงูเห่าและงูจงอาง ในกรณีที่พบมีเลือดออกจากรอยเขี้ยวให้คิดถึงงูแมวเซา
ในกรณีของงูกะปะและงูเขียวหางไหม้ อาการเลือดออกผิดปรกติมักไม่รุนแรง แต่อาการที่บริเวณแผลงูกัดจะรุนแรง
กรณีสงสัยงูพิษต่อระบบเลือด
การตรวจ Complete Blood count จะพบว่าปริมาณเกล็ดเลือดลดลง
การตรวจ Prothrombin time (PT), partial prothromboplastin time (PPT), Thrombin time (TT) จะมีค่านานผิดปรกติ
การรักษาทั่วไป
ปลอบใจและให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วย
หยุดการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะบริเวณที่ถูกกัด ในกรณีที่มีอาการบวมมาก ให้ยกบริเวณนั้นสูง
รักษาภาวะฉุกเฉิน เช่น ภาวะช็อค anaphylactic shock การหยุดหายใจ
ให้ยาแก้ปวด แอเคตามิโนเฟน ไม่ให้ยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางแก่ผู้ที่ถูกงูพิษต่อระบบประสาทกัด และไม่ให้ แอสไพรินในผู้ป่วยที่ถูกงูพิษต่อระบบเลือดกัด
ให้ยาต้านจุลชีพในกรณีถูกงูเห่าและงูจงอางกัด ใช้ยาที่ครอบคลุมเชื้อทั้งแกรมบวก แกรมลบเละเชื้อไม่พึ่งอากาศ
ควรให้ยากันบาดทะยัก ในกรณีงูพิษต่อระบบเลือดควรให้หลังจากอาการเลือดออกผิดปรกติดีขึ้น
การให้เซรุ่ม
งูกะปะ VCT>20 นาที ให้เซรุ่ม 50 มล. ให้ซ้าทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ากว่า 30 นาที
งูเขียวหางไหม้ ให้เซรุ่ม 50 มล. ให้ซ้าทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ากว่า 30 นาที
งูแมวเซา VCT>20 นาที ให้เซรุ่ม 60 มล. ให้ซ้าทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ากว่า 30 นาที
ภาวะแทรกซ้อน
•Renal failure
•Gangrene
•Pulmonary emboli or hemorrhage
•Acute respiratory distress sysdrome
•Stroke
การพยาบาลผู้ป่วย DIC
หลีกเลี่ยงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทาให้เกิด Increase intracranial pressure
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อหน้าที่ของเกร็ดเลือด
•ASA, NSAID, Beta-lactam antibiotic
•Response to heparin therapy
•หลีกเลี่ยงการใช้ยาเข้ากล้ามเนื้อและ rectral
•Suction โดยใช้ Low pressure
•สังเกต Clot รอบ IV site และ Injections sites
•Patient and family support
ภาวะซีด
สาเหตุของภาวะซีด
ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเพิ่มขึ้นหรือมากผิดปกติ
ภาวะซีดจากการเสียเลือดจากร่างกาย
ภาวะซีดจากการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง
ภาวะซีดจากธาลัสซีเมีย
การวางแผนการพยาบาล
ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเนื่องจากตับและม้ามโต การเมตะบอลิสมบกพร่อง
มีความผิดปกติของการแลกเปลี่ยนออกซิเจนของหัวใจและปอดเนื่องจากการสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจไม่ดี
มีความผิดปกติของผิวหนังเนื่องจากอวัยวะส่วนปลายขาดเลือดไปเลี้ยง
การปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องเนื่องจากขาดความรู้
ภาวะซีดจากภาวะซีดจากภาวะพร่องจี-6-พีดี
อาการและอาการแสดง
ภาวะซีดอย่างเฉียบพลัน ผู้ที่พร่อง จี-6-พีดี เมื่อมีภาวะเจ็บป่วยหรือได้รับยาหรือสารเคมีบางอย่าง ซึ่งมีผลทาให้เม็ดเลือดแดงเป็นจานวนมากแตกอย่างรวดเร็วในหลอดเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการซีดลงอย่างรวดเร็วร่วมกับถ่ายปัสสาวะดาและอาจตามมาด้วยภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน
ภาวะซีดเรื้อรัง เนื่องจากมีการแตกของเม็ดเลือดเรื้อรัง ซึ่งอาการซีดแบบโรคธาลัสซีเมียหรือภาวะพร่องเอนไซม์อื่น ๆ พบน้อย อาการมักจะเกิดขึ้นทันทีเป็นโรคติดเชื้อ (เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ มาลาเรีย ไทฟอยด์ ตับอักเสบ เป็นต้น) หรือหลังได้รับยาที่มีปฏิกิริยาต่อกัน
การรักษา
ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อลดภาวะแทรกซ้อน ดูแลให้สารน้าและติดตามภาวะสมดุลของอิเล็กโตรไลท์ ระหว่างมีการแตกทางายของเม็ดเลือดแดง
รักษาตามอาการ
ให้เลือด ชนิด Packed red cell เพื่อหลีกเลี่ยงโปแตสเซียมสูง
ให้คาแนะนาผู้ป่วยและญาติในการสังเกตอาการผิดปกติ หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จาเป็น ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
หาสาเหตุและหลีกเลี่ยงแก้ไข เช่น หยุดยาหรือขจัดสารที่เป็นสาเหตุทาให้เม็ดเลือดแดงแตก รักษาโรคติดเชื้อที่เป็นสาเหตุ
การวางแผนการพยาบาล
•
ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอเนื่องจากภาวะซีด
มีภาวะไม่สมดุลของสารน้าและอิเล็กโตรไลน์เนื่องจากการแตกของเม็ดเลือดแดง
มีความวิตกกังวลเนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องโรค
อาการ
4) อาการเป็นลม หน้ามืด วิงเวียน อาจทาให้หกล้มได้
5) อาการทางสมอง
3) อาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ไม่มีแรงเคลื่อนไหว
อาการหัวใจขาดเลือด
2) อาการเหนื่อยง่ายหรือรู้สึกเหนื่อยผิดปกติเวลาที่ต้องออกแรง
อาการเลือดไปเลี้ยงที่ขาไม่เพียงพอ
1) อาการซีด
อาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร ท้องอืด
ระยะของภาวะซีด
ภาวะซีดชนิดเฉียบพลัน
1.2 เม็ดเลือดแดงถูกทาลายอย่างเฉียบพลันจะมีอาการร่วม
1.3 อาจเกิดจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน ซึ่งจะมีไข้ เกล็ดเลือดต่า ตับม้ามโต
1.1 เสียเลือดอย่างเฉียบพลัน
ภาวะซีดชนิดเรื้อรัง
2.2 ลักษณะของธาลัสซีเมียจากหน้าตาและผิวพรรณ
2.3 ลักษณะทางคลินิกของโรคตับ โรคไต โรคเอสแอลอี
2.1 ประวัติการเสียเลือดชนิดเรื้อรัง
2.4 ลักษณะทางคลินิกของการขาดสารอาหาร
การรักษาภาวะซีด
การรักษาทั่วไป เป็นการบาบัดอาการของภาวะซีด
การรักษาเฉพาะ เป็นการรักษาที่สาเหตุ
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะซีด
การรับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีธาตุเหล็กและโปรตีนสูง
การให้คาปรึกษาเกี่ยวกับโรคที่เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะซีด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
พฤติกรรมการรับประทานยาที่ถูกต้อง
การพักผ่อน และการออกกาลังกาย เป็นสิ่งที่สาคัญ โดยควรประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วยก่อนเพื่อให้คาแนะนาในการทากิจกรรมและการออกกาลังกายที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วย
ภาวะซีดอะพลาสติก
สาเหตุ
ภาวะซีดอะพลาสติกเป็นภาวะที่ไขกระดูกล้มเหลวไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดได้ตามปกติ
เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมแต่กาเนิด (Fanconi syndrome) ทาให้เลือดพร่องเม็ดเลือดทุกชนิดสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
เกิดจากได้รับสารที่เป็นอันตรายต่อไขกระดูกโดยตรง
อาการและอาการแสดง
มีจุดเลือดออกที่เยื่อบุเปลือกตาหรือเรตินา พบจานวนเม็ดเลือดแดงน้อยกว่า 1 ล้านเซลล์/ลบ.มม. เรติคิวโลไซต์ต่า
การวางแผนทางการพยาบาล
ไม่สามารถทากิจวัตรประจาวันได้ เนื่องจากภาวะพร่องออกซิเจน
มีโอกาสติดเชื้อเนื่องจากปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีโอกาสเสียเลือดเนื่องจากปริมาณเกล็ดเลือดต่าและมีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
ชนิด
lymphocyte
myeloid
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
•Acute myeloid leukemia [AML]
•Chronic lymphocytic leukemia [CLL]
•Acute lymphocytic leukemia [ALL]
•Chronic myeloid leukemia [CML]
สาเหตุ
•ความผิดปกติของ
•โครโมโซม (Chromosomal aberration)
•รังสี (Ionizing radiation)
•ไวรัสบางชนิดเช่น ไวรัสเฮชทีแอลวี (Human T-lymphotropic virus Type I หรือเรียกย่อว่า HTLV-1)
•สารก่อมะเร็ง
อาการ
•ภาวะซีด จากเม็ดเลือดแดงลดลง
•เลือดออกง่ายจากเกล็ดเลือดลดลง
•ติดเชื้อเมื่อมีเม็ดเลือดขาวปกติลดลง
การรักษา
•การปลูกถ่ายไขกระดูก Bone marrow transplantation
•การสร้างภูมิคุ้มกัน Biological therapy โดยการใช้ interferon กับเซลล์มะเร็งได้บางชนิด
•เคมีบาบัด Chemotherapy
•วิธีการรักษา
ผลข้างเคียงของการรักษา
รังสีรักษา Radiotherapy บริเวณที่ฉายแสงขนหรือผมจะร่วง ผิวบริเวณดังกล่าวจะแห้ง คัน ห้ามใช้ lotion ก่อนปรึกษาแพทย์
การปลูกถ่ายไขกระดูก Bone marrow transplantation ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เลือดออกผิดปกติ
•1. เคมีบาบัด Chemotherapy หลักการให้เคมีบาบัดคือทาลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วซึ่งเซลล์มะเร็งแบ่งตัวเร็วดังนั้นจึงถูกทาลายมากแต่ขณะเดียวกันการให้เคมีบาบัดก็ทาลายเซลล์ปกติดังนั้นอาการข้างเคียงจึงเกิดจากการที่เซลล์ปกติถูกทาลาย ผู้ป่วยจะคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ผมร่วง เป็นหมัน