Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาเซลล์ผิดปกติ, การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาเซลล์ผิดปกติ …
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาเซลล์ผิดปกติ
มะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL (Acute lymphoblastic leaukemia)
ข้อมูลทั่วไป
พบบ่อยที่สุดในเด็ก อายุ 2-5 ปี
Leukemia : เกิดจากความผิดปกติของStem cell ที่อยู่ในBone Marrow แบ่งตัวผิดปกติ ไม่สามารถ differentiate ไปเป็นเซลล์ตัวแก่ได้
ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนมีเพิ่มขึ้น ทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดลดลง
จึงเกิดอาการซีด เลือดออก และติดเชื้อได้ง่าย
แบ่งเป็น
T-cell lymphoblastic leukemia
B-cell lymphoblastic leukemia (ส่วนใหญ่)
ชนิด
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL (Acute lymphoblastic leukemia)
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด AML (Acute myelogenous leukemia)
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CLL (Chronic lymphocytic leukemia)
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CML (Chronic myelogenous leukemia)
สาเหตุ
ปัจจัยทางพันธุกรรม
Down’s syndrome
ครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL
ฝาแฝดที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
Lonizing radiation ซึ่งเป็นรังสีที่ใช้ในการ
ตรวจและรักษาในปริมาณสูง
ยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็งชนิดอื่นมาก่อน
สารเบนซิน (Benzene)
สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde)
รับสารเคมีต่างๆ ที่เป็นพิษจากสิ่งแวดล้อม
หรือจากควันบุหรี่และการสูบบุหรี่
อาการ
อาการแรกที่เป็น คือ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซีด อ่อนเพลียง่าย
เลือดออกง่าย ตามไรฟัน มีจ่ำเขียวขึ้นบนตามตัว มีประจำเดือนมากผิดปกติ
ติดเชื้อง่าย มีไข้
ก้อนขึ้นที่ขาหนีบ ต่อมน้ำเหลือง ขา คอ หรือมีตับ ม้ามโต
การวินิจฉัย
เจาะเลือดตรวจหาเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนของเม็ดเลือดขาว
การเจาะไขกระดูก Bone marrow Transplanted
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง(Lymphoma)
ทั่วไป
ประกอบประด้วยอวัยวะที่เกี่ยวกับน้ำเหลือง
ได้แก่ ม้าม ไขกระดูก ต่อมทอนซิล ต่อมไทมัส
มีหน้าที่นำสารอาหาร และเซลล์เม็ดเลือดขาว
(Lymphocyte) ไปยังส่วนต่างๆทั่วร่างกาย
ตำแหน่งที่พบบ่อย คือต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ(Cervical Lympnode)
มะเร็งต่อมน้้าเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma)
ไม่มีอาการเจ็บปวดมีลักษณะเฉพาะ คือจะพบ Reed-Sternberg cell
อาการจะเร็วและรุนแรง อาจมีก้อนที่ช่องท้อง ช่องอกหรือในระบบประสาท
Burkitt Lymphoma มาจาก B-cell กระจายในเนื้อเยื่อ มีก้อนเนื้องอกที่โตเร็วมาก พบเฉพาะที่ เช่น ในช่องท้อง รอบกระดูกขากรรไกร
การวินิจฉัย
ตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy)
ตรวจไขกระดูก
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์(CT scan)
เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
ตรวจกระดูก (Bone scan)
ตรวจ PET scan
ตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์
อาการ
อาการเริ่มต้นที่พบบ่อย คือ จะคลำพบก้อนที่บริเวณต่าง ๆ เช่น คอ รักแร้ แต่จะไม่มีอาการเจ็บ ซึ่งต่างจากการติดเชื้อที่มักจะมีอาการเจ็บที่ก้อน
มีไข้ หนาว สั่น เหงื่อออกมากตอนกลางคืน คันทั่วร่างกาย
เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียไม่ทราบสาเหตุ
ไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก ต่อมทอนซิลโต
ปวดศีรษะ (พบในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท)
อาการในระยะลุกลาม
ซีด มีเลือดออกง่าย เช่น จุดเลือดออกตามตัว จ้ำเลือด
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเกิดขึ้นภายในช่องท้องผู้ป่วยจะมีอาการแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องโต
การรักษา
ใช้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)
ฉายรังสี(Radiation Therapy)
รักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นเนิด (Transplantation)
มะเร็งไต (Neuroblastoma/Wilm Tumor)
ทั่วไป
มะเร็งไต : ภาวะที่เนื้อไตชั้นพาเรนไคมา(Parenchyma) มีการเจริญผิดปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้องอกภายในเนื้อไต
ไม่ให้คลำบ่อย เพราะอาจทำให้ก้อนแตก หรืออาจเกิดการแพร่กระจายของมะเร็ง
พบได้บ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
อาการ
ก้อนในท้อง ท้องโต ปวดท้อง
ตาโปนมีรอยช้ำรอบตา(raccoon eyes) มีไข้ ปวดกระดูก
เป็นเนื้องอกที่มีต้นกำเนิดมาจากเซลล์ของระบบประสาท(Neural crest) เกิดบริเวณใดก็ได้ที่มีเนื้อเยื่อ Sympathetic nerve ได้แก่ ต่อมหมวกไต(adrenal gland) ในช่องท้อง เป็นต้น
การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
(Chemotherapy)
ระยะ
ระยะชักนำให้โรคสงบ (induction phase)
ให้ยาเพื่อทำลายเซลล์ในเวลาอันสั้นให้มากที่สุด
อันตรายต่อเซลล์ปกติให้น้อยที่สุด
ไขกระดูกสามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ตามปกติ
ใช้เวลา 4 – 6 สัปดาห์
ยาที่ใช้ ได้แก่ Vincristine, Adriamycin,
L – Asparaginase และ Glucocorticoid
ระยะให้ยาแบบเต็มที่ (intensive or consolidation phase)
ให้ยาหลายชนิดร่วมกันภายหลังที่ผู้ป่วยอยู่ในระยะโรคสงบแล้ว
ใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์
ยาที่ใช้ ได้แก่ Metrotrexate, 6 – MP และ Cyclophosephamide
ระยะป้องกันโรคเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง (CNS prophylaxis phase)
ให้ยาเพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง
มีโอกาสกลับเป็นโรคอีกครั้ง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำ ตับม้ามโต
ยาที่ใช้ ได้แก่ Metrotrexate, Hydrocortisone และ ARA – C
ระยะควบคุมโรคสงบ (maintenance phase or continuation therapy)
ให้ยาเพื่อควบคุม และรักษาโรคอย่างถาวร
ยาที่นิยม คือ การให้ 6 – MP โดยการรับประทานทุกวันร่วมกับการให้ Metrotrexate
ยาเคมีบำบัด IT IM IV
ทางช่องไขสันหลัง(intrathecal)
ทางกล้ามเนื้อ หลังฉีดต้องระวังเลือดออก
ทางหลอดเลือดดำ (vein) ต้องระวังการรั่วของยาออกนอกหลอดเลือด
ยาเคมีบำบัดที่ใช้บ่อย
Cyclophosphamide รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวโดยออกฤทธิ์จับ
หรือรวมตัวกับดีเอ็นเอของเซลล์มะเร็ง
Mercaptopurine(6-MP) รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน
โดยยับยั้งการสร้าง Purine ยับยั้งการสร้างกรดนิวคลีอิก
Methotrexate รักษามะเร็ง Acute leukemiaโดยยับยั้งการสร้าง
DNA และRNA
Cytarabine(ARA-C) รักษามะเร็งชนิด Acute lymphoblastic
leukemia (ALL)โดยจะขัดขวางการสร้าง DNA
Mesna ป้องกันภาวะเลือดออกในผู้ป่วยกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
Ondasetron(onsia) ป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียน
Bactrim ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส เนื่องจากผู้ป่วยมี
ภูมิต้านทานต่ำ
Ceftazidime(fortum) ป้องกันการติดเชื้อเนื่องจากมีไข้
หลังได้รับยาเคมีบ าบัด
Amikin ป้องกันการติดเชื้อเนื่องจากมีไข้หลังได้รับยาเคมี
บำบัด
การรักษา
การรักษาประคับประคอง
การรักษาทดแทน (Replacement therapy) : ให้เลือดเพื่อให้ระดับฮีโมโกลบินไม่น้อยกว่า 7-8 กรัม/ดล.
การรักษาด้วยเกร็ดเลือด : หากผู้ป่วยมีเลือดออกเกร็ดเลือด่ำ จำเป็นต้องให้เกร็ดเลือดก่อน ก่อนให้ยา
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาเซลล์ผิดปกติ
(การดูแลเด็กที่ได้รับยาเคมีบำบัด)
ผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด
ผลต่อระบบเลือด
เม็ดเลือดแดง : RBC ภาวะซีด (Anemia) อาจให้เลือดเมื่อค่า Hb = 8-10 gm/dl Hct = 24-30 gm/dl
เม็ดเลือดขาวต่ำ(Leukopenia) ประเมินจากค่า ANC : absolute neutrophil count
แบ่งเป็น
เม็ดเลือดขาวต่ำเล็กน้อย
ANC 1000-1500 เซลล์/ลบ.มม.
เสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
งดให้ยาเคมีบำบัด
เม็ดเลือดขาวต่ำปานกลาง ANC 500-1000 เซลล์/ลบ.มม
เม็ดเลือดขาวต่ำรุนแรง
ANC ต่ำกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม.
เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่รุนแรงมากขึ้น
ANC ต่ำกว่า 100 เซลล์/ลบ.มม. เสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบในกระแสเลือด รวมไปถึงการติดเชื้อรา รุนแรงต่อชีวิตได้
การประเมิน เม็ดเลือดขาวจะต่ำสุดในวันที่ 6-12 หลังได้ยาเคมีบำบัด และจะกลับสู่ภาวะปกติภายใน 21 วัน ต้องแยกเด็กไว้ในห้องแยกเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
เกร็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia)
เกิดภาวะเลือดออกง่ายกว่าปกติ
มีความเสี่ยงต่ออาการเลือดออกง่ายหยุดยาก
อาการที่พบได้คือ จุดเลือดเล็กๆ ใต้ผิวหนัง หรือมีจ้ำเลือด Ecchymosis ปัสสาวะ มีเลือดปน
มีโอกาสเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารหรือมีเลือดออกในสมอง
ผลต่อระบบทางเดินอาหาร
อาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน แผลในปากและคอ ปวดท้อง ท้องเดิน ท้องผูก
อาเจียนจะให้ยา Onsia (ondansetron) เข้าทางหลอดเลือดดำ
ดูแลให้บ้วนปากด้วย 0.9%NSS อย่างต่อเนื่องทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร หรือทุก 2 ชั่วโมงในรายที่มีแผลในปาก
Low Bacterial diet คือ อาหารที่สุกสะอาดและปรุงเสร็จใหม่ๆ
ผลต่อระบบผิวหนัง
ผมร่วงหลังได้รับยา 2-3 สัปดาห์ งอกขึ้นใหม่หลังหยุดยา 2-3 เดือน
ลักษณะผมที่ขึ้นมาใหม่จะไม่เหมือนเดิม สี ความหนา ความยืดหยุ่นเปลี่ยนไป
ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบทางเดินปัสสาวะ
ตะกอนของยาเคมีบำบัดทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ Cystitis
ต้องได้รับน้ำ ที่มากพอทางหลอดเลือดดำและทางปาก
ปรับให้ปัสสาวะมีฤทธ์เป็นด่าง โดยให้7.5% NaHCO3
ติดตามค่า sp.gr ให้ต่ำกว่า 1.010 และค่า PH สูงกว่า 6.5-7 (สภาพความเป็นด่าง)
ตับ
ยาที่มีฤทธิ์ทำลายตับ เช่น
Methotrexate, Vincristine
หายเป็นปกติได้ภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากได้รับยาเคมี
อาการ : ตัวตาเหลือง อ่อนเพลีย ปวดชายโครงด้านขวา ท้องโตขึ้นหรือเท้าบวม
Tumorlysis Syndrome : TLS
เป็นผลจากการได้รับยา
เคมีบำบัดครั้งแรก
การสลายของเซลล์มะเร็ง เหล่านี้ทำให้เกิดการปลดปล่อยส่วนประกอของเซลล์ ออกมา
ก่อให้เกิดกลุ่มความผิดปกติทางเมตาบอลิก
ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง และภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง ความผิดปกติเหล่านี้ทำให้การทำงานของไตบกพร่อง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ชักและเสียชีวิตได
อาการ&อาการแสดง
อาการทางระบบทางเดินอาหาร
ภาวะกรดยูริกในเลือดสูงอาจพบภาวะง่วงซึม (lethargy)
ภาวะทางเดินปัสสาวะอุดตัน (obstructive uropathy) หรือไตวาย
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง อาจพบอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา (paresthesia) หัวใจเต้นผิดจังหวะ
ภาวะฟอสเฟตในเลือดสูงและภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ อาจพบกล้ามเนื้อตะคริว ชักเกร็ง ชัก ไตวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ
การวางแผนการดูแล
ยาเคมีบำบัดผ่านเข้าทางช่องไขสันหลัง( Intrathecal:IT)
หลังให้ยาต้องจัดให้ผู้ป่วยนอนราบ 6-8 ชั่วโมงหลังให้ยาต้องจัดให้ผู้ป่วยนอนราบ 6-8 ชั่วโมง
สามารถพลิกตะแคงตัวได้ตลอด ไม่ให้ผู้ป่วยลุกขึ้นนั่งในช่วงเวลาที่กำหนด
นำน้ำไขสันหลังออกเท่ากับจำนวนยาที่ใส่เข้าไป โดยนับหยดน้ำไขสันหลัง 15 หยดต่อ 1 ซีซี
ป้องกันการเกิดแผลในปาก
บ้วนปากด้วย 0.9%NSS อย่างต่อเนื่อง
ไม่แปรงฟันถ้าเกร็ดเลือดต่ำกว่า
50,000 cell/cu.mm
ใช้แปรงสีฟันที่อ่อนนุ่ม
ได้รับยาเพิ่ม เช่น Xylocaine Viscus ให้ผู้ป่วยได้รับยา ต้องดูแลอย่างถูกวิธี โดยจะให้ครั้งละ 1 ml. อมไว้ 2-3 นาที และกลืนได้ ยาจะออกฤทธิ์ ทำให้เกิดอาการชา ลด อาการเจ็บแผลในปาก
รับยาฆ่าเชื้อราในปาก Nystatin oral suspention ให้อมยาในปาก 2-3 นาที ไม่ต้องให้น้ำตาม (เพื่อให้ยาค้างในช้องปากนานๆ) และต้องให้หลังให้นม เพราะถ้าให้ก่อนให้นม เด็กดูดนมยาก็จะไปกับนม ไม่ค้างในปาก รักษา 7-14 วัน
รับประทานอาหารที่สุกใหม่
Low Bacterial Dietโดยแคลอรีและโปรตีนสูง
งดอาหารที่ลวก ย่าง รวมทั้งผักสด ผลไม้ที่มีเปลือกบาง เช่น ชมพู่ องุ่น ฝรั่ง
ดื่มนมที่ผลิตด้วยวิธีสเตอริไลส์ และยูเอชที UHT
การดูแลปัญหาซีด
ให้เลือด(Pack Red Cell) จึงต้องดูแลผู้ป่วยขณะให้เลือด
ติดตามประเมิน V/S อย่างต่อเนื่อง ทุก 15 นาที 4 ครั้ง หลังจากนั้นทุก ½ ชั่วโมงจนกว่าจะ Stable
ก่อนให้เลือดแพทย์จะให้ยา Pre-med คือ PCM CPM และ lasix
ให้เลือดหมดโดยใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง หลังจากนั้นติดตามค่า Hct หลังให้เลือด
รับประทานอาหารที่มีโปรตีนและธาตุเหล็กสูง เพื่อสร้างเม็ดเลือด
เฝ้าระวังภาวะชักจากความดันสูง(HCC syndrome : Hypertensive convalsion cerebral
hemorrhage syndrome)
ป้องกันเลือดออกง่ายหยุดยาก
ให้ Platlet concentration
หลักการให้คือให้หมดภายใน ½ -1 ชั่วโมง หยดแบบ free flow
ได้รับ Pre-med คือ PCM CPM และ lasix และระหว่างให้จะต้องติดตาม V/S อย่างต่อเนื่อง
ความผิดปกติของ electrolyte
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
พบ 12-24 ชั่วโมงหลังการได้รับการรักษา
ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสียชีวิต
ภาวะฟอสเฟตในเลือดสูง
พบ 24-48 ชั่วโมงหลังการได้รับการรักษา
เกิดการชักเกร็ง (tetany) หัวใจเต้นผิดจังหวะและชัก
เกิดการตกตะกอนในรูปผลึกแคลเซียมฟอสเฟตในร่างกาย หากเกิดขึ้นที่ไตวายเฉียบพลันได
ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง
พบ 48-72 ชั่วโมงหลังการได้รับการรักษา
เหนี่ยวนำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันจากกลไกอื่น
เกิดจากการสลายของกรดนิวคลีอิก กลุ่มพิวรีน (purine) ได้เป็น hypoxanthine และ xanthine
ภาวะ Febrile neutropenia
ทั่วไป
ภาวะที่ผู้ป่วยมีจ านวนของเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิล (neutrophil) ในเลือดน้อยกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม.หรือมีANC น้อยกว่า 1000 เซลล์/ลบ.มม.
มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา
สาเหตุ
พบได้ในผู้ป่วยลิวคีเมีย ที่มีเซลล์มะเร็งในกระแสเลือดมากมีผลให้เม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลในเลือดลดลง
การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดซึ่งมีฤทธิ์กดการทำงานของไขกระดูก
ฉายรังสีที่มีปริมาณสูง
การใช้ยาต้านเชื้อรา (antifungal therapy)
ยาต้านเชื้อรา ได้แก่ amphotericin B
ผลกระทบมากที่สุด คือ พิษต่อไต
ผลข้างเคียงอื่น คือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้/อาเจียน ความดันโลหิตต่ำ ชัก ระดับโปตัสเซียมและแมกนีเซียมในเลือดต่ำ และอาการแพ้ยา
การใช้ granulocyte colony-stimulating factor(G-CSF)
ช่วยลดระยะเวลาของการเกิดภาวะนิวโทรพีเนีย
ช่วยให้มีการผลิตเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิล ได้เร็วกว่าที่ร่างกายจะผลิตได้เอง
เริ่มให้หลังจากวันสุดท้ายในแต่ละรอบของการให้ยาเคมีบำบัดที่มีฤทธิ์กดไขกระดูก
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ อาการปวดกระดูก จะหายไปเมื่อเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลเข้าไปในกระแสเลือด
น.ส.พลอยไพริน กิมเฮียะ 36/2 เลขที่ 3 (612001083)