Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบเลือด - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบเลือด
เกล็ดเลือด (Thrombocyte , platelet)
เป็นองค์ประกอบของเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุด
กําเนิดมาจากเซลล์เมกะคาริโอไซต์ (megakaryocyte) ในไขกระดูก มีเซลล์ที่เรียกว่า ทรอมโบไซต์ (thrombocyte)
กลไกห้ามเลือด (Homeostasis)
Vasoconstriction เมื่อเกิดบาดแผล สารซีโรโทนิน(serotonin)
Platelet aggregation คือเซลล์ที่ได้รับความเสียหาย และเกล็ดเลือด จะปล่อยสาร ADP
Coagulation, clot
Extrinsic pathway
Intrinsic pathway
การเปลี่ยนโปรทรอมบิน (prothrombin) เป็นทรอมบิน (thrombin)ทรอมโบพลาสติน (thromboplastin)
การเปลี่ยนไฟบริโนเจน (fibrinogen) เป็นไฟบริน (fibrin)ทรอมบินที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนไฟบริโนเจน
การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
Abdominal discomfort ,fullness
Abdominal pain
Anemia
Angina pectoris
Anorexia
Arthritis
Back pain
Hematoma
Purpura
Bleeding per gum
Bruising
การซักประวัติ
Blindness
Bone pain
Brittle nail
Dryness of mouth
Echymosis
การซักประวัติ
Edema
Epistasis
Erythroderma
Fever
Fracture
Gastrointestinal Bleeding
Gum hypertrophy
Hemarthrosis
ลักษณะอาการเลือดออกที่ผิดปกติ
purpura เป็นภาวะที่มีเลือดออกใต้ผิวหนังหรือออกที่เยื่อเมือก (mucous membrane)ทำให้มีรอยเขียวตามผิวหนัง กดแล้วไม่จางหายไป
ออกเป็นจุดเล็กๆ เรียกว่า petechiae ถ้าออกเป็นจุดปานกลาง เรียกว่า purpuric spot
ออกเป็นจ้ำใหญ่ๆเรียกว่า echymosisหรือที่เรียกกันว่าพรายย้ำ
hematoma ภาวะที่มีเลือดคั่งเป็นก้อน
hemarthrosis ภาวะที่มีเลือดออกในข้อ
epistaxis ภาวะเลือดออกจากจมูก ( เลือดกำเดา )
bleeding per gum ภาวะเลือดออกจากบริเวณเหงือกและไรฟัน
intracrenial hemorrhage ภาวะเลือดออกในสมอง
สาเหตุของเลือดออกผิดปกติ
ความผิดปกติของหลอดเลือด ลักษณะเลือดออกจะเป็น petchiae หรือ ecchymosis
ความผิดปกติของเกล็ดเลือด ลักษณะเลือดออกมักจะเป็น petchiae ecchymosis และ mucosal bleeding
ความพร่องในปัจจัยการแข็งตัวของเลือด ลักษณะเลือดออกมักจะมี ecchymosis
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
platelet count
Bleeding time
Touniquet test
Clot retraction
Venous clotting time (VCT)
Thrombin time (TT)
Prothrombin time (PT)
Partial thromboplastin time (PTT)
สาเหตุของภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
สร้างจากไขกระดูกได้น้อย เช่น ภาวะที่ไขกระดูกฝ่อ (Aplastic anemia) หรือภาวะที่ไขกระดูกถูกกดเบียดจากการมีโรคมะเร็งกระจายเข้าในไขกระดูก
เกล็ดเลือดถูกทำลายมาก เช่น ในโรคที่เรียกว่า SLE
เกล็ดเลือดถูกบีบ (Squeeze) ไปอยู่ในที่หนึ่งที่ใดมากเกินไป
การใช้เกล็ดเลือดมากเกินไป
ลักษณะอาการ
ส่วนใหญ่มีอาการเลือดออกตามผิวหนังและอวัยวะต่างๆ โดยไม่มีสาเหตุใดๆนำมาก่อนเช่น petechiae, purpuric spot, echymosis, epistaxis, abnormal menstrual bleeding หรือ เสียเลือดอย่างรวดเร็วและรุนแรงจาก GI bleeding
ผลการตรวจทางห้องทดลอง
เกล็ดเลือดต่ำกว่า hemostatic level คือ 60,000 เซลล์/ลบ.มม. รายที่มีอาการรุนแรงมักจะต่ำกว่า 20,000 เซลล์/ลบ.มม.
hematrocrit อยู่ในเกณฑ์ปกติ ยกเว้นในรายที่มีเลือดออกรุนแรง หรือเลือดเรื้อรังอาจมีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กร่วมด้วย
WBC ปกติ บางรายพบ lymphocyte สูง
bone marrow พบตัวอ่อนของเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น
platelet antibody ได้ผลบวกร้อยละ 38 - 76 % 6. platelet อายุสั้นไม่เกิน 1 วัน ( ปกติ 9 - 11 วัน )
การรักษา
หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เลือดออก
การห้ามเลือดที่ออกในจมูกด้วยการทำ anterior nasal packing
แนะนำให้มารดาและผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่เป็นสิ่งสำคัญ
ให้เกล็ดเลือดเฉพาะในรายที่มีเลือดออกรุนแรง หรือออกในอวัยวะที่สำคัญๆ เช่นสมอง หรือในการผ่าตัด
การรักษา
2.1 ให้ยา Pednisolone 1 - 2 มก./กก./วัน
2.2 ทำผ่าตัดเอาม้ามออก ( splenectomy )
Thrombocytopenia
อาการ
Ecchymosis
Purpura
Nosebleeds
Mennorrhagia
Hematuria
Blood in stool
Petechiae
การพยาบาลเมื่อมีเลือดออก
บาดแผล ทำ pressure dressing นานประมาณ 10 - 15 นาที หรือจนเลือดหยุด งดการเคลื่อนไหวบริเวณนั้นและยกบริเวณที่มีเลือดออกให้สูงเหนือกว่าระดับหัวใจ
Purpura ให้ผู้ป่วยนอนพักบนเตียง
Epistaxis ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบปีกจมูกทั้งสองข้าง และวางกระเป๋าน้ำแข็งหรือ cold pack ที่บริเวณหน้าผาก จัดให้นั่งอยู่ในท่าโยกตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย
Bleeding per gum & teeth ถ้ามองเห็นจุดที่เลือดออก ให้ผู้ป่วยกัด gauze ที่บริเวณนั้นไว้ ถ้าออกทั่วๆไป ไม่มาก ให้บ้วนปากเบาๆ
Hemarthrosis พันข้อด้วย elastic bandage
Snake bite
พิษต่อระบบเลือด (hematotoxin)
Viper ได้แก่ งูแมวเซา (Russell’s viper; Daboia russelli)
อาการ
ปวด บวม แดง ร้อน แต่ไม่มาก ได้แก่ งูแมวเซา หรืออาการระยะแรกของงูเห่าและงูจงอาง ในกรณีที่พบมีเลือดออกจากรอยเขี้ยวให้คิดถึงงูแมวเซา
มีอาการเลือดออกผิดปรกติ ได้แก่ เลือดออกจากแผลรอยกัดมาก, มีจ้ำเลือดบริเวณแผล, เลือดออกตามไรฟัน, จุดเลือดตามตัว, ปัสสาวะเป็นเลือด, อาเจียนเป็นเลือด
ในกรณีงูแมวเซาซึ่งเป็น viper จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อตามตัวได้มาก มีอาการและอาการแสดงของภาวะ DIC และมีอาการของภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน
ในกรณีของงูกะปะและงูเขียวหางไหม้ อาการเลือดออกผิดปรกติมักไม่รุนแรง แต่อาการที่บริเวณแผลงูกัดจะรุนแรง
การรักษาทั่วไป
รักษาภาวะฉุกเฉิน เช่น ภาวะช็อค anaphylactic shock การหยุดหายใจ
ปลอบใจและให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วย
ให้ยาแก้ปวด แอเคตามิโนเฟน ไม่ให้ยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางแก่ผู้ที่ถูกงูพิษต่อระบบประสาทกัด และไม่ให้ แอสไพรินในผู้ป่วยที่ถูกงูพิษต่อระบบเลือดกัด
ให้ยาต้านจุลชีพในกรณีถูกงูเห่าและงูจงอางกัด ใช้ยาที่ครอบคลุมเชื้อทั้งแกรมบวก แกรมลบเละเชื้อไม่พึ่งอากาศ
ควรให้ยากันบาดทะยัก ในกรณีงูพิษต่อระบบเลือดควรให้หลังจากอาการเลือดออกผิดปรกติดีขึ้น
การให้เซรุ่ม
งูแมวเซา VCT>20 นาที ให้เซรุ่ม 60 มล. ให้ซ้ำทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ำกว่า 30 นาที
งูกะปะ VCT>20 นาที ให้เซรุ่ม 50 มล. ให้ซ้ำทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ำกว่า 30 นาที
งูเขียวหางไหม้ ให้เซรุ่ม 50 มล. ให้ซ้ำทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ำกว่า 30 นาที
การดูแลผู้ป่วย
ระมัดระวังภาวะเสี่ยงต่อเลือดออก (Bleeding precaution) และพิจารณาให้การรักษาดังนี้
ข้อบ่งชี้ในการให้เซรุ่มแก้พิษงู
ขนาดของเซรุ่มแก้พิษงูที่ใช้ คือ 30 มล. สำหรับความรุนแรงปานกลาง (moderate) และ 50 มล.สำหรับความรุนแรงมาก (severe)
การติดตามผู้ป่วย ติดตามภาวะเลือดออก และ VCT ทุก 6 ชั่วโมง หากยังมีภาวะเลือดออก หรือVCT ยังผิดปกติ สามารถให้เซรุ่มแก้พิษงูซ้ำได้อีก จน VCT ปกติ หลังจากนั้นควรทำ VCT ซ้ำอีกประมาณ 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก เนื่องจากบางรายอาจพบว่าVCT กลับมาผิดปกติได้อีก เกิดจากพิษงูยังคงถูกดูดซึมจากตำแหน่งที่งูกัดเข้าสู่กระแสเลือดอีก จำเป็นต้องให้เซรุ่มแก้พิษงูซ้ำ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Plt ต่ำ
PT,PTT,TT prolong
Fibrinogen ต่ำ
Fibrin degradation products(FDP) สูง
Euglobulin clot lysis น้อยว่า/เท่ากับ 1 hr
อาการ
Temparature ต่ำ
Joint Pain
Cyanosis
Focal ischemia
Superficial gangrene
Petechiae
Subcutaneous hemorrhage
Ecchemosis
Circulartory system
Pluse ต่ำลง
Cappillary filling น้อยกว่า 3 sec
Tachycardia
GI
Gastric pain, Heartburn
Renal system
Urine output ลดลง
Bun, cr เพิ่มขึ้น
Neurogic system
Alternation and orentation ลดลง
Pupillary reaction ลดลง
Strength and movement ability ลดลง
Anxiety
Conjunctival hemorrhage
Headach
Vissual disturbances
ภาวะแทรกซ้อน
Renal failure
Gangrene
Pulmonary emboli or
hemorrhage
Acute respiratory distress sysdrome
Stroke
การพยาบาลผู้ป่วย DIC
Monitor
V/S, N/S
Hemodynamics
Abdominal girth
Urine output
External bleeding
Fibrinogen level
ความหมายของภาวะซีด
ภาวะซีด เป็นภาวะที่มีจำนวนเม็ดเลือดแดงในร่างกายน้อยลงหรือน้อยกว่าปกติ โดยระดับของ Hemoglobin ลดลงต่ำกว่าค่าปกติ ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุและเพศ
โดยในผู้ชายระดับค่าฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb) ในเลือดต่ำกว่า 13 กรัม/เดซิลิตร หรือ 12 กรัม/เดซิลิตรในผู้หญิง
สาเหตุของภาวะซีด
ภาวะซีดจากการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง
ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเพิ่มขึ้นหรือมากผิดปกติ
ภาวะซีดจากการเสียเลือดจากร่างกาย
ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเพิ่มขึ้นหรือมากผิดปกติ
ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงแตกหรือถูกทำลายเร็วกว่าปกติ เช่น ภาวะซีดทางกรรมพันธุ์บางชนิด
ภาวะซีดจากการติดเชื้อ เช่น Malaria, Clostridial infection
ภาวะซีดเนื่องจากยา สารเคมี และ Venoms
ภาวะซีดเนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายอย่างผิดปกติ
สาเหตุ
สาเหตุจากความผิดปกติภายในเม็ดเลือดแดง
สาเหตุจากความผิดปกติภายนอกเม็ดเลือดแดง
อาการและอาการแสดง
อาการของผู้ป่วยที่มี่ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายอย่างผิดปกติ นอกจากอาการซีดแล้วจะพบว่าผู้ป่วยมีอาการเหลืองเนื่องจากมีปริมาณบิลิรูบินในเลือดเพิ่มขึ้น อาการเหลืองของผู้ป่วยมักจะไม่มากเท่าผู้ป่วยที่มีอาการเหลืองจากการอุดตันของทางเดินน้ำดี และอาจพบม้ามโต ต่อมน้ำเหลืองโต ปัสสาวะมีสีคล้ำ ปวดท้องอย่างมาก มีแผลบริเวณผิวหนัง
ภาวะซีดจากธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
ภาวะที่ทำให้มีการสร้างสายโกลบิน (Globin) ลดลงหรือไม่สร้างเลย ทำให้สร้างฮีโมโกลบินปกติลดลงหรือไม่สามารถสร้างฮีโมโกลบินปกติได้เลย
สาเหตุ
โรคธาลัสซีเมีย เป็นความผิดปกติของการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินซึ่งถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
โรคธาลัสซีเมียเมเจอร์ (Thalassemia major) เป็นความผิดปกติรุนแรงเพราะมีสภาวะโฮโมไซกัส (Homozygous state) มียินผิดปกติซึ่งได้รับมาจากทั้งบิดามารดา
พยาธิสรีรภาพ
พยาธิสรีรภาพที่มีผลจากโรคธาลัสซีเมียพบได้ตั้งแต่แต่ Mild microcytosis จนถึงตายในมดลูก (Death in utero) ปรากฏอาการซีดจากโรคธารัสซีเมียเป็นชนิด Microcytic hypochromic hemolytic anemia
ผลจากการที่ร่างกายสร้างสายฮีโมโกบินที่ปกติลดลงจะเป็นผลให้สายโกลบินที่เหลือเพิ่มสูงขึ้น เช่น ในทารกที่เป็น -Thalassemia ซึ่งมีการสร้างสาย ลดลงจะพบว่าสาย และสาย สูงขึ้น ซึ่งมีโมโกลบินที่ผิดปกติเหล่านี้ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติและจะตกตะกอนเมื่อเซลล์แก่ทำให้เม็ดเลือดอายุสั้นลง
อาการและการแสดงอาการ
ซีด โหนกแก้มสูง หน้าผากนูนใหญ่ตาเหลือง ดั้งจมูกแฟบ ผิวหนังคล้ำเพราะเม็ดเลือดแดงแตกมากทำให้เหล็กเพิ่มขึ้น
ภาวะซีดจากภาวะพร่องจี-6-พีดี Glucose-6 phosphate dehydrogenase deficiency (G-6-PD deficiency)
สาเหตุ
ภาวะพร่อง จี-6-พีดี มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ X-linked หญิงที่เป็น Heterocygote จะเป็นพาหะถ่ายทอดภาวะนี้ไปให้บุตรชายประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้พบภาวะพร่องจี-6-พีดี
สารบางอย่าง เช่น ยา (Aspirin, Antimalarial drugs, Sulfonamides, Vitamin K) เป็นต้น
พยาธิสรีรภาพ
ภาวะพร่อง จี-6-พีดี เป็นเอนไซม์ที่มีกับเม็ดเลือดแดงเป็นตัวช่วยในการ Glycolysis
อาการและอาการแสดง
ภาวะซีดอย่างเฉียบพลัน ผู้ที่พร่อง จี-6-พีดี เมื่อมีภาวะเจ็บป่วยหรือได้รับยาหรือสารเคมีบางอย่าง ซึ่งมีผลทำให้เม็ดเลือดแดงเป็นจำนวนมากแตกอย่างรวดเร็วในหลอดเลือด
ภาวะซีดเรื้อรัง เนื่องจากมีการแตกของเม็ดเลือดเรื้อรัง ซึ่งอาการซีดแบบโรคธาลัสซีเมียหรือภาวะพร่องเอนไซม์อื่น ๆ พบน้อย อาการมักจะเกิดขึ้นทันทีเป็นโรคติดเชื้อ
การวินิจฉัย
ซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษอื่น ๆ
การรักษา
หาสาเหตุและหลีกเลี่ยงแก้ไข เช่น หยุดยาหรือขจัดสารที่เป็นสาเหตุทำให้เม็ดเลือดแดงแตก รักษาโรคติดเชื้อที่เป็นสาเหตุ
ให้เลือด ชนิด Packed red cell เพื่อหลีกเลี่ยงโปแตสเซียมสูง
ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อลดภาวะแทรกซ้อน ดูแลให้สารน้ำและติดตามภาวะสมดุลของอิเล็กโตรไลท์ ระหว่างมีการแตกทำงายของเม็ดเลือดแดง
รักษาตามอาการ
ให้คำแนะนำผู้ป่วยและญาติในการสังเกตอาการผิดปกติ หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
ภาวะซีดจากการเสียเลือดจากร่างกาย
ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง หรือเสียเลือดในปริมาณมาก ๆ คือ เสียเลือดมากกว่า 1 ใน 3 ของปริมาณเลือดทั้งหมดของร่างกาย เช่น การเสียเลือดจากอุบัติเหตุ การเสียเลือดจากทางเดินอาหาร (Gastrointestinal bleeding) เนื่องจากเป็นแผลในกระเพาะอาหาร สังเกตได้จากอุจจาระที่เป็นสีดำ และเหนียวคล้ายยางมะตอย พบในสตรีที่เสียเลือดมากผิดปกติจากการมีประจำเดือน และจากอุบัติเหตุ
อาการ
1) อาการซีด หรืออาจมีคนทักว่าเหลือง ซีด อาการซีดดูได้จากหน้าตา ผิวหนัง เปลือกตา เหงือก และลิ้น
2) อาการเหนื่อยง่ายหรือรู้สึกเหนื่อยผิดปกติเวลาที่ต้องออกแรง เช่น การเดินขึ้นบันได ทำงานไม่ค่อยไหว บางรายอาจมีอาการใจสั่นร่วมด้วย หากรุนแรงจะมีอาการของโรคหัวใจวาย
3) อาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ไม่มีแรงเคลื่อนไหว ทำให้มีการเคลื่อนไหวช้าลง เวียนศีรษะ ออกกำลังกายไม่ได้ตามปกติหรือมีเหงื่อออกมากผิดปกติ
4) อาการเป็นลม หน้ามืด วิงเวียน อาจทำให้หกล้มได้
5) อาการทางสมอง เช่น รู้สึกสมองช้า เวียนศีรษะ หลงลืมง่าย ขาดสติในการทำงาน เรียนหนังสือไม่ดีเท่าที่ควร นอนไม่หลับ เป็นต้น ผู้ป่วยที่มีภาวะซีดรุนแรงสมองจะทำงานช้าจนกระทั่งหมดสติ
อาการหัวใจขาดเลือด มักพบในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
อาการเลือดไปเลี้ยงที่ขาไม่เพียงพอ พบในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดของขา ทำให้ปวดขา
อาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร ท้องอืด
ระยะของภาวะซีด
ภาวะซีดชนิดเฉียบพลัน
1.1 เสียเลือดอย่างเฉียบพลัน เช่น จากเลือดกำเดา (Epistaxis)
1.2 เม็ดเลือดแดงถูกทำลายอย่างเฉียบพลันจะมีอาการร่วม
1.3 อาจเกิดจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน ซึ่งจะมีไข้ เกล็ดเลือดต่ำ ตับม้ามโต
ภาวะซีดชนิดเรื้อรัง
2.1 ประวัติการเสียเลือดชนิดเรื้อรัง
2.2 ลักษณะของธาลัสซีเมียจากหน้าตาและผิวพรรณ
2.3 ลักษณะทางคลินิกของโรคตับ โรคไต โรคเอสแอลอี
2.4 ลักษณะทางคลินิกของการขาดสารอาหาร
การตรวจร่างกาย
การตรวจผิวหนัง ดูจุดจ้ำเลือดตามตัว (Ecchymosis) จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง (Petechiae) หรือภาวะที่เลือดออกและสะสมภายในเนื้อเยื่อจนเกิดเป็นก้อนขึ้น (Hematoma) เยื่อบุต่าง ๆ เปลือกตา ความดันโลหิตและชีพจร
การรักษาภาวะซีด
การรักษาทั่วไป เป็นการบำบัดอาการของภาวะซีด
การรักษาเฉพาะ เป็นการรักษาที่สาเหตุ
การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโรคที่เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะซีด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
การพักผ่อน และการออกกำลังกาย เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยควรประเมินสภาพร่างกาย
ภาวะซีดจากการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง
ภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก
ภาวะซีกจากการขาดวิตามินบี12
ภาวะซีดอะพลาสติก
สาเหตุภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก (Iron-deficiency anemia; IDA)
2.1 กลุ่มที่มีความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น
2.2 กลุ่มที่ได้รับธาตุเหล็กจากสารอาหารไม่เพียงพอ
ผลของการขาดธาตุเหล็กต่อการทำงานของร่างกาย
ต่อระบบโลหิตวิทยา
ในระยะแรก ๆ ของการขาดธาตุเหล็ก
อาการและอาการแสดง
อาการแสดงของภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็กจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ทีละน้อย มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่ต้องให้ยา จนกว่าระดับฮีโมโกลบินลดลงเหลือ 7-8 กรัม/เดซิลิตร ผู้ป่วยจึงจะมีอาการของภาวะซีด
ภาวะแทรกซ้อน
มีการติดเชื้อและภาวะปอดอักเสบ มีการเสียเลือด โดยจะเห็นจากรอยจ้ำเลือดตามผิวหนัง ปัสสาวะเป็นเลือด มีเลือดออกที่เหงือก ภาวะแทรกซ้อนที่เฉพาะกับภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก
การวินิจฉัย
การซักประวัติ มีประวัติการเสียเลือด
การตรวจร่างกาย การดูอาจเห็นว่าลิ้นแดง บวม เรียบ และเจ็บ (Glossitis) มุมปากอาจจะบวมแดง และเจ็บ (Angular stomatitis)
ระดับฮีโมโกลบินต่ำ ฮีมาโตคริตต่ำ ระดับธาตุเหล็กให้ซีรั่ม (Serum iron) ต่ำ ระดับเฟอริตินในซีรั่ม (Serum ferriti) ต่ำ (หาก Serum ferritin <30 ไมโครกรัม/ลิตร)
การรักษา
หลีกเลี่ยงสาเหตุของการเสียเลือด
ให้เหล็กโดยการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมากขึ้น
การวางแผนการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีความบกพร่องเกี่ยวกับการรับรู้ เนื่องจากสมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
เหนื่อยง่ายเนื่องจากเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
เซลล์ผิวมีความผิดปกติเนื่องจากการดูดซึมลดลง
ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเนื่องจากรับประทาน
ภาวะซีดจากการขาดวิตามินบี12
ภาวะซีดจากการขาดวิตามินบี12 หรือ Pernicious anemia วิตามินบี12 มีความสำคัญในกระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์เม็ดเลือดแดง
สาเหตุ
การดูดซึม วิตามินบี12 ผิดปกติ เนื่องจากขาด Intrinsic factor ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างจากเยื่อบุในกระเพาะอาหาร ภาวะซีดชนิดนี้ เรียกว่า ภาวะซีดเพอร์นิเซียส (Pernicious anemia)
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อมีการฝ่อของเยื่อบุของกระเพาะอาหารส่วนต้น (Glandular mucosa of gastric fundus) ทำให้ขาด Intrinsic factor อาจเกิดจากพันธุกรรม มักเป็นหลาย ๆ
อาการและอาการแสดง
อาการของเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เป็นต้น อาการทางระบบประสาท เช่น ความจำเสื่อม สับสน ชาที่แขนขา กล้ามเนื้อขาไม่มีแรง มีอาการสั่นเดินแล้วล้ม
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การรักษา
ภาวะซีดทำให้ผู้ป่วยอ่อนแรง อาจจะให้พักบนเตียงจนกว่าฮีโมโกลบินจะสูงขึ้น หาก
ผู้ป่วยหนักมีผลกับหัวใจและปอดอาจต้องให้เลือด ให้ยาดิจิตาลีส ยาขับปัสสาวะ ให้อาหารจืด (Low sodium)
ผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิตามินบี12
การวางแผนการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากสูญเสียความรู้สึกและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ทำ
ให้มีการบกพร่องด้านจิตใจและการรับรู้
ภาวะซีดอะพลาสติก
หมายถึง ภาวะซีดจากไขกระดูกฝ่อ เป็นโรคที่มีการขาดเม็ดเลือดทุกชนิด
โดยสาเหตุที่แน่ชัดยังไม่ทราบ อาจเกิดจากพิษของยาหรือสารเคมีไปทำลายไขกระดูก
สาเหตุ
ภาวะซีดอะพลาสติกเป็นภาวะที่ไขกระดูกล้มเหลวไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดได้ตามปกติ
เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมแต่กำเนิด (Fanconi syndrome) ทำให้เลือดพร่องเม็ดเลือดทุกชนิดสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
อาการและอาการแสดง
มีจุดเลือดออกที่เยื่อบุเปลือกตาหรือเรตินา พบจำนวนเม็ดเลือดแดงน้อยกว่า 1 ล้านเซลล์/ลบ.มม. เรติคิวโลไซต์ต่ำ มีอาการอ่อนเพลีย และหายใจลำบากเมื่อออกแรง เลือดออกง่ายเนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำ
การวินิจฉัย
การซักประวัติ อาการอ่อนเพลีย
การตรวจร่างกาย จะพบว่าซีด จ้ำเลือด จุดเลือดเล็ก ๆ หรือมีเลือดออกในเรตินา
การรักษา
การรักษาที่ได้ผล ต้องแยกสาเหตุและให้การรักษาอย่างดี เช่น ให้ Packed red cell, Platelet และให้เลือดชนิดต่าง ๆ การปลูกถ่ายไขกระดูกสำหรับผู้ป่วยที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อจึงควรป้องกันโดยการล้างมือบ่อย ๆ ให้ยาปฏิชีวนะเมื่อมีการติดเชื้อ
การวางแผนทางการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ เนื่องจากภาวะพร่องออกซิเจน
มีโอกาสติดเชื้อเนื่องจากปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลง
มีโอกาสเสียเลือดเนื่องจากปริมาณเกล็ดเลือดต่ำและมีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
ชนิดของมะเร็งเม็ดเลือด
มะเร็งสามารถเกิดจากเม็ดเลือดขาวได้ 2 ชนิด
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน และ เรื้อรัง
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (Acute leukemia) เกิดจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนอย่างรวดเร็ว
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (Chronic leukemia) เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมาเป็นจำนวนมากกว่าเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติ
Lymphoid และ myeloid
Lymphocytic leukemia คือ การที่พบเซลล์ในสาย Lymphoid ได้แก่ Lymphocytes และplasma cells
Myelogenous leukemia คือ การที่พบเซลล์ที่ผิดปกติในสายmyeloid ได้แก่ eosinophils, neutrophils, และ basophils
สาเหตุ
สารก่อมะเร็ง
รังสี (Ionizing radiation)
ความผิดปกติของ
โครโมโซม (Chromosomal aberration)
ไวรัสบางชนิดเช่น ไวรัสเฮชทีแอลวี (Human T-lymphotropic virus Type I หรือเรียกย่อว่า HTLV-1)
อาการ
ติดเชื้อเมื่อมีเม็ดเลือดขาวปกติลดลง
ภาวะซีด จากเม็ดเลือดแดงลดลง
เลือดออกง่ายจากเกล็ดเลือดลดลง
การรักษา
วิธีการรักษา
เคมีบำบัด Chemotherapy
การปลูกถ่ายไขกระดูก Bone marrow transplantation
การสร้างภูมิคุ้มกัน Biological therapy โดยการใช้ interferon กับเซลล์มะเร็งได้บางชนิด
ผลข้างเคียงของการรักษา
เคมีบำบัด Chemotherapy หลักการให้เคมีบำบัดคือทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วซึ่งเซลล์มะเร็งแบ่งตัวเร็ว
รังสีรักษา Radiotherapy บริเวณที่ฉายแสงขนหรือผมจะร่วง ผิวบริเวณดังกล่าวจะแห้ง คัน ห้ามใช้ lotion ก่อนปรึกษาแพทย์
การปลูกถ่ายไขกระดูก Bone marrow transplantation ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เลือดออกผิดปกติ